บทที่ 1.1 วาสนาพานพบ
โฮก!
เสียงคล้ายพยัคฆ์ร้ายกำลังพบเหยื่อที่ถูกใจดังก้องป่า เซี่ยอวี้ฉี ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างพอใจ กระชับคันธนูในมือ ก่อนเร่งสาวเท้าไปตามต้นเสียง
ราคาหนังพยัคฆ์นับว่าแพงมากทีเดียว นางจะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร
เพียงแต่ยามที่ไปถึง ดวงตาหวานก็พลันเบิกกว้าง ภาพเด็กชายวัยไม่เกินสิบปีกำลังถอยร่นหนีพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่ชวนให้ตื่นตกใจคิ้วเล็กขมวดมุ่น
ในป่าลึกเช่นนี้เหตุใดจึงมีเด็กน้อยถูกพยัคฆ์ไล่ต้อนเช่นนี้กัน
เซี่ยอวี้ฉียกคันธนูของตนขึ้น ในจังหวะที่พยัคฆ์ขาวกำลังสนใจเพียงเหยื่อตัวน้อยตรงหน้า มือเรียวก็ปล่อยลูกธนูออกไปจากคัน
ฉึก!
เสียงลูกธนูปักลงกลางศีรษะของพยัคฆ์ตัวโต ก่อนที่มันจะคำรามเสียงลั่นอีกครั้ง ทว่าไม่ถึงสามลมหายใจก็สิ้นใจตายอยู่เบื้องหน้าเด็กน้อย เซี่ยอวี้ฉียกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานของตน ก้าวเท้าเข้าไปดึงลูกธนูเหล็กชั้นดีใส่ในกระบอกด้านหลัง แล้วหมุนตัวมาหาเด็กน้อยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นดิน
เผชิญกับเรื่องน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้กลับนิ่งสงบได้ ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าสนใจนัก
“ปลอดภัยแล้วลุกขึ้นเถิด”
กล่าวเพียงเท่านั้นนางก็หันไปจัดการกับเจ้าพยัคฆ์ตัวโต ดวงตาของเด็กชายมองหญิงสาวที่รูปร่างเพรียวบาง ทว่ากลับสามารถแบกพยัคฆ์ขาวตัวโตขึ้นหลังได้แล้วขมวดคิ้วเข้ม
“บ้านข้าไม่ร่ำรวยมาก หากไม่กลัวอดตายก็ตามมาอยู่ด้วยกัน”
เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ เด็กน้อยผู้นี้แม้สวมใส่เสื้อผ้าเก่าที่ขาดวิ่น แต่เนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บนั้นเป็นผ้าไหมชั้นดี บ่งบอกว่าอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่บุตรชาวบ้านสามัญ เพียงแต่ไม่ว่าสถานะเดิมจะสูงส่งเพียงใด ยามนี้ก็เป็นเพียงเด็กน้อยหลงทางผู้หนึ่ง
เซี่ยอวี้ฉีเห็นริมฝีปากแห้งของเด็กน้อยเม้มเข้าหากัน แววตาเล็กฉายแววสับสนไม่ไว้ใจก็ถอนหายใจยาวก็ปลดถุงน้ำที่เอวออก แล้วโยนให้เด็กน้อยที่นั่งเงียบ ก่อนก้าวขาเดินจากไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีก แม้ในใจเซี่ยอวี้ฉีอยากพาอีกฝ่ายกลับไปด้วยกัน แต่สายตาหวาดระแวงคู่นั้นก็ทำให้นางตัดสินใจก้าวเดินจากมา
หากมีวาสนาต่อกันอีกฝ่ายย่อมต้องตามนางมา
แกร๊บ!
เสียงใบไม้ด้านหลังดังเบาๆ เซี่ยอวี้ฉียกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะได้คนร่วมชะตากรรมแล้ว แม้ไม่ได้หันไปมองแต่เซี่ยอวี้ฉีก็รับรู้ได้ว่าด้านหลังกำลังมีเท้าเล็กๆ เดินตามนางมา ดังนั้นจังหวะการก้าวเดินของนางจึงช้าลงกว่าปกติถึงสามส่วน
.............................................................
