บทที่ 1.3 วาสนาพานพบ
เซี่ยอวี้ฉีวางร่างที่ร้อนผ่าวลงบนเตียงนุ่มก่อนจะถอดเสื้อผ้าอันมอมแมมของเขาออกจนเหลือเพียงกางเกงตัวใน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อเห็นร่องรอยบาดแผลบนร่างกายของเด็กน้อย
ถึงกับลงมือต่อเด็กน้อยหนักเพียงนี้ หัวใจของคนเหล่านั้นทำด้วยอันใดกัน
เซี่ยอวี้ฉีใช้ผ้าผืนบางห่มบังลมให้คนที่ตัวสั่นด้วยพิษไข้ ก่อนเดินไปตักน้ำอุ่นใส่อ่างเล็กมาช่วยเช็ดเนื้อตัวอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าไข้เริ่มลดก็เร่งออกจากบ้าน
“ท่านอาซือเอินอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
สิ้นเสียงเรียกขานประตูรั้วบ้านตรงหน้าก็เปิดออก พร้อมกับบุรุษนามเซี่ยซือเอินที่เดินออกมา
“ฉีเอ๋อร์ มีอันใดหรือ”
“ที่บ้านข้ามีคนป่วยอยากรบกวนท่านไปช่วยดูหน่อยเจ้าค่ะ”
เซี่ยซือเอินขมวดคิ้วหนา หญิงสาวตรงหน้าเป็นหญิงตัวคนเดียวเหตุใดจึงกล่าวว่าที่เรือนมีคนป่วยเล่า คงมิใช่นางมีความคิดไม่ดีต่อเขาใช่หรือไม่
เซี่ยอวี้ฉีเห็นแววตาคลางแคลงใจของอีกฝ่ายก็เข้าใจความคิดของเขา จึงเร่งเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ
“เอ่อ... แท้จริงเขาเป็นเด็กที่ข้าแอบเลี้ยงไว้เจ้าค่ะ”
เซี่ยซือเอินได้ยินคำของหญิงสาวตรงหน้าก็ถอนหายใจยาว เซี่ยอวี้ฉีไปทำงานในเมืองหลวงเกือบสิบปี หากมิใช่ว่าปีก่อนมารดาของนางป่วยหนักหญิงสาววัยยี่สิบสองปีผู้นี้ก็คงไม่กลับมา เช่นนี้แล้วบุตรที่แอบเลี้ยงนั้นคงเป็นเพราะนางลอบมีสัมพันธ์กับบุรุษจนพลาดท่าอย่างแน่นอน
“ครั้งหน้าก็ควรรู้จักป้องกัน”
ป้องกัน นี่อีกฝ่ายคงไม่คิดว่าเด็กน้อยนั่นเป็นลูกนางใช่หรือไม่ เซี่ยอวี้ฉีพลันร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า แม้ตัวนางจะอายุไม่น้อยแล้วแต่ยามที่อีกฝ่ายเอ่ยเรื่องเช่นนี้ต่อหน้า ก็อดที่จะรู้สึกเขินอายไม่ได้
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยซือเอินไม่ใช่คนปากมาก เอ่ยเพียงประโยคเดียวก็สาวเท้าไปยังบ้านเล็กท้ายหมู่บ้านทันที ยามที่ไปถึงก็ลงมือตรวจร่างกายเด็กน้อยก่อนมอบยาให้ห่อหนึ่ง
“นี่เป็นยาลดไข้เจ้าต้มให้ลูกกินก่อน”
เซี่ยอวี้ฉีรับห่อยาจากอีกฝ่ายมาพร้อมกับยื่นค่ารักษาให้เขา ทว่าเซี่ยซือเอินกลับดันมือเล็กนั้นกลับแล้วส่งสายตาตำหนินาง
“ล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ข้าไม่ใช่คนไร้น้ำใจ”
เซี่ยซือเอิน เป็นหมอประจำหอเจี้ยนคัง หอโอสถที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อีกทั้งเป็นคนมีน้ำใจ ดังนั้นยามที่คนในหมู่บ้านเจ็บป่วยก็มักพุ่งตรงมาหาเขา ทว่าเซี่ยอวี้ฉีไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว อีกฝ่ายหยิบยื่นน้ำใจนางก็ควรหยิบยื่นไมตรี
“เช่นนั้นท่านรับสิ่งนี้ไว้นะเจ้าคะ”
เซี่ยซือเอินขมวดคิ้วรับห่อกระดาษน้ำมันที่อีกฝ่ายส่งให้ก่อนจะยกขึ้นดม พรางส่งสายตาเป็นคำถาม
“เหมยกุ้ยฮวาเจ้าค่ะ ข้านำมาทำชาเอาไว้ดื่ม”
ริมฝีปากของผู้เป็นหมอคลี่ยิ้มบางอย่างพึงพอใจ เหมยกุ้ยฮวานอกจากมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายอารมณ์ทำให้นอนหลับสนิทแล้ว ยังช่วยลดอาการหวัด และช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
ดวงตาคมมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกชื่นชม ก่อนที่สายตาจะมองไปยังเด็กชายบนเตียงหากนับตามระยะเวลาที่เซี่ยอวี้ฉีออกจากหมู่บ้านไปเด็กน้อยบนเตียงก็คงมีอายุไม่เกินเจ็ดปี แม้จะผ่ายผอมแต่ก็มีเค้าโครงที่เคยสมบูรณ์ สามารถเลี้ยงบุตรได้ดีถึงเพียงนี้นับว่า นางเป็นมารดาที่ดีไม่น้อยทีเดียว
“เช่นนั้นตอนเย็นข้าจะเอายาที่หอเจี้ยนคังมาให้เพิ่ม”
“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ”
เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะไปส่งเขาที่หน้าเรือนแล้วเร่งเข้าครัวต้มยาให้เด็กน้อย
.............................................
ทันทีที่ท่านหมอเซี่ยซือเอินจากไป เซี่ยอวี้ฉีก็เร่งก่อไฟตั้งหม้อต้มยาให้เด็กน้อย ระหว่างเคี่ยวยาก็หันไปจุดเตาใหญ่ลงมือทำโจ๊กไข่ไว้รอคนป่วย เด็กน้อยผู้นี้ร่างกายซูบผอมจนแก้มตอบ บ่งบอกว่าที่ผ่านมาความเป็นอยู่คงยากลำบากไม่น้อย อีกทั้งยังมีอาการป่วยเรื้อรัง โจ๊กไข่จึงนับเป็นอาหารที่เหมาะสม เพราะนอกจากเป็นอาหารย่อยง่ายยังช่วยเสริมกำลังและกล้ามเนื้อให้อีกฝ่ายด้วย
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามเซี่ยอวี้ฉีก็รินยาร้อนใส่ถ้วย พร้อมกับตักข้าวต้มไข่ยกวางบนถาดไม้ ก่อนเดินเข้าไปในห้องนอน ร่างเล็กที่นอนขดตัวกลมอยู่บนเตียงให้มองอย่างไรก็ชวนให้รู้สึกเวทนา ในใจของเซี่ยอวี้ฉีได้แต่พร่ำถามว่า คนที่ทำร้ายเด็กน้อยผู้นี้กล้าลงมือได้อย่างไร
ยามที่เซี่ยอวี้ฉีนั่งลงบนเตียงดวงตากลมก็ค่อยๆ เปิดขึ้นจดจ้องนางด้วยความรู้สึกสับสน เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงนอนของสตรีแปลกหน้าผู้นี้ ร่างเล็กที่พึ่งสร่างไข้ก็ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
"อย่าพึ่งลงจากเตียง"
เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยพร้อมกับวางมือลงบนบ่าเล็ก แม้น้ำเสียงที่เอ่ยบอกจะราบเรียบคล้ายกำลังตำหนิ แต่ในแววตาของนางกลับมีความอารีห่วงใยชัดเจน หลี่เทียนซินขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆ เอนตัวลงบนเตียงตามที่นางต้องการ เซี่ยอวี้ฉีหยิบหมอนสอดใต้แผ่นหลังเล็กประคองเขานั่งพิงกำแพงหัวเตียง ก่อนหันไปหยิบถ้วยยาส่งให้คนป่วย ดวงตาเล็กจ้องมองน้ำสีดำ ในแววตามีความลังเลเล็กน้อย แต่ไม่เอ่ยคำใดก็ยกถ้วยยาขึ้นดื่มในคราเดียว
ชีวิตนี้นางเป็นคนช่วยเขาไว้ หากนางปรารถนาให้เขาตายเขาก็ยินดี
เซี่ยอวี้ฉียิ้มกว้างมองความเด็ดเดี่ยวของเด็กน้อยแล้วหยิบก้อนน้ำตาลอ้อยส่งให้อีกฝ่าย
"น้ำตาลอ้อยช่วยบรรเทาอาการขมได้"
หลี่เทียนซิน ให้อย่างไรก็เป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ย่อมไม่ถูกกับยาขมและนิยมขนมหวาน เมื่อส่งถ้วยเปล่าคืนให้เซี่ยอวี้ฉีแล้ว ก็เร่งรับก้อนน้ำตาลอ้อยใส่ปากในทันที เซี่ยอวี้ฉีเห็นใบหน้าที่ยับย่นของเด็กน้อยค่อยๆคลายออกแล้วก็ส่งถ้วยข้าวต้มไข่ให้
"กินข้าวให้หมด แล้วนอนพักข้าจะไปเก็บผัก"
เอ่ยเพียงเท่านั้นเซี่ยอวี้ฉีก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้าเก่าของคนป่วยออกไปวัดขนาด ตัวนางนั้นแม้เชี่ยวชาญการยิงธนู ขี่ม้า ทว่างานด้านตัดเย็บกลับทำได้ไม่ดีนัก คาดว่ากว่าเด็กน้อยจะได้ใส่ชุดใหม่ก็คงอีกสามสี่วัน ดังนั้นให้ชุดเก่าของเขาย่ำแย่เพียงใด ก็คงทำได้เพียงลงมือซักตากให้อีกฝ่ายใช้ไปก่อน
.............................................