ตอนที่ 3
คนที่ชื่อศีตะลาหยุดนิ่ง เมื่อลดดวงตาต่ำลงสมเพชตัวเอง.. ฮึคนอย่างหล่อนนะหรือ จะมีอะไรเสียนอกจากความแค้นที่แน่นสุมใจต่างหาก ที่ทำอย่างนี้ก็หวังเพียงผลว่า เพราะต้องการอยู่ใกล้ชิดคนที่ทำร้ายบิดามารดาของหล่อนต่างหากล่ะ ถึงต้องทำอย่างนี้ ก็เลยยอมรับกับมุกล้อมด้วยการพยักหน้า
“มันก็ใช่ เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากสิ่งเหล่านี้หรอกมุกล้อม ที่ฉันทำ.. และที่ฉันกล้าตัดสินใจลงไป ก็หมายความว่า ฉันจะไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่”
ครั้นเมื่อฟังคำพูดของญาติสาวแล้วฝ่ายมุกล้อมตกใจเหมือนกันแต่จะทำอย่างไรได้ รู้สึกอดห่วงไม่ได้
ที่ศีตะลาเองต้องการกระโจนตัวเองลงไปเป็นเหยื่อนายเถื่อนพวกนั้นแบบนั้น หากแต่ศีตะลาไม่ต้องการให้ใครมาสงสารหล่อนและดวงตาสวยคู่คมนั้นพยับขึ้นกร้าวแข็งแบบไม่ยี่หระไม่สนใจสักนิด ต้องดูสถานการณ์ฝั่งฟากโน้นก่อน ศีตะลาขบคิดว่าการที่หัวใจของสาวสวยอดทนแข็งแกร่งและทระนงหล่อนจะสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้แน่นอน “เอ้อ ฉันเป็นห่วงเธอนะตะลา”
หากสาวสวยนามศีตะลาหันดวงตาสะบัดตวัดไปมองทันที “ฮึแล้วเธอจะมาห่วงใยอะไรฉันไม่ทราบทำไมล่ะมุกล้อม เพราะเธอเองก็ไปด้วยไม่ใช่หรือและฉันว่าเราต้องไปด้วยกันอย่างแน่นอนมุกล้อม”
“แต่ว่า ที่ฉันไป ก็ไม่ได้ไปแต่งงานนี่ และฉันไปในฐานะเป็นเพื่อนของเธอ เพื่อนเจ้าสาว”
“ก็ใช่ แต่ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกมุกล้อม พอไปถึงที่นั่นเธอกับฉันก็คงจะเห็นกันล่ะ” ซึ่งมุกล้อมพูดอะไรไม่ออก..ก็คงจะเป็นจริงอย่างที่ศีตะลาญาติสาวเอ่ยนั่นแหละ
“แต่แต่ว่าศีตะลาฉันกลัวนะถึงฉันจะไปด้วยก็ตามแต่ฉันก็รู้สึกสงสารเธอ”
“นี่หยุดเถอะ ช่วยเก็บความสงสารฉันเอาไว้แค่นั้น ก็พอเถอะมุกล้อมยังไงก็เป็นไปอย่างนี้แล้วเธอจะมาสงสารฉันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่อยากถือเอาเป็นบุญคุณอีก ฉันถือว่าเป็นหนี้บุญคุณท่วมหัวทั้งพ่อเธอกับแม่เธอ” ศีตะลาเสียงกร้าวเข้ม..
เธอไม่ต้องการให้มุกล้อมมาทำดีกับเธอ.. เพราะมันไม่แนบเนียนพอที่เธอจะเชื่อได้หรอกว่าเป็นความจริงใจ
“งั้นเอาล่ะ ที่ฉันขอมาพบเธอ แค่นี้ล่ะ แล้วจะไม่ขอพูดอะไรมากอีก เราต้องเดินทางไปด้วยกันนะศีตะลา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเดินทางกันสักเท่าไหร่กี่ชั่วโมง”
“ก็น่าจะสี่ชั่วโมงนะ ถ้าเป็นตราด” ศีตะลาเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ หล่อนก็ได้คำตอบมาจากผู้เป็นลุงเอ่ยให้ฟังเช่นกัน.. ตัวหล่อนเองก็ไม่เคยคล่องและชำนาญเส้นทางด้วย ถึงแม้จะว่าไปหล่อนเป็นคนมีเลือดเนื้อเชื้อสายทางจันทบูรณ์ไม่น้อย กิจการของหล่อนและเหมืองเก่าของบิดาก่อนที่จะขายทิ้งก็อยู่ที่โป่งน้ำร้อนกับขลุงเช่นกัน
จากนั้นมุกล้อมเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องของศีตะลาเพื่อเตรียมตัวจัดเสื้อผ้าของตนเองบ้าง เพราะมารดาบอกว่าจะต้องไปค้างแรมเป็นสัปดาห์ ก็ทำไมนานอย่างนั้นล่ะนี่หล่อนไม่เข้าใจเลย..ทั้งๆที่ไม่มีความสะดวกสบาย และมันจะลำบากแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลยอีกทั้งบ้านเมืองเกาะนั่นจะเป็นอย่างไร คงมีแต่โขดหินแล้วก็ภูเขาต้นไม้..เอแต่เห็นว่าแวดล้อมไปด้วยทะะลอ่าวไทยนี่ ก็ยังดีที่มีธรรมชาติสวยงามอย่างนี้แต้มแต่ง งั้นก็ทำให้เธออยากจะไปท่องเที่ยวทัศนาจรบ้าง ซึ่งมุกล้อมบอกกับตนเองตอนที่จัดเสื้อผ้าเสร็จ แล้วสักพักจะลงไปข้างล่าง ศีตะลาคงไปรออยู่แล้ว
“อ้าวหนูตะลานี่เสร็จแล้วหรือ เร็วดีจริง.. แหมยัยล้อมนี่ไม่รู้มัวทำอะไรอยู่ ชักช้าจริง” เอ่ยทักหลานสาวแล้ว กัณทิชาบ่นตำหนิไปถึงลูกสาวที่ยังชักช้าโอ้เอ้อ้อยสร้อยอยู่ในห้องยังไม่ยอมลงมาซักที หากว่าร่างระหงของศีตะลาที่ยืนอยู่บริเวณเชิงบันไดหินอ่อนตรงนั้น บริเวณที่รถตู้จะตีโค้งเข้ามารับด้านหน้าริมเฉลียงยาวซึ่งถัดไปเป็นเทอเรซเตี้ยปลูกประดับด้วยดอกไม้เถานาชนิด และมีกระถางบอนไซต้นตะโกดัดวางเรียงรายอยู่
และศีตะลาค่อนข้างไว้ตัว หล่อนอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนสงบนิ่งและเผลอครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆอยู่เงียบ แล้วก็ไม่ได้ฟังคุณกัณทิชาบ่นอีกเลย ที่สุดคนขับรถประจำคือนายทัพ ก็ตีวงเลี้ยวพร้อมกับปราดจอดรถตู้คันยาวค่อนข้างหรูและมีเครื่องอำนวยความสะดวกเป็นเวลาจังหวะเดียวที่มุกล้อมก้าวลงจากตึกพอดี
และคุณกัณทิชาเงยหน้าขึ้นมาจ้องหลานสาว..แล้วก็เบือนสลับไปที่ลูกสาว จากนั้นเผลอถอนหายใจ ที่ไม่มีอะไรเกิดความผิดพลาดขึ้นมา และมุกล้อมก็ไม่ได้เกี่ยงงอนอีกคน ส่วนลูกสาวนั้นนางไม่ต้องกังวลใดหรอกเพราะว่ามุกล้อมแค่เดินทางไปเป็นเพื่อนเท่านั้น เพราะกัณทิชาไม่อยากให้เกิดปัญหาอะไรทั้งสิ้นก่อนที่เรื่องจะสำเร็จไปตามแผน
เพราะเมื่อไปถึงแล้วนั้น ที่โน่นพิธีการก็ตระเตรียมพร้อมเอาไว้.. เรียกว่านางเองแล้วก็ท่านสามีเป็นฝ่ายไปส่งหลานสาวถึงที่หมาย เพื่อให้ศีตะลามีความเป็นอยู่ใหม่..
และมันที่อาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ และครั้นพอส่งหลานสาวไปถึงฝั่งฝัน หล่อนอาจจะค้างอ้างแรมอยู่สองสามวันเท่านั้นแล้วเดินทางกลับกรุงเทพ เพื่อให้ฝ่ายเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลนั้นไว้วางใจในเรื่องนี้
ซึ่งต่อไปนั้นแม่ศีตะลาจะเป็นอยู่อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่เห็นจะต้องรับรู้ใส่ใจอีก เพราะศีตะลาเองก็อยากไปค้นหาความจริงที่นั่นด้วยไม่ใช่หรือ สมใจนางนักหนา และแบบนี้นางเองก็ไม่ได้มีความผิดใดเลย เนื่องจากมันเป็นความต้องการของศีตะลาต่างหาก ที่เด็กนั่นบ้าดีเดือดเพราะคลั่งในความแค้นที่พ่อแม่ต้องจบชีวิตลง
จากนั้นรถเบ๊นซ์ของคุณกัณทิชาและท่านสามีขับนำหน้าลูกสาว หลังจากที่ปิดล๊อคกุญแจบ้านอย่างเรียบร้อย ยังมีคนใช้และคนสวนอยู่เฝ้าบ้านสองสามคน
“แล้วฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด เมื่อทำธุระเรื่องจัดงานแต่งงานให้หลานสาวฉันเสร็จ.. ขอฝากพวกแกช่วยดูบ้านช่องให้ดีก็แล้วกันขืนพวกแกไปด้วยกันหมด เฮอะ ขโมยจะได้เข้ามายกทรัพย์สินข้าวของพวกแกจะว่ายังไง นี่ฉันบอกเลยนะ ถ้าเกิดเรื่อง งานนี้พวกแกมีสิทธิ์ติดคุกกันหัวโตกันเลยล่ะ ถ้าเกิดมีขโมยมันเข้ามาบ้าน”
เสียงของกัณทิชาเข้มสั่งด้วยอำนาจประกาศิต ซึ่งบรรดาคนใช้ที่เหลือในบ้านน้อมรับคำสั่งทันทีพร้อมพยักหน้าอย่างมั่นเหมาะ..บางคนก็ลนลานเพราะหวาดกลัวในน้ำเสียงเข้มของสาวใหญ่เจ้าของบ้าน