ตอนที่ 9 รอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง

1434 Words
เช้าวันต่อมา เขมกรตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำกับข้าวสามชุดก่อนไปโรงเรียน ครั้นเห็นหน้าของหมอกก็ยิ้มทักทายด้วยสีหน้าสดใส “ชุดนักเรียนนายแห้งแล้ว มากินข้าวแล้วไปโรงเรียนกัน” เขาทำหน้าที่เหมือนกำลังเลี้ยงน้องชายของตนเอง หมอกเดินมานั่งจุ้มปุ๊กที่โต๊ะอาหาร ตักข้าวเข้าปากนิ่งเงียบอย่างเอร็ดอร่อย “ฉันทำกับข้าวอร่อยใช่ไหมล่ะ เอาข้าวเพิ่มอีกไหม” เขมกรมีสีหน้าพึงพอใจที่ได้เห็นว่าคนตรงหน้ากินข้าวจนหมดจานอย่างรวดเร็ว "พอแล้ว อิ่ม” หมอกส่ายหน้าแล้วเดินไปรีดชุดนักเรียนของตนเอง สายตาของเขมกรมองตามด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมลูกคนรวยอย่างเขาถึงได้มีชีวิตที่น่ารันทดขนาดนี้ แต่ไม่ล่วงเกินถามออกไปเพราะคิดว่าหมอกไม่มีทางเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังแน่นอน แล้วเช้าวันนั้น ทั้งสองคนจึงขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนพร้อมกัน ต่างคนต่างนั่งคนละฝั่งหน้าต่างไม่พูดอะไร จนกระทั่งรถเมล์จอดที่ป้ายหน้าโรงเรียนของเขมกร เขาจึงเดินมายีผมหมอกแล้วบอกว่า “ถ้าไม่อยากกลับบ้านจะไปนอนที่บ้านฉันอีกก็ได้” “...” หมอกมองหน้าเขาไม่พูดอะไร พอคล้อยหลังกลับพึมพำเบา ๆ อยู่คนเดียว “อื้ม” พอหมอกเดินมาถึงห้องของตัวเอง เก้าอี้และโต๊ะของเขาก็หายไปจากห้อง รวมถึงของในตู้เก็บของที่ถูกรื้อค้นมีแต่ขยะอยู่ข้างในจนส่งกลิ่นออกมา หมอกกวาดตามองรอบห้องเพื่อจะหาว่าใครทำ สายตามาหยุดอยู่ที่พฤธากับปัถย์ แต่ทั้งสองคนนั้นส่ายหน้า ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่กล้ายุ่งกับหมอกเพราะกลัวเขมกรเอาเรื่อง ทันใดนั้น ไรวินท์กับแพรพิไลก็เดินเข้ามาในห้อง สายตาของทั้งคู่บ่งบอกชัดเจนว่าชอบใจเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาก เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร หากแต่ทั้งคู่ทำตัวเหมือนเป็นพี่น้องของหมอกเข้ามาซักถามว่าเมื่อคืนหมอกหายไปไหนมา ทุกคนที่บ้านเป็นห่วงแค่ไหน เขาไม่ตอบโต้อะไร ได้แค่จัดการเก็บขยะแล้วทำความสะอาดตู้เก็บของตัวเองอย่างเงียบ ๆ พลางเดินหาโต๊ะและเก้าอี้ที่ถูกทิ้งไว้ด้านนอก วันนี้เป็นอีกวันที่หมอกถูกแกล้งไม่ให้กินข้าวเที่ยง เงินในกระเป๋าตังก็ไม่มี แต่เขาไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เพราะยังรู้สึกอิ่มอาหารที่เขมกรทำให้กินตอนมื้อเช้า ขณะกำลังนั่งเรียนอยู่ ใบหน้าของเขมกรลอยเข้ามาในความคิดของเขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นทำให้หมอกรู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย คนที่ดูเหมือนจะดีกับเขากลายเป็นคนนอกที่เขาเพิ่งเคยพบเจอไม่กี่ครั้ง ใจของเขาเริ่มเปิดรับเขมกรโดยไม่รู้ตัว หลังเลิกเรียน หมอกกำลังเดินไปขึ้นรถเมล์เพื่อกลับบ้านเพราะสาธวีผู้เป็นพ่อกลับมาจากต่างประเทศในวันนี้ ต่อให้คนในบ้านจะมีเรื่องอยากรังแกเขามากเพียงใด แต่ช่วงอาทิตย์นี้เขาคงจะได้อยู่อย่างสงบสุขบ้าง ครั้นความคิดกำลังล่องลอย สายตาพลันเห็นคนผมส้มแดงยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียน พลางโบกมือให้เขา ใคร ๆ ต่างก็พากันหลีกหนีจากเขมกรเพราะคิดว่าเป็นอันธพาลรอหาเรื่องเด็กในโรงเรียน หมอกไม่อยากเป็นตกเป็นเป้าสายตาจึงเดินเลี่ยงออกไปไม่เข้าใกล้ “กินข้าวฝีมือฉัน นอนบ้านฉันทั้งคืน นี่นายทำเป็นไม่รู้จักกันหรือไง” เขมกรเดินมากอดคอเขาอย่างสนิทสนม “เปล่า” หมอกยกมือของเขาออกแล้วรีบเดินให้เร็วขึ้น โครกคราก เสียงท้องร้องทำพิษอีกแล้ว เขมกรยิ้มให้พลางหัวเราะที่เห็นสีหน้าเขินอายของของเขา “ฉันให้” เขายื่นห่อขนมที่พกไว้กินก่อนไปทำงานให้หมอก อีกฝ่ายทำทีไม่ยอมรับของ แต่ถูกยัดเยียดใส่กระเป๋าไว้ อีกทั้งท้องร้องไม่หยุดจึงได้แต่ยอมรับไปโดยปริยาย “ไม่ต้องขอบคุณก็ได้” เขมกรเอ่ยปากแล้วถามต่อ “วันนี้จะกลับบ้านไหม” “อื้ม” หมอกพยักหน้า “ดีแล้ว มีอะไรก็ไปคุยกับที่บ้านซะ” คนเป็นพี่แนะนำลอย ๆ ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรจนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์ เขมกรจึงยีผมของหมอกอีกครั้งด้วยความมันเขี้ยวแล้วเลยไปที่ทำงานของตนเอง เมื่อหมอกขึ้นรถเมล์มาเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบขนมห่อนั้นออกมาเปิดกินทีละคำ พลางนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาคิดในใจว่าถ้ากลับบ้านไปตอนนี้ สาธวีจะต้องเห็นรอยแผลที่อยู่บนใบหน้าของเขาแล้วเป็นห่วงมากแน่ ๆ จึงโทรศัพท์ไปบอกว่ามีติวหนังสือกับเพื่อนที่โรงเรียนแล้วสองสามวันนี้จะไปนอนค้างบ้านเพื่อน สาธวีนึกแปลกใจอยู่บ้างที่จู่ ๆ หมอกบอกว่ามีเพื่อนที่พอจะไปนอนค้างที่บ้านด้วย ตามนิสัยแล้วเป็นไปได้ยากมากที่เขาจะไว้ใจใคร แต่หากหมอกบอกเขาอย่างนั้น แสดงว่าเพื่อนคนนี้จะต้องมีอะไรที่พิเศษอย่างแน่นอน จึงตามใจลูกชาย หมอกลงจากรถเมล์แล้วเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อของเขมกรพลางนั่งทำการบ้านรออยู่ข้างนอกร้านจนกระทั่งคนเป็นพี่เลิกงานตอนสี่ทุ่ม “กลับบ้านกัน” เขมกรเอ่ยปากชวนเขา ตอนแรกที่หมอกมารออยู่หน้าร้าน เขารู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตอนแยกกันเห็นหมอกขึ้นรถเมล์ไปเรียบร้อย แต่ในเมื่อหมอกไม่พูดอะไร เขาจึงไม่เซ้าซี้ถาม เข้าใจไปว่าคงจะมีเรื่องอะไรที่บ้านจนไม่อยากกลับ หลังจากถึงบ้านเรียบร้อย เขมกรนำหมอนกับผ้าห่มวางปูให้หมอกอย่างเคย จากนั้นไปอาบน้ำแล้วมานั่งทำการบ้านที่คั่งค้างไว้ โจทย์เลขของม.สี่ทำให้เขานั่งขมวดคิ้วอยู่นานแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่เข้าใจ สายตามองไปที่หมอกกำลังนั่งวาดรูปอยู่จึงรู้สึกสนใจเดินมาดูใกล้ ๆ พลันได้เห็นว่าภาพวาดใบนั้นสวยมากจนไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของเด็กม.สามคนนี้ “ว้าว นายวาดรูปเก่งขนาดนี้เลยเหรอ” คำพูดชื่นชมทำให้หมอกหลบสายตาของเขา “...” เมื่อเห็นแวบ ๆ ว่ามีภาพอื่น ๆ อยู่ เขมกรจึงขอหมอกดูภาพที่เหลือด้วยความอยากรู้ “ว้าว” เขาอึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไร ภาพต่าง ๆ เหล่านั้นทำให้เขารู้สึกได้ว่าอัจฉริยะทางด้านศิลปะคนใหม่กำลังนั่งอยู่ข้างเขานี่เอง เขาเอ่ยปากชมไม่หยุดจนเจ้าของผลงานทำตัวไม่ถูกลุกเดินวนไปวนมาอยู่ที่โต๊ะหนังสือ สายตาของหมอกเหลือบเห็นโจทย์เลขที่แก้ไม่จบจึงลองนั่งขีด ๆ เขียน ๆ อยู่สองสามนาทีแล้วยิ้มออกมาก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเอง ทางด้านเขมกรรู้สึกว่าได้พักสมองจนสบายใจแล้วจึงคิดจะกลับมาทำการบ้านที่ค้างอยู่ให้จบ แต่กลับพบว่าโจทย์เลขที่ปล่อยค้างไว้แก้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขามองหน้าหมอกด้วยความทึ่ง “นี่นายฉลาดขนาดนี้เลยเหรอ” หมอกเอียงคอมองหน้าประหนึ่งไม่เข้าใจ เพิ่งรู้เหรอ “โอ้โห เก่งทั้งวิชาการ เก่งทั้งศิลปะ มีอะไรบ้างที่นายทำไม่ได้” คนหัวส้มแดงกำลังเอ่ยปากชมคนตรงหน้าอีกครั้ง การได้อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ทำให้ทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น แล้ววันหนึ่ง ภาพวาดของหมอกก็เริ่มเปลี่ยนจากโทนสีเทาล้วนกลายเป็นมีสีส้มแดงปะปนอยู่ด้วย รอยยิ้มหนวดแมวปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่ออยู่กับเขมกร สายตาที่ดูเปลี่ยนไปของเขาและใจที่เริ่มเปิดรับคนประหลาดที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขา วันนี้เป็นวันที่เขาเรียนจบม.ต้น เขมกรถืออมยิ้มมาแสดงความยินดีกับเขาที่โรงเรียน ตอนที่กำลังมองหาหมอก เสียงเรียกหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นด้วยความสดใส “พี่เขมมม ทางนี้ครับ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD