บทที่ 1.2 วาสนาพานพบ
“สภาพแบบนี้รักษาไปก็เปลืองเงินเปล่า”
เสียงของหญิงชราที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างเตียง หลี่เทียนซิน พลันเจ็บสะท้านไปทั้งอก ดวงตากลมเล็กที่หนักอึ้งพยายามปรือตาเพ่งมองสตรีที่เคยเรียกขานตนอย่างรักใคร่มาถึงแปดปี ก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงสั่นเครือชวนเวทนา
“ท่านย่า”
น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกแผ่วเบา ทว่าคนฟังไม่เพียงไม่มีใจสงสาร ซ้ำยังตวัดสายตามองกลับ เอ่ยเสียงตวาดลั่น
“ผู้ใดเป็นย่าเจ้า น่าขยะแขยงเสียจริง”
เอ่ยเพียงประโยคเดียวหญิงชราที่เคยมีรอยยิ้มอ่อนโยนก็หมุนตัวจากไป หนังตาเล็กที่หนักอึ้งพลันปิดลงด้วยความแสบร้อน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตัวเขาเป็นที่น่ารังเกียจ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เสียงเรียกของเขาน่ารำคาญ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นเพียง...
“เศษสวะ เลี้ยงไปก็สิ้นเปลือง”
เสียงนี้ไม่ต้องลืมตามองหลี่เทียนซินก็จดจำได้ว่า เป็นเสียงของท่านป้าใหญ่ที่เคยกล่าวว่ารักใคร่เขาดุจลูกในไส้ของตน
“พี่สะใภ้ใหญ่เช่นนั้นเราเอาเจ้าเด็กนี่ไปขายดีไหมเจ้าคะ”
ส่วนเสียงนี้คือเสียงท่านป้ารอง ที่มักทำขนมมาให้เขากินอย่างใส่ใจ อีกทั้งเสื้อผ้าทุกตัวก็ล้วนเป็นนางที่เย็บให้ด้วยความเอ็นดู
“เด็กใกล้ตายเช่นนี้ผู้ใดจะยอมซื้อกัน เอามันไปทิ้งที่ป่าอู่หลง”
ป่าอู่หลง ที่นั่นมิใช่สถานที่ทิ้งซากศพหรือไร หัวใจของหลี่เทียนซิน คล้ายแตกสลายลงในทันที ที่แท้ทุกความรักใคร่ที่เขาเคยได้รับล้วนเพราะบิดาเขามีหน้าที่การงานที่รุ่งเรือง ยามสิ้นบิดาเขาจึงเป็นเพียงคนไร้ค่าที่ไม่มีผู้ใดต้องการ
ท่านพ่อข้าคิดถึงท่าน ได้โปรดมารับข้าที
หลี่เทียนซินเอ่ยร้องหาผู้เป็นบิดาในใจ ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงถูกม้วนโดยเสื่อเนื้อหยาบ ยามที่รู้สึกตัวอีกทีรอบตัวเขาก็เต็มไปด้วยซากศพ อาจเพราะสวรรค์ยังไม่ต้องการ อีกทั้งประตูนรกก็ไม่อยากเปิดรับ ตอนนี้หลี่เทียนซินแม้ไร้เรี่ยวแรงแต่กลับยังไม่ไร้ลมหายใจ สองขาเล็กจึงค่อยๆ หยัดยืน ก้าวเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
โฮก!
เสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้นที่เบื้องหลัง เด็กน้อยลูกแม่ทัพใหญ่เดิมทีก็ไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้ว ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่ ยังจะมีแรงวิ่งหนีได้อย่างไร ขยับตัวเพียงสามก้าวก็ล้มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว
หึ! สวรรค์แม้ท่านไม่อยากเปิดรับข้าก็คงไม่อาจปฏิเสธ
นรกแม้ท่านไม่อยากเปิดรับข้าก็ไม่อาจปิดกั้น
ในยามที่เด็กน้อยยอมรับกับโชคชะตาได้แล้ว ดวงตากลมก็ค่อยๆ ปิดลง ทว่าไม่ทันได้สัมผัสความเจ็บปวดใดๆ เสียงของพยัคฆ์ตรงหน้าก็คำรามลั่นอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงคล้ายบางสิ่งล้มลง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าพยัคฆ์ขาวตัวโตเมื่อครู่ถูกลูกธนูเหล็กปักที่กลางศีรษะ สิ้นใจตายอยู่เบื้องหน้าเขา
ถึงกับยิงธนูเหล็กได้ ผู้ใดมีฝีมือถึงเพียงนี้กัน
“ปลอดภัยแล้วลุกขึ้นเถิด”
เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่นางจะเดินมาดึงลูกธนูบนศีรษะของพยัคฆ์ขาวเก็บคืนในกระบอกไม้ด้านหลัง
“บ้านข้าไม่ร่ำรวยมาก หากไม่กลัวอดตายก็ตามมาอยู่ด้วยกัน”
น้ำเสียงเอ่ยชวนราบเรียบ ทว่าในแววตากลับเจือความอารีชัดเจน เพียงแต่แปดปีที่ผ่านมาเขาก็ได้รับสายตาเช่นนี้จากคนรอบตัว ทว่าเพียงสิ้นบิดา สายตาเช่นนี้ก็แปลเปลี่ยนไป เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีตหัวใจก็พลันสั่นสะท้าน มือเล็กกำแน่น ริมฝีปากแห้งพลันเม้มเข้าหากัน
ตุ๊บ!
