บทที่ 1

1164 Words
ดิษกรย์ จรณบูรณ์ วิศวกรหนุ่มในวัย 34 ปี ยกมือโบกลาให้กับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งอีกฝ่ายมีน้ำใจขับรถมาส่งเขายังเพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์           ดิษกรย์ทำงานให้กับบริษัทขุดเจาะน้ำมันยักษ์ใหญ่ในทะเลเหนือ ในประเทศที่ได้สมญานามว่า “ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน” นั่นก็คือประเทศนอร์เวย์ ชายหนุ่มทำงานอยู่ที่แท่นเจาะน้ำมันกลางทะเลเป็นหนึ่งเดือนโดยไม่ได้หยุดพัก และวันนี้ก็ครบกำหนดที่เขาต้องหยุดพักผ่อนแล้ว จึงกลับขึ้นมาบนแผ่นดินพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ซึ่งครบกำหนดพักผ่อนเช่นเดียวกัน           ดิษกรย์ยืนรอกระทั่งเพื่อนร่วมงานได้ขับรถออกไปแล้ว จึงเดินเข้าไปในตึกสูง ชึ่งเพนท์เฮ้าส์ของเขาอยู่ชั้นที่ 12 ของอาคารแห่งนี้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทักทายตน จากนั้นก็ตรงไปที่ลิฟต์กดเรียกไปยังชั้นที่ตั้งของเพนท์เฮ้าส์ของตน           “นานๆ ได้กลับบ้านที รู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับบรรยากาศในบ้านเอาซะเลย”           ดิษกรย์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ ใช่! เขาไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศภายในบ้านจริงๆ เพราะเขาจะอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลเป็นส่วนมาก           เมื่อกดเปิดไฟให้ความสว่างไสวทั่วห้อง และวางกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมลงกับพื้นแล้ว ดิษกรย์ก็เดินตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน พร้อมกับกดเปิดเครื่องบันทึกเสียง เพื่อฟังว่าใครได้โทร.มาหาบ้างในตอนที่เขาไม่ได้อยู่บ้าน           บรั่นดีที่เก็บไว้บนชั้นเคาน์เตอร์บาร์ ถูกรินลงมาครึ่งแก้ว ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาคมจะค่อยๆ ยกขึ้นจิบ และทรุดตัวลงนั่งเอนกายพิงกับพนักโซฟาหนานุ่มขณะฟังข้อความจากบรรดาเพื่อนๆ ที่ได้โทร.มาฝากข้อความเสียงไว้ และไม่ใช่มีแค่บรรดาเพื่อนๆ เท่านั้น แต่ยังมีสาวๆ ที่เคยเป็นคู่เดทได้โทร.มาหาเขาด้วย           ‘ที่รัก...เมื่อไรจะขึ้นบกสักที ซูซี่คิดถึงมากๆ ค่ะ’           ‘คุณดิษขา...แองจี้เหงามาก แองจี้ยังรอคุณดิษอยู่ที่โรงแรมเดิมนะคะ’           ดิษกรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับน้ำเสียงของสาวๆ ที่โทร.ฝากข้อความออดอ้อนราวกับอยากพบเขาใจจะขาด แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้รักหรือซื่อสัตย์กับเขามากมาย ระหว่างที่เขาไปทำงานอยู่กลางทะเล พวกเธอก็คบกับผู้ชายคนอื่นไม่ซ้ำหน้า           “เฮ้อ...อยากรู้จริงๆ ถ้าผมไม่มีเงินถุงเงินถัง พวกคุณยังจะโทร.หาผมไหม”           ถ้าหากเขาไม่รวยมากพอ สาวๆ เหล่านี้ก็ไม่ติดต่อหาเขาแน่นอน ดิษกรย์บ่นอุบ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปรินบรั่นดีใส่แก้วอีกครั้ง กำลังจะยกขึ้นดื่ม ก็มีอันต้องนิ่งงันกับข้อความที่กำลังดังมากระทบโสตประสาท          ‘ดิษ...ดิษ...พ่อ...ตาย...แล้ว...’          เพล้ง!!!                  แก้วบรั่นดีหลุดจากมือกระทบพื้นหินอ่อนแตกกระจาย ร่างใหญ่นิ่งชาราวกับถูกน๊อกด้วยหมัดหนักๆ ต้องใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้           “คุณพ่อตายแล้ว...”           