ตอนที่ 6
เป็นเธอนี่เอง
"หึ วาโย เป็นเธอนี่เอง"
ประโยคไม่ยาวมากที่ออกมาจากปากคนเป็นอาจารย์ใหม่ ทำเอาวาโยเข่าแทบอ่อนลงไปกองกับพื้น ด้วยกลัวว่าเรื่องนี้จะใหญ่โตขึ้นมาจนทุกอย่างมันแย่กว่าเดิม คนตัวเล็กกว่าพยายามกลืนน้ำลายลงคอข่มความตระหนกของตัวเองลงสุดใจ แล้วพยายามแถออกไป แม้ว่าสีข้างจะต้องถลอกแค่ไหนก็ตาม
"อาจารย์เรียกผิดรึเปล่าคะ วาโยอะไรกัน หนูชื่อวานิมต่างหาก วาโยนั่นชื่อพี่สาวหนูต่างหาก อาจารย์คงจำผิดแล้วแหละ คือเราหน้าคล้ายกันน่ะ ใครก็ชอบทักผิด"
"งั้นเหรอ แต่ทำไมแววตาของเธอถึงได้เหมือนกับวาโยนักล่ะ"
"เหลวไหลน่าอาจารย์ ทำยังกับเคยมาจ้องตาหนูยังงั้นแหละ นี่ถ้าคุณจะเรียกหนูมาด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ ช่วยหลีกไปดีกว่านะคะ หนูมีธุระ"
"จะรีบไปไหนล่ะ รีบไปหาทางปกปิดความจริงรึเปล่า ว่าจริงๆ แล้ว เธอชื่อ วาโย ชวัลลักษณ์ นักศึกษาปริญญาโทจากอเมริกา ไม่ใช่นักศึกษาปีสี่เหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้"
ดวงตาของคนหน้าเด็กเบิกกว้างขึ้นมามากกว่าเดิมอีกครั้ง กับความจริงที่ตนไม่อาจปกปิดได้ นอกเหนือจากนั้นคือความสงสัยด้วยอีกอย่างหนึ่ง ว่าคนตรงหน้าคือใครกันแน่ ถึงได้ทำเหมือนว่ารู้จักเขาที่เคยเรียนอยู่เมืองนอก
"นี่ คุณเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้รู้เรื่องของหนู โอ๊ยไม่นงไม่หนูแล้ว ฉัน ทำไมถึงรู้เรื่องของฉันดีนัก หรือว่าคุณเป็นสตอล์กเกอร์"
ปลายนิ้วเรียวที่ชี้เข้ามาหาเขาทั้งใบหน้าชวนมองฉายความไม่พอใจปนหวาดระแวงออกมา ทำเอาองศาหน้าเหวอไปชั่วขณะ แต่แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นหมองลงราวต้นไม้เหี่ยวเฉา พร้อมทั้งเปล่งเสียงคล้ายตัดพ้อออกมา
"นี่อย่าบอกนะ ว่าเธอจำฉันไม่ได้จริงๆ "
"ก็แน่สิ นี่ตกลงนายเป็นใครกันแน่เนี่ย ทำไมถึงได้ทำเหมือนรู้จักฉันดีขนาดนั้น"
คนถูกถามถอนหายใจออกมาอยู่หน่อย คลายอยากระบายความรู้สึกบางอย่างออกมา แล้วเขยิบตัวไปพิงกับโต๊ะทำงานแทน ด้วยรู้ว่าสาวเจ้าคงทิ้งความคิดที่จะหนีออกไปจากห้องนี้ไปแล้ว
"ฉันชื่อองศาไง ที่เรียนรุ่นเดียวกับเธอตอนอยู่อเมริกา ผู้ชายมืดมนคนหนึ่งที่เธอเคยช่วยไว้บ่อยๆ จำได้รึยัง"
คนถูกถามทำท่าทางขบคิดอยู่นานเกือบนาทีจนคนมองยิ่งหน้าหมองลงไปอีก เมื่อเห็นชัดแล้วว่าวาโยไม่ได้จดจำเขาเข้าสู่ระบบสมองเลยสักนิด
"นึกออกแล้ว นายแว่นที่ถูกบูลลีประจำนี่เอง" คนงามร้องออกมาพลางทำตาโตอย่างตื่นเต้นเมื่อนึกได้ แต่แล้วแค่ครู่เดียวเจ้าตัวก็ทำหน้าห่อเหี่ยวออกมาอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ถึงความยุ่งยากที่จะตามมา
'ซวยแล้วไอ้โยเอ๊ย! ดันมาเจอคนรู้จักแบบนี้ ก็ยิ่งเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีกสิ'
"ทำไมเธอถึง..." ยังไม่ทันที่องศาจะเอ่ยถามจบ สาวเจ้าก็โพล่งขึ้นมาก่อน
"ฉันข้อร้องนะ อย่าบอกเรื่องนี้กับใครเลยนะ ฉันจำเป็นจริงๆ น่านะ องศาเพื่อนรัก พลีส"
องศาหน้าเหวอออกมาอีกหน เมื่อเขาแค่กำลังจะอ้าปากถามเฉยๆ ถึงสาเหตุของการที่คนตัวเล็กกว่า มาอยู่ตรงนี้ในฐานะนักศึกษาปีสี่อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไปจบ เจ้าตัวก็ดันแทรกขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับหลับหูหลับตาไหว้เขาปรกๆ ราวกับว่าตัวเขาเป็นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไงอย่างนั้น
'อะไรของยัยนี่กัน เมื่อกี้ยังทำท่าไม่รู้จักเราอยู่เลย ที่อย่างนี้มายกมือไหว้ร้องขอ เหอะ! มันน่านัก'
อาจารย์หนุ่มได้แต่รำพึงกับตัวเองในความคิด ด้วยความรู้สึกที่นึกน้อยใจตัวคนตรงหน้าที่จดจำเขาไม่ได้ ต่างกับเขาที่จำอีกฝ่ายได้ไม่ลืม แต่ในความน้อยใจนั้นมันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกนึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา อาจารย์หนุ่มผู้เคยเป็นบุคคลมืดมนในอดีต จึงได้แสร้งทำท่าราวกำลังขบคิดบางอย่าง ด้วยท่าทีและใบหน้าจริงจัง จนวาโยนึกหวาดระแวงขึ้นมา
"จริงๆ สิ่งที่เธอทำอยู่นี่มันเรียกว่าผิดมากเลยนะรู้ไหม แอบอ้างเป็นบุคคลอื่นอย่างนี้ ถ้าฉันไปบอกพ่อ ฉันคิดว่ามันคงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่" ได้ยินคำว่าบอกพ่อจากปากของเขา คิ้วโก่งเรียงตัวกันเป็นระเบียบของวาโยก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง กับความหมายของอีกฝ่าย
"อะไรคือบอกพ่อ แล้วโทษทีนะ คุณพ่อของนายเกี่ยวอะไรด้วย"
"อ้าว นี่เธอไม่รู้เหรอ ว่าพ่อของฉันเป็นผู้บริหารของที่นี่"
ซวยซ้ำซวยซ้อน วาโยนึกอยากตะโกนคำนี้ออกไปดังๆ นักกับเรื่องตรงหน้าที่อะไรมันจะ โค-ตะ-ระ บังเอิญขนาดนี้ มีคนเรียนรุ่นเดียวกันจากเมืองนอกรู้ความลับยังไม่พอ นี่คนรู้ดันเป็นลูกผู้อำนวยการอีก หนทางรอดของเธอช่างเต็มไปด้วยขวากหนามอะไรขนาดนี้
"คือฉันไม่ได้ตั้งใจจะสวมรอย หรือหลอกลวงอะไรใครหรอกนะ ฉันมีความจำเป็นจริงๆ ไม่อย่างนั้นใครมันจะมาเล่นสนุก กลับมาเป็นนักศึกษายังไม่ได้ปริญญาแบบนี้ล่ะ"
"..."
"ฉันขอร้องนะ เห็นแก่ที่เราเคยเรียนรุ่นเดียวกัน เห็นแก่ที่ฉันเคยช่วยนายบ้างสิ อย่าพูดเรื่องนี้ออกไปเลยนะ อีกแค่สามเดือนทุกอย่างมันก็จบแล้ว นะ นะ ขอร้อง พลีส"
"อืม เห็นแก่ที่นายเคยช่วยฉัน เรื่องนี้ฉันจะไม่พูดออกไป"
รอยยิ้มของวาโยฉายชัดออกมาทันทีกับคำนั้น ริมฝีปากสีระเรื่อเผยออ้าออกกำลังจะเปล่งคำขอบคุณออกไป แต่แล้วก็ต้องกลับหุบลงมาอย่างไว ทั้งยังถูกแทนที่ด้วยใบหน้าบูดบึ้งแทน เมื่อหูได้ยินคำพูดต่อมาของเขา
"แต่..."
