7

1195 Words
ก่อนเที่ยงของอีกวันหลังงานแต่งงานเพียงคืนเดียว จุติพาเธอขึ้นรถพร้อมเสื้อผ้าอัดแน่นเต็มกระเป๋า ตรงไปยังฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของเขา ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดหนึ่งห่างจากบ้านของเธอโดยใช้เวลาเดินทางเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น แต่อรนลินรู้สึกราวกับสามปี เพราะบรรยากาศอึมครึมบนรถนั่น น่าอึดอัดเหลือทน เธอไม่พูด เขาก็ไม่พูด ขอให้เป็นแบบนี้ไปจนครบปีเถอะ เธอจะสบายใจอย่างที่สุดเลยล่ะ บ้านน็อคดาวที่ทางเข้าฟาร์มเลี้ยงถูกลงสีขาวดำคล้ายลายของวัว พร้อมการจัดแต่งสวนอย่างเก๋ไก๋สวยดีทีเดียว เขาไม่ได้จอดรถให้เธอได้ชื่นชมมัน จุติขับรถแล่นฉิวตรงเข้าไปด้านใน ระยะทางจากถนนเส้นหลักเข้าไปอีกเกือบห้าร้อยเมตร มีต้นไม้ใหญ่สองข้างทางร่มรื่น จนอรนลินรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น หลังจากนั่งรถหลังตรงแหนวมาตลอดทาง แล้วรถก็หยุดลงที่บ้านไม้ขนาดใหญ่สองชั้น ปลูกสร้างให้รับกับต้นไม้รอบ ๆ ได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเธออดทึ่งไม่ได้กับความคิดของคนสร้าง “เอาของไปเก็บ แล้วมาคุยกัน” จุติบอก ตอนละมือจากคันเกียร์รถยนต์แล้ว อรนลินนิ่งไปครู่ ก่อนจะหันไปถามเขาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “คุยกัน? นี่เรายังต้องมีเรื่องให้คุยกันอีกหรือคะ” ดูเหมือนว่าเรื่องของเธอกับเขาจะยืดยาวออกไปไม่รู้จบ เรื่องอะไรที่ต้องคุยกัน ก็คุยกันไปหมดแล้วนี่ ยังมีอะไรอีก จุติถามเสียงเยาะใส่เธออย่างจงใจ “คุณรู้หรือยังว่าคุณแม่ของคุณรับเงินจากพ่อผมไปอีกก้อน เยอะกว่าเงินสินสอดอีกนะ” ได้ยินแบบนั้นก็ใจคอไม่ดี ถามเสียงฉงนกลับไป “เงินค่าอะไรคะ” “ค่าทำหลานชายให้ท่าน” “ทำหลานชาย? จะบ้าหรือไง” “ไม่รู้สิ ผู้ใหญ่เขาคุยกันมาแบบนี้ ผมแค่เอามาบอกต่อ ถ้าคิดว่าจะมาอยู่ที่นี่เฉย ๆ จนครบปี แล้วก็หย่า คงต้องคิดใหม่แล้วนะ...แม่หนูดีตัวน้อย” จุติทำเสียงล้อเลียนเรียกชื่อเธอตอนท้ายประโยคได้น่าหมั่นไส้นัก อรนลินสูดลมหายใจเข้าอกยาว ๆ ก่อนบอกเขาเสียงเครียด จะว่าไม่เชื่อก็ไม่ใช่ แต่เธออยากได้ยินจากปากของมารดา มากกว่าจะออกมาจากปากของเขา “ฉันขอโทร. หาคุณแม่ก่อนเถอะค่ะ ค่อยคุยเรื่องนี้กับคุณอีกที” “เชิญ” จุติผายมือแล้วทำท่าจะลงรถไปก่อนเธอ แต่ดูออกว่าทำประชดประชันใส่ เลยเลือกที่จะลงจากรถบ้าง แล้วเลี่ยงไปคุยสายที่อีกทางให้ห่างจากเขา ทันทีที่เชื่อมต่อสัญญาณกับมารดา ก็รีบกรอกเสียงลงไป ใจของเธอร้อนรนแค่ไหนตอนที่ได้ยินเขาพูดเรื่องมีลูก ก็ต้องระงับเอาไว้ ไม่แสดงออกมาให้เขาเห็น “คุณแม่คะ คุณแม่ไปเอาเงินของนายนั่นมาหรือคะ” “เงินอะไรคะลูก แล้วนายไหนคะที่ลูกพูดถึงน่ะค่ะ” อรนลินถอนหายใจคล้ายโล่งอก ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แม่ของเธอไม่ได้ทำอย่างที่เขาปลักปลำแน่นอน ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ก่อนจะพูดต่อ คล้ายฟ้องมารดา ทำตัวราวกับยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ของท่านอยู่ “นายนั่นบอกว่าคุณแม่รับเงิน...เอ่อ...เงินค่าทำหลานชายอะไรนั่นมาค่ะ มันหมายความว่ายังไงคะ หรือเขาพูดโกหก หลอกหนูดีก็ไม่รู้” “อ๋อ เงินนั่นน่ะหรือคะ ทางพ่อของติ เขาต้องให้เราอยู่แล้วค่ะลูกขา ก็หนูแต่งงานกับพ่อติแล้วนี่ลูก ยังไง ๆ ก็ต้องสร้างครอบครัวมีลูกมีเต้ากัน แค่ขอให้ลูกเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง… ฟังแม่อยู่หรือเปล่าคะลูกขา” ราวกับเลือดในตัวของเธอถูกแช่แข็ง แม่ไปเอาเงินของฝ่ายนั้นมาจริง ๆ ด้วย “ค่ะ” อรนลินตอบรับเสียงอ่อย ใบหน้าสวยซีดเผือด ไอ้ที่คิดไว้ว่าแต่งงาน อยู่กับเขาแบบสามีภรรยาจอมปลอมจนครบปีแล้วจะหย่า กลับกลายเป็นว่าต้องมีลูกกับเขาด้วยหรือ “แต่คุณแม่คะ” “ไม่มีแต่แล้วค่ะลูกขา เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว หนูดีฟังแม่นะคะ หนูโชคดีแค่ไหนที่ได้แต่งงานกับพ่อติ เพราะพ่อติน่ะเขารว…” ปลายสายระงับปากไว้ทันที่จะบอกเหตุผลแท้จริงออกไป ว่าเพราะเขารวยมาก ก่อนจะหาเหตุผลที่ฟังดูดีกว่านั้นมาพูดต่อ “เพราะว่าพ่อติน่ะเขาเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ แมนแค่ไหนหนูก็เห็น นี่ถ้าเป็นคนอื่นมีโอกาสได้เจาะไข่แดงลูกแม่แบบนี้แล้ว ไม่มีทางมาสู่ขอหรอกค่ะลูก แต่งให้ใหญ่โตแบบนี้ด้วย แม่งี้หน้าบานเลยไม่เห็นหรือคะวันงานน่ะ ทั้งเพื่อนแม่ ทั้งป้าณา ป้าแดง ลุงสมบัติ ตาโตกันเชียวตอนเห็นสินสอด แม่ภูมิใจในตัวมาก ๆ เลยรู้ไหมคะ แล้วนี่นะ ที่สำคัญกว่านั้นคือลูกต้องมีลูกชายให้ได้นะคะ ฟังแม่อยู่ไหมคะลูกขา” อรนลินฟังทุกคำ พลางคิดได้ว่าต้องมีลูก ก็ต้องทำเรื่องอย่างว่ากับเขาน่ะสิ แล้วโอกาสเกิดลูกชายมันมีมากแค่ไหนกัน ถ้าท้องนี้ไม่ได้ ก็ต้องทำใหม่ท้องใหม่น่ะสิ คิดมาถึงตรงนี้ อรนลินก็สะดุ้งน้อย ๆ เมื่อหูแว่วเสียงวัวดังมาจากที่ไหนไกล ๆ สักที่หนึ่ง แล้วถามมารดาไปว่า “เขาน่าจะไปคัดเพศให้มันจบ ๆ ไปเลย แบบนั้นมันชัวร์กว่าเป็นไหน ๆ นะคะคุณแม่” ใช่ ไปหาหมอ คัดเพศลูกไปเลยสิ อยากได้ผู้ชายก็บอกให้หมอทำให้ ง่ายจะตาย เธอจะได้ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้นกับนายจุติซ้ำแล้วซ้ำอีก อี๋ แค่คิด ใบหน้าของเธอก็ออกร้อนและแดงขึ้นมาอีกแล้ว “คุณจตุรงค์บอกว่ามันไม่น่าภูมิใจค่ะลูก เขาอยากได้หลานชายที่ติดแบบธรรมชาติ หนูฟังแม่ หนู...ต้อง...ทำ...ให้...ได้ นะคะลูกขา” คนกำหนดเพศเด็กไม่ใช่คนเป็นแม่เสียหน่อย เธอเคยได้ยินมาว่าต้องเป็นภาระของคนเป็นพ่อ มิใช่หรือ “แม่ขา หนูดีว่า เรื่องนี้ไม่ควรมากดดันที่หนูดีนะคะ” “ไม่รู้ล่ะ แม่จะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน แค่นี้นะคะลูก” มารดาวางสายจากเธอทันที ก็ค่อยยืนรีรออยู่ครู่ เห็นเขายืนกอดอกมองมา เพยิดหน้าถามว่ายืนทำอะไรตรงนั้น ก็ค่อยเดินหน้าซีดไปตรงที่เขากอดอกยืนรออยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD