“คุณแม่ครับ เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ผมไม่อยู่ ลุงนพวิทช์โกงคุณพ่อยังไง ทำไม...ทำไม...ท่านถึงได้ตัดสินใจคิดสั้นทิ้งพวกเราไป...”
เมื่อได้ยินชื่อของศัตรู มณีวรรณก็ตีหน้าบึ้ง เสียงแข็งขึ้นมาทันที “แม่บอกแล้วว่าอย่าไปเรียกมันว่า ‘ลุง’ ไม่ต้องนับญาติกับคนที่ทำให้พ่อของดิษต้องตาย”
“คุณแม่บอกผมสิครับ ว่าเขาทำอะไร”
รู้ว่ามารดาเจ็บแค้น ดิษกรย์ก็เลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อของคนที่เคยเป็นเพื่อนรักของบิดา และอยากรู้เหลือเกินว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
ดวงตาของมณีวรรณแข็งกร้าว ขณะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกชายฟัง “เพราะคำว่ารักเพื่อน เชื่อใจเพื่อน ทำให้พ่อของดิษต้องหมดตัว และฆ่าตัวตาย พวกมันชวนให้พ่อของดิษเล่นหุ้นทั้งๆ ที่พ่อไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย แต่พ่อก็เชื่อใจไอ้นพวิทช์ ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง แนะนำให้ทำอะไรพ่อก็ทำตามทุกอย่าง”
“เขาพาคุณพ่อเล่นหุ้นนานแค่ไหนครับ”
“แค่ปีเดียวเท่านั้น ดิษ...ระยะเวลาแค่หนึ