“ในครัวมีข้าวต้มกับผักดองหากหิวก็กินได้ ข้าจะเอาพยัคฆ์ขาวไปฝากขาย”
เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยบอกพร้อมกับเปิดประตูรั้วบ้านให้คนด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวจากไป ทว่ายามที่หางตามองเห็นท่าทางตื่นกลัวของเด็กน้อยด้านหลังแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ อีกฝ่ายต้องพบเจอเรื่องร้ายแรงเพียงใดจึงมีท่าทีหวาดระแวงได้ถึงเพียงนี้
เซี่ยอวี้ฉีไม่มีเวลาใส่ใจเด็กน้อยผู้หลงทางมากนัก ดวงตาเรียวมองดูดวงจันทร์ที่เริ่มคล้อยต่ำ หากนางยังชักช้าเกรงว่าคงไม่ทันฝากพยัคฆ์ขาวตัวนี้ไปขายแล้ว ดังนั้นแม้รู้สึกอ่อนล้า แต่สองเท้าก็ยังคงเร่งก้าวเดิน
“ฉีเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
เสียงบุรุษวัยหกสิบปีเอ่ยทักเมื่อเห็นหญิงสาวบอบบางแบกบางสิ่งมา เพียงแต่ยามที่นางวางของบางสิ่งที่แบกมาลงดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ
“พะ... พยัคฆ์ขาว ฉีเอ๋อร์ นะ... นี่... เจ้าล่าได้เองหรือ”
เซี่ยเจียไหลเป็นนายพรานมาทั้งชีวิต ย่อมรู้ดีว่าพยัคฆ์ขาวนั้นไม่ใช่สัตว์ที่จะล่ามาได้ง่ายๆ แม้จะรู้ว่าฝีมือการยิงธนูของหญิงสาวตรงหน้าล้ำเลิศ แต่ก็อดที่จะตื่นตกใจไม่ได้จริงๆ
“บังเอิญได้เหยื่อดีเจ้าค่ะ ท่านลุงสี่พอจะช่วยขายให้ข้าได้หรือไม่”
“ย่อมได้ๆ รับรองครั้งนี้เจ้าร่ำรวยแน่ๆ”
เซี่ยเจียไหลเอ่ยพลางหัวเราะเสียงก้อง พยัคฆ์ขาวนั้นหายาก อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าขุนนางชั้นสูงทั้งหลาย ดังนั้นครั้งนี้เขากับหญิงสาวตรงหน้าจึงเรียกได้ว่าเทพแห่งโชคลาภเข้าข้างแล้ว
“ท่านลุงสี่ข้าอยากได้ผ้าสีทึบราคาไม่แพงสักสองม้วน ข้าวสารอีกสักกระสอบ ไหดองผักอีกห้าไห รบกวนท่านลุงสี่ช่วยเป็นธุระได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ๆ”
เซี่ยเจียไหลเอ่ยด้วยน้ำเสียงบ่งบอกอารมณ์ที่ยินดี แม้ในอดีตเขาจะเป็นพรานฝีมือดี แต่เพราะอายุที่ไม่น้อยแล้วการเข้าป่าล่าสัตว์ก็ทำได้ไม่ดีเช่นแต่ก่อนอีก ทว่าสวรรค์ไม่ไร้เมตตา ครึ่งปีก่อนเซี่ยอวี้ฉีที่อ่อนแอมาโดยตลอดหลังจากมารดานางตายจากไปสามเดือน เด็กสาวผู้นี้ก็มาขอให้เขาสอนนางยิงธนู จากนั้นก็เข้าป่าล่าสัตว์มาฝากเขาขาย โดยตกลงส่วนแบ่งให้เขาที่สามส่วน ไม่คิดว่าผ่านมาครึ่งปีเด็กสาวผู้นี้ก็ล่าพยัคฆ์ขาวได้แล้ว
“เช่นนั้นไม่รบกวนท่านลุงสี่แล้ว ข้าขอตัวก่อน”
เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยจบก็ก้มศีรษะจากไป ขณะที่เซี่ยเจียไหลเร่งยกพยัคฆ์ขาว รวมทั้งข้าวของอื่นๆ ที่ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยฝากไปขายในเมืองขึ้นเกวียนเช่นกัน
.............................................................