"แต่อะไรอีก"
"ก็ไม่มีอะไร เรื่องความลับน่ะ ฉันจะไม่บอกใคร แต่ถ้าเธออยากให้เรื่องนี้มันราบเรียบ และไม่มีใครจับได้ ก็ต้อง...ทำตามที่ฉันบอก"
"ก็ไหนนายบอกว่าจะไม่บอกใครไงล่ะ!"
วาโยเอ่ยกระแทกเสียงใส่อย่างหัวเสีย เมื่ออีกฝ่ายกำลังเล่นลิ้นกับเธอ แต่คนกุมความลับกลับทำเพียงยกยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วเอ่ยต่อนิ่งๆ
"ฉันไม่บอก ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะเนียนตลอดจนไม่มีใครสงสัยนี่ เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากให้อาจารย์คนอื่นจับสังเกตได้ก็แค่รับข้อเสนอของฉันก็พอ"
คนฟังได้แต่กัดปากแน่นกับข้อเสนอ ไม่สิ คำขู่ของคนตรงหน้า แต่เพราะไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก และถ้าหากว่าพ่อของคนตรงหน้าเป็นผู้บริหารจริง หากเกิดเรื่องที่รับมือไม่ได้ ถ้าหมอนี่เป็นพวกอะไรมันก็คงจะง่ายขึ้น
"ก็ได้ แล้วนายจะให้ฉันทำอะไร" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขององศาส่งออกไปให้คนตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยนิ่งๆ อย่างเป็นต่อ
"ไม่ยากหรอก แค่ทำตามที่ฉันต้องการก็พอ ก่อนอื่น มาแลกเบอร์โทรกับไลน์ไว้ก่อน จะได้ติดต่อสะดวก"
วาโยถอนลมหายใจออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่ก็ยอมแลกเบอร์โทรและไลน์กับเขาอย่างจำยอม พร้อมกับมือถือของเธอที่แผดเสียงดังจากสายเรียกเข้าพอดี
'เรอา' ชื่อที่ปรากฏบนจอสี่เหลี่ยมของคนหน้าเด็ก ตกอยู่ในสายตาของคนมองอยู่อย่างองศาแบบไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นเขาก็ยังปั้นหน้าราบเรียบเหมือนเคย แล้วแสร้งหันไปอีกทาง นั่นจึงทำให้วาโยมีจังหวะขยับตัวออกมาเล็กน้อย เพื่อเตรียมรับสาย แต่ไม่ทันไรเจ้าตัวคนโทรเข้ามา ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาเสียก่อน
คนมาใหม่ออกจะแปลกใจแกมอึ้งไม่น้อย เมื่อเห็นว่าอาจารย์มาใหม่ผู้เพิ่งเข้าสอนได้ไม่ถึงวัน จะเรียกตัวรุ่นพี่ที่สวมรอยเป็นเพื่อนของเขา มาคุยกันตามลำพังแบบนี้
สายตาของอาจารย์ที่มองมายังคนมาใหม่ เล่นเอาเขานึกเกร็งอยู่ไม่น้อย บรรยากาศทั้งห้องเงียบสนิทชวนอึดอัดขึ้นมาทันที จนในที่สุดเรอาก็ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้น ด้วยการตะโกนขึ้นมา แล้วตรงเข้ากอดคอคนพี่กว่าราวกับสนิทสนมกันเต็มประดา
"ไอ้นิม แกมีงานอดิเรกเป็นการสะสมสายที่ไม่ได้รับเหรอว่ะ โทรหาทีไรไม่เคยรับสักที งานกลุ่มค้างไว้อยู่นั่นไม่คิดจะไปช่วยกันเลยรึไง"
"เอ่อ เออ จริงด้วย ปะ ไปกันดีกว่าเนอะเดี๋ยวงานไม่เสร็จ อาจารย์คะ หนูขอตัวก่อนนะคะ เพื่อนมาตามแล้ว"
"ขอตัวยัยนิมก่อนนะอาจารย์ เดี๋ยวงานไม่เสร็จ"
ว่าแล้วสองคนก็กอดคอกันเดินออกไปทันที โดยที่องศาเองก็ไม่ได้ขัดอะไร ได้แต่ส่งสายตาคาดโทษให้วาโยที่หันกลับมามองเท่านั้น
***