บทที่ 2.2 มารดาผู้นี้ของข้างดงามที่สุด
“ท่านแม่! ข้ากลัว!”
เซี่ยอวี้เฉินเอ่ยบอกเสียงสั่น สองแขนโผโอบกอดลำคอของผู้เป็นมารดาราวกับพานพบหลักที่พึ่งพิง แม้เป็นเพียงระยะเวลาไม่ถึงสามลมหายใจ ทว่าเขากลับรู้สึกหวาดกลัวราวพบเจอเรื่องเมื่อครู่มาราวสามปี
เซี่ยอวี้ฉีโอบกอดตอบเด็กน้อย มือเรียวลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ เอ่ยปลอบโยน
“ไม่ต้องกลัวข้าอยู่กับเจ้าแล้ว ต่อไปจะไม่ปล่อยมือจากเจ้าอีก ข้าสัญญา”
เพียงคำสัญญาประโยคเดียวของผู้เป็นมารดา ความหวาดกลัวในใจของเซี่ยอวี้เฉินก็จางหายราวกับไม่เคยมี ดวงตาที่หวาดหวั่นแปลเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น ขยับตัวถอยห่าง
เซี่ยอวี้ฉียิ้มกว้างวางมือบนศีรษะเล็ก ปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงออกจากใบหน้าของเขา พร้อมกับส่งสายตาห่วงใยไปให้อีกฝ่าย
“เช่นนั้นวันนี้เรากลับกันก่อนดีหรือไม่”
“ท่านแม่ ท่านสอนข้าว่ายน้ำได้หรือไม่”
เพราะเมื่อครู่เขาว่ายน้ำไม่เป็นจึงนำพาตนเองจมสู่ห้วงอดีตอันเลวร้าย แต่นับจากนี้เขาจะไม่ยอมจมสู่ความหวาดกลัวเช่นนั้นอีก
เซี่ยอวี้ฉีเห็นแววตามุ่งมั่นของเด็กน้อยก็พยักหน้ารับคำ ก่อนลงมือฝึกสอนอีกฝ่าย เด็กน้อยผู้นี้ของนางนับเป็นยอดอัจฉริยะ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็สามารถลอยตัวอยู่ในสายน้ำได้ด้วยตนเอง พริบตาก็แหวกว่ายไปกลางลำน้ำลึกจนเซี่ยอวี้ฉีต้องเอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย
“อาเฉินอย่าได้ไปไกลนัก”
“ขอรับ”
เซี่ยอวี้เฉินอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กน้อยวัยแปดขวบ ยามที่ได้แหวกว่ายในสายน้ำจิตใจก็เบิกบาน บนใบหน้ามีรอยยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว เซี่ยอวี้ฉีหยิบเสื้อผ้าในตะกร้าออกมาซัก หากแต่ตลอดเวลาก็ไม่ละสายตาจากเด็กน้อยกลางลำธาร จวบจนข้อมือเล็กบิดผ้าชิ้นสุดท้ายใส่ตะกร้าจึงเอ่ยปากเรียกเด็กน้อยมาหาตน
เซี่ยอวี้เฉินมองของเหลวสีชมพูที่ผู้เป็นมารดาเทออกจากขวดกระเบื้องเคลือบแล้วขมวดคิ้วเข้มด้วยความสงสัย
“หันหลังมาข้าจะสระผมให้”
เพียงแค่สระผมต้องใช้สิ่งนี้ด้วยหรือ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นผู้ใดสระผมให้เขาก็ล้วนใช้เพียงน้ำเปล่า ก่อนจะชโลมน้ำมันบนเส้นผมให้เขาในภายหลัง หรือนี่จะเป็นวิธีการของชาวบ้านในชนบทนี้
ยามที่มือเรียวลูบไล้ของเหลวสีชมพูอ่อนลงบนเส้นผมของเขา กลิ่นเหมยกุ้ยฮวาก็หอมฟุ้งจนเด็กน้อยเผลอหลับตาลง ใบหน้าที่เคร่งขรึมคล้ายแบกท้องฟ้าเอาไว้ตลอดเวลาค่อยๆ ผ่อนคลายลง ที่แท้กลิ่นกายหอมละมุนของมารดามาจากของเหล่านี้
มารดาของเขาไม่เพียงใช้ของเหลวกลิ่นหอมนี่สระผมให้เขาเท่านั้น นางยังให้เขาใช้เจ้าสิ่งนี้ล้างเนื้อตัว ชำระคราบเหงื่อไคลจนตัวหอมละมุนเช่นเดียวกับนาง
“ล้างตัวให้สะอาด เปลี่ยนชุดแล้วซักเสื้อผ้าของเจ้าให้เรียบร้อย”
ซักผ้า ใบหน้าของเซี่ยอวี้เฉินพลันมีสีหน้ายากลำบากขึ้นมา ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังมารดาคนดี ชีวิตของเขาให้ยากลำบากเพียงใดเรื่องเหล่านี้ก็ยังมีสาวใช้ทำให้ เพียงแต่...
“เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว เรื่องเหล่านี้ต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตนเอง”
เซี่ยอวี้เฉินถือตะกร้าสานใบเล็กที่ใส่เสื้อผ้าของตนเดินตามผู้เป็นมารดา ดวงตากลมมองแขนเสื้อที่เปรอะเปื้อนเพราะความไม่ระวังของตนแล้วรู้สึกผิดในใจขึ้นมา
เขาช่างโง่งมนัก นี่เป็นเสื้อตัวแรกที่มารดาคนดีของเขาตัดเย็บให้ เหตุใดจึงไม่รู้จักระวังทำเปอะเปื้อนได้ หากนางเห็นนางต้องเสียใจและคิดว่าเขาเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่รู้จักถนอมสิ่งของแน่นอน
เซี่ยอวี้ฉีมองเด็กน้อยที่จดจ้องรอยเปื้อนบนแขนเสื้อของตนเองแล้วขมวดคิ้วแน่นก็ให้รู้สึกขบขันในใจ แม้พึ่งอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของอีกฝ่ายที่มีต่อ นางและของทุกสิ่งที่นางมอบให้
“อาเฉินวันนี้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง”
เซี่ยอวี้เฉินได้ยินคำถามของมารดาคิ้วเข้มก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม วันนี้เขาไม่ได้คัดอักษร แม้แต่ตำราสักเล่มก็ไม่ได้อ่าน เช่นนั้นแล้วย่อมนับว่าไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดเลย
“ไม่มีขอรับท่านแม่”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเด็กน้อย เซี่ยอวี้ฉีก็หยุดเท้าลง เซี่ยอวี้เฉินเห็นมารดาหยุดฝีเท้ากะทันหันในใจก็ตระหนักได้ว่าคำตอบเมื่อครู่ของตนต้องมีบางสิ่งผิดพลาด ทว่าเขาไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรหากมารดาว่าเขาผิด เขาก็ย่อมผิด สองเท้าเล็กพลันหยุดชะงักตามมารดา ก่อนทรุดตัวลงคุกเข่าในทันที ทว่าแม้สายตาก้มลงต่ำแต่แผ่นหลังยังคงตั้งตรงสง่างาม บ่งบอกว่าในอดีตเขาย่อมเกิดในตระกูลที่ดี
“ท่านแม่ข้าสำนึกผิดแล้ว"
เด็กน้อยเอ่ยบอกอย่างคล่องแคล่ว ด้วยประโยคเหล่านี้ในอดีตเขาใช้จนเคยชิน ยามเอ่ยจบก็ลอบช้อนตามองมารดา เมื่อเห็นคิ้วเรียวของนางขมวดเข้าหากัน อีกทั้งในแววตามีความขุ่นเคือง ในใจของเขาก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้น
แม้รู้ดีว่านมารดาผู้นี้เป็นสตรีจิตใจอ่อนโยน ทว่าคล้ายรอบตัวนางมีพลังบางอย่างโอบล้อมเอาไว้ เพียงปรายตามองก็ชวนให้ผู้คนยำเกรงได้ในทันที
“ท่านแม่ข้ายินดีรับโทษ ท่าน... อย่าโกรธข้าเลย”
เด็กน้อยเอ่ยพรางวางตะกร้าในมือลง ก่อนแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับหงายฝ่ามือออก คล้ายกำลังรอรับโทษทัณฑ์จากผู้เป็นมารดา
เซี่ยอวี้ฉีมองท่าทางคล้ายผู้กระทำผิดร้ายแรงกำลังรอรับโทษทัณฑ์แล้วถอนหายใจเบาๆ นางเพียงอยากเอ่ยสอนเขาไม่ได้มีใจจะตำหนิ ดุด่า สักหน่อย เด็กน้อยผู้นี้มองนางเป็นนางมารจิตใจโหดเหี้ยมหรือไร มือเรียววางลงบนฝ่ามือเล็กก่อนจะกระชับกอบกุม ดึงรั้งเขาลุกขึ้น
แม้จะยังสับสนกับปฏิกิริยาของผู้เป็นมารดา แต่เมื่อนางต้องการให้เขาลุกขึ้น เขาก็เร่งขยับตัวลุกขึ้นในทันที ทว่ายังคงยืนสงบนิ่งรอฟังคำตำหนิของอีกฝ่าย
“ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ อาเฉินเจ้าเข้าใจความหมายสุภาษิตนี้หรือไม่”
ดวงตาเล็กพลันเงยขึ้นสบแววตาของมารดา ที่แท้สายตาขุ่นเคืองเมื่อครู่ไม่ได้ตำหนิในคำตอบของเขา แต่ตำหนิในการกระทำของเขา
อาซิน จำคำบิดาให้ดี ภายหน้าให้ยากลำบากเพียงใดจงจำไว้ว่า “ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ” อย่าได้คุกเข่าพร่ำเพรื่อ
ดวงตาเล็กพลันแดงก่ำโผเข้ากอดเอวเล็กของผู้เป็นมารดาแน่น เซี่ยอวี้ฉีถูกกระทำเช่นนี้ไหนเลยจะมีใจเอ่ยตำหนิเขาได้อีก เพียงแต่เรื่องบางอย่างหากไม่สั่งสอนตั้งแต่เยาว์วัย วันเวลาผ่านไปก็สายเกินกว่าจะสอนสั่ง
“อาเฉิน แม้ตอนนี้มารดาของเจ้าจะเป็นเพียงชาวบ้านผู้หนึ่ง แต่ก็มิได้หมายความว่าจะปกป้องเจ้าไม่ได้ ภายหน้าห้ามคุกเข่าโดยง่ายเช่นนี้อีก”
“ขอรับ”