ดิษกรย์พึมพำแทบไม่พ้นลำคอ ขอบตาของลูกผู้ชายถึงกับร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อคำพูดปนสะอื้นของมารดาที่โทร.มาฝากข้อความไว้ได้แล่นเข้าสู่โสตประสาทอีกครั้ง           “เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณพ่อถึงตาย”           คำถามวิ่งวนอยู่ในหัวสมอง ดิษกรย์เดินลากเท้าอย่างหมดเรี่ยวแรงไปคว้าโทรศัพท์ แล้วกดโทรทางไกลระหว่างประเทศกลับประเทศไทยในทันที           แค่ไม่กี่นาทีระหว่างรอให้ปลายทางกดรับสาย ใจที่ร้อนราวกับนั่งอยู่บนกองเพลิงกลับรู้สึกว่าช่างเนินนานจนแทบทนรอไม่ไหว และเมื่อปลายทางกดรับสาย ดิษกรย์ก็รีบเอ่ยถามในทันที            “แป้ง...คุณแม่อยู่ไหน” เพราะคิดว่าเด็กรับใช้ในบ้านเป็นผู้รับโทรศัพท์ ดิษกรย์จึงเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น แต่แล้วก็ต้องงุนงงยิ่งกว่าไก่ตาแตก เมื่อเจอคำถามๆ กลับคืนมาว่า “ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าคุณโทร.มาหาใครคะ” ดิษกรย์ขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะถามกลับบ้าง “แป้ง นี่เธอจำฉันไม่ได้หรือยังไง คุณดิษกรย์ยังไงละ” “เอ่อ...ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ชื่อแป้งค่ะ” คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้ดิษกรย์งุนงงหนักกว่าเดิม แต่ในใจก็คิดว่ามารดาอาจจะเปลี่ยนเด็กรับใช้คนใหม่ก็ได้ เด็กคนนี้ถึงจำน้ำเสียงของเขาไม่ได้ “งั้นไม่เป็นไร คุณแม่ คุณท่านอยู่ไหน บอกว่าคุณดิษโทร.มาหา”  “คุณจะพูดกับใครคะ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านค่ะ” “คุณท่านไปไหน” “คุณท่านที่คุณถามหา หมายถึงคุณลัลน์ลลินหรือเปล่าคะ” “ไม่ใช่” ดิษกรย์ตอบเสียงห้วน ก่อนจะบอกต่อว่า “ฉันหมายถึงคุณแม่มณีวรรณ คุณแม่อยู่บ้านหรือเปล่า” “ขอโทษนะคะ คุณโทร.มาผิดแล้วค่ะ ที่นี่ไม่มีคนชื่อมณีวรรณค่ะ” “อะไรนะ” ดิษกรย์ถามเสียงหลง มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กดหมายเลขโทรศัพท์ผิด แล้วทำไมเด็กรับใช้ถึงบอกว่าไม่ใช่บ้านของคุณแม่ของเขา “นี่หมายเลข...ใช่ไหม” ดิษกรย์ทวนหมายเลขโทรศัพท์บ้าน เพื่อความมั่นใจว่าเขาไม่ได้กดผิดแน่นอน และปลายทางก็ตอบกลับมาว่า “ใช่ค่ะ แต่ไม่มีคนชื่อมณีวรรณค่ะ บ้านนี้มีแค่ดิฉันอยู่กับคุณลัลน์ลลินสองคนเท่านั้นค่ะ” ดิษกรย์ไม่ได้ฟังชื่อของคนที่เด็กรับใช้ได้พูดถึง ชื่อของเจ้าของบ้านไม่ได้สะกิดในหัวใจของเขา นาทีนี้ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความงุนงงว่า ทำไมเด็กรับใช้บอกว่าคุณแม่ของเขาไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่เป็นของครอบครัวพวกเขามาชั่วอายุคนแล้ว “คุณคะ มีอะไรจะถามอีกไหมคะ ฉันจะไปทำงานต่อแล้วนะคะ” เด็กรับใช้เอ่ยถามหลังจากต้นทางนิ่งเงียบหลายนาทีด้วยกัน “ไม่มีแล้ว ขอบใจมาก” ดิษกรย์กดวางสาย ความสงสัยยังวิ่งวนอยู่ทั่วหัวสมอง อีกทั้งยังอยากได้รับความกระจ่างเรื่องของบิดาด้วย คราวนี้จึงเลือกโทร.เข้าเบอร์มือถือของมารดาแทน และไม่ต้องถือ   สายรอนาน ผู้เป็นมารดาก็กดรับสาย พร้อมกับถ้อยคำต่อว่าชุดใหญ่จนชายหนุ่มฟังแทบไม่ทัน “ดิษ...ทำไมเพิ่งโทร.มาหาแม่ รู้ไหมว่าพ่อตายแล้ว ฮือๆๆ ทำไมไม่ติดต่อหาแม่ ทำไมปล่อยให้แม่ลำบากอยู่ตั้งนานสองนาน” ถ้อยคำตัดพ้อ กอปรกับเสียงสะอื้นร้องไห้ดังลั่นของมารดา ทำให้ดิษกรย์รู้สึกผิดเต็มประดา ชายหนุ่มขบกรามกลั้นความรู้สึกผิดไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วเบา “ผมขอโทษครับ คุณแม่” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD