“แม่โทร.เข้าทั้งเบอร์บ้าน ทั้งมือถือของดิษ แต่ดิษไม่รับโทรศัพท์ของแม่เลย”
มณีวรรณ ผู้เป็นมารดายังคงต่อว่าลูกชายด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ระงมของมารดา ดิษกรย์ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น “ผมลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่เพนท์เฮ้าส์ตอนไปทำงานครับ”
เพราะความสะเพร่าของตนและรีบร้อนกลับไปทำงานกลางท้องทะเลกว้าง จนกระทั่งไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือไปด้วย และนั่นทำให้เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุพการีทั้งสอง
“คุณแม่...เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไม...คุณพ่อ...ถึงตาย...”
แม้พยายามบังคับน้ำเสียงไว้สุดกำลัง ทว่าในตอนท้ายก็ติดสั่นเครือ น้ำตาของลูกผู้ชายรื้นขอบตา เมื่อนึกถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบิดา
“เพราะพวกมัน...พวกมันทำให้พ่อของดิษต้องตาย!”
น้ำเสียงของมารดาที่ดังกระทบโสตประสาท เต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนดิษกรย์จับความรู้สึกได้
“พวกมัน ใครหรือครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้บิดาต้องตายก่อนวัยอันสมควร
“ไอ้นพวิทช์กับนังลัลน์ลลิน ลูกสาวของมัน”
ก่อนหน้านี้ดิษกรย์ไม่ได้สนใจหรือเอะใจกับชื่อ ‘ลัลน์ลลิน’ ที่เด็กรับใช้บอกว่าเป็นเจ้า
ของบ้านที่เคยเป็นของเขามาก่อน นาทีนี้ชายหนุ่มนึกออกแล้วว่าลัลน์ลลินคือใคร
และแน่นอนว่า ‘นพวิทช์’ ที่มารดากำลังพูดถึงด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นติดโกรธเคืองเป็นที่สุดนั้น ก็คือเพื่อนรักของบิดาเขานั่นเอง
“ลุงนพวิทช์และลลินคือสาเหตุทำให้คุณพ่อต้องตายยังงั้นหรือครับ ผมไม่เข้าใจที่คุณแม่พูด”
“ดิษไม่ควรนับถือมันว่าเป็นลุง” มณีวรรณต่อว่าเสียงสูง แล้วเอ่ยตอบด้วยความเจ็บแค้น “เพราะพวกมันโกงทุกอย่างไปจากพวกเราจนพ่อของดิษกลายเป็นคนล้มละลาย และ...และยิงตัวตาย”
“ยิงตัวตาย...”
โทรศัพท์ที่ถืออยู่แทบหลุดจากมือ ไม่คิดว่าว่าบิดาจะทำการอัตวินิบาตกรรมตัวเอง
“ใช่...ดิษ...พ่อ...ยิงตัวตาย...” คราวนี้ผู้เป็นมารดาร้องไห้โฮเสียงดัง พร้อมกับวิงวอนลูกชายอย่างน่าเวทนา “ดิษ กลับบ้านนะลูก กลับมาอยู่กับแม่ ตอนนี้แม่ไม่มีใครแล้ว แม่อยู่ไปวันๆ อยากฆ่าตัวตายตามไปอยู่กับคุณพ่อของดิษให้รู้แล้วรู้รอดไป”
“คุณแม่อย่านะครับ ได้โปรด...อย่าทำแบบนั้น...”
ดิษกรย์ขอร้องด้วยความตกใจ อยู่ไม่เป็นสุข กังวลและเป็นห่วงกับความคิดของมารดา เพราะเกรงว่าท่านจะคิดสั้นอีกคน
“ดิษรีบกลับมาอยู่กับแม่นะลูก อย่าทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียว”
ไม่ต้องรอให้มารดาเอ่ยขอร้องซ้ำอีกครั้ง ดิษกรย์รีบรับคำอย่างรวดเร็ว
“ครับๆ ผมจะกลับประเทศไทยให้เร็วที่สุด คุณแม่รอผมก่อนนะครับ”
“แม่รอดิษเสมอ” คำตอบของลูกชายทำให้มณีวรรณคลี่ยิ้มออกมาได้บ้าง
“ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ไหนครับ”
ขณะเอ่ยถามมารดา ดิษกรย์ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอน คว้ากระเป๋าเอกสารออกมาค้นหาพาสปอร์ตเพื่อเตรียมตัวกลับประเทศไทย
“แม่เช่าโรงแรมอยู่ เล็กซะยิ่งกว่ารังหนู แถมยังสกปรกด้วย ดิษรีบกลับมาเร็วๆ แม่ทนอยู่ในโรงแรมนี้จะไม่ไหวแล้ว”
“ผมจะกลับบ้านทันทีที่ซื้อตั๋วเครื่องบินได้ ผมขอร้อง...คุณแม่อย่าคิดสั้น อย่าทิ้งผมไปอีกคนนะครับ”
ดิษกรย์อ้อนวอนมารดาอีกครั้ง ในยามนี้เป็นห่วงมารดาจนนึกอยากให้ตัวเองมีอำนาจวิเศษสามารถหายตัวได้ในพริบตาเดียวแล้วอยู่ในประเทศไทยเลย
“กลับมาเร็วๆ นะลูก” มณีวรรณย้ำคำกับลูกชาย ก่อนจะเอ่ยบอกต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาติดอ่อนล้า “ดิษ...แม่เหนื่อย แม่ขอนอนพักก่อนนะลูก”
“ครับ คุณแม่ พักผ่อนเยอะๆ นะครับ รอไม่เกินสองวัน ผมจะกลับไปดูแลคุณแม่เองครับ”
“จ้ะ ลูกรัก แม่รักลูกจ้ะ”
“ผมรักคุณแม่ครับ”
ดิษกรย์เอ่ยบอกพร้อมกับวางโทรศัพท์ลงเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว ชายหนุ่มขบกรามแน่น ยกมือใหญ่ขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง ความรู้สึกผิดยังคงวิ่งวนอยู่ทั่วตัว เขาทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง กระทั่งไม่ได้ติดต่อหาบิดามารดา ไม่ได้ไปแม้กระทั่งงานศพของบุพการี
ดิษกรย์เดินทางไปหามารดาในโรงแรมที่ท่านพักอาศัยอยู่ในทันที เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว พอแท็กซี่จอดด้านหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมองจากสภาพภายนอกแล้วคงไม่ได้มาตรฐานของโรงแรมสักเท่าไร ก็เต็มไปด้วยความสงสารมารดา เพราะท่านเคยอยู่แต่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โต ทว่าตอนนี้ต้องมาทนอุดอู้อยู่ในห้องเล็กๆ ของโรงแรม
“คุณแม่ ผมมาถึงแล้วครับ”
ดิษกรย์เอ่ยบอกขณะเคาะประตูหน้าห้องพักของมารดา และไม่ต้องรอนาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกกว้าง ตามด้วยร่างเล็กผอมบางของมารดา ซึ่งโผเข้ามากอดเขาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้โฮด้วย
“ดิษ...ดิษของแม่ มาแล้วหรือลูก...”
“ครับ ดิษมาแล้วครับ ดิษจะไม่ทิ้งคุณแม่ไปไหนแล้วครับ”
ดิษกรย์กอดมารดาไว้แน่นไม่แพ้กัน ปล่อยให้ท่านร้องไห้จนเป็นที่พอใจ จึงประคองเข้าไปในห้องเล็กๆ ซึ่งมีเตียงนอนตั้งชิดกับผนังห้อง และมีโซฟาเก่าๆ ให้นั่งอีกหนึ่งตัวเท่านั้น
“คุณแม่นั่งลงก่อนนะครับ”
มณีวรรณทรุดตัวลงนั่งตามแรงประคองของลูกชาย เอ่ยตำหนิลูกติดน้ำเสียงสั่นเครือ
“ทำไมมาช้านัก แม่ต้องรอดิษถึงสองวัน”
ดิษกรย์นั่งลงกับพื้นห้อง ซึ่งไม่ได้มีพรมหนานุ่มรองรับเหมือนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าของตน ทว่าพื้นห้องหยาบๆ ติดสกปรกไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มนึกรังเกียจ นอกจากสงสารมารดาที่ต้องทนอาศัยอยู่ที่นี่ ระหว่างพยายามติดต่อหาเขาให้ได้
“ผมขอโทษครับ ผมบินกลับกะทันหันเลยหาตั๋วเครื่องบินยาก อีกอย่าง...ผมต้องเคลียร์เรื่องงานกับทางบริษัทด้วยครับ”
“ดิษจะไม่กลับไปนอร์เวย์อีกแล้วใช่ไหมลูก”
ดิษกรย์พยักหน้ารับ เอ่ยบอกถึงสิ่งที่ตนได้จัดการเป็นการเร่งด่วน เพื่อกลับมาอยู่ประเทศไทยเป็นการถาวร
“ครับ ไม่กลับแล้วครับ ผมประกาศขายเพนท์เฮ้าส์และลาออกจากงานแล้วครับ”
คำตอบของลูกชายทำให้ดวงตาของมณีวรรณไหววาบอยู่ชั่วขณะ ทว่าดิษกรย์ไม่ทันได้สังเกต
“ขายได้กี่ล้านหรือลูก”
“หลายสิบล้านครับ คุณแม่ เพราะเพนท์เฮ้าส์ของผมอยู่ใจกลางกรุงออสโล ย่านธุรกิจด้วย แต่ผมยังไม่ทราบว่าจะได้ราคาตามที่ตั้งไว้หรือเปล่า ผมขายผ่านทนายต้องรอให้ทนายติดต่อมาอีกทีครับ”
ดิษกรย์ไม่ได้เอะใจหรือนึกสงสัยที่มารดาเอ่ยถามถึงจำนวนเงินในการซื้อขาย เพราะคิดว่ามารดาคงต้องการสอบถามถึงความเป็นอยู่ทั่วไปของตน และสิ่งที่เขาเป็นทุกข์อยู่ในใจในขณะนี้คือเรื่องที่บิดาได้ทำการฆ่าตัวตาย