ถุงหนังบรรจุน้ำถูกโยนมาบนตักเล็ก ก่อนที่ร่างเพรียวบางของสตรีก่อนหน้าจะก้าวเดินจากไป เขามองถุงหนังในมืออย่างชั่งใจ ก่อนจะยกน้ำในถุงขึ้นดื่มด้วยความกระหาย
อาซิน หนี้ใดก็ล้วนติดค้างได้ แต่หนี้แต่หนี้ชีวิตไม่ควรติดค้าง
เป็นคำที่บิดาเคยสั่งสอนในวันวาน หลี่เทียนซินมองตามแผ่นหลังเล็กก่อนจะตัดสินใจหยิบไม้เล็กข้างกาย ใช้ค้ำยันประคองตนเองเดินตามแผ่นหลังบางที่แสนมั่นคงเบื้องหน้า
เช่นนั้นนับจากนี้ ข้าจะอยู่เพื่อใช้หนี้ชีวิตนาง
..............................................................
“ในครัวมีข้าวต้มขาวกับผักดอง หากหิวก็กินได้ ข้าจะเอาพยัคฆ์ขาวไปฝากขาย”
สตรีแปลกหน้าเอ่ยพร้อมกับเปิดประตูรั้วก่อนจากไป ในใจของหลี่เทียนซินแน่นอนว่ายังไม่อาจวางใจ แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มประท้วง พิษไข้ที่รุมเร้ามาหลายคืนอีกทั้งอาหารที่แทบจะไม่ได้กินมาหลายวัน ทำให้ข้าวต้มขาวกับผักดองที่เขาไม่เคยแม้แต่จะชายตามอง กลับกลายเป็นอาหารเลิศรสที่แทบจะกลืนลิ้นตาม
เพียงแต่ตัวเขาหิว สตรีผู้เป็นเจ้าของเรือนก็คงหิวเช่นกัน ดังนั้นแม้อยากกินเพิ่มอีกสักหน่อย แต่เด็กน้อยก็ทำเพียงเดินไปล้างถ้วยแล้วเก็บคว่ำไว้
อาจเพราะเมื่อครู่ยามเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ขาว ร่างกายตื่นตกใจจนมีเรี่ยวแรงอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยามนี้เมื่อร่างกายเริ่มสงบลง พิษไข้ก็เริ่มรุมเร้าจนดวงตาเล็กพร่ามัว ร่างกายหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ
เพียงแต่เนื้อตัวเขาสกปรกมอมแมม อีกทั้งยังมีไข้เช่นนี้ หากสตรีผู้นั้นมาเห็นเขานอนในเรือนของนาง นางย่อมต้องขุ่นเคืองเป็นแน่ คิดถึงตรงนี้เด็กน้อยก็ประคองตัวเองออกไปยังเรือนเก็บฟืน ก่อนซุกตัวลงในเศษกองฟางเพื่อซึมซับไออุ่นอันบางเบา
หากเขาขอนอนพักตรงนี้ สตรีผู้นั้นคงไม่ตำหนิดุด่าเขาใช่หรือไม่
แม้ร่างกายถูกพิษไข้ทำให้หลับลึก แต่เพราะในใจที่หวาดกลัวทำให้คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันแน่น ดวงจิตหวนฝันถึงอดีตอันเลวร้ายของตนจนหยาดน้ำตาไหลอาบแก้มตอบ ร่างเล็กสั่นสะท้านราวลูกนกพลัดตกจากรัง
"ท่านย่าข้ากลัวแล้ว อย่าตีข้าอีกเลย"
..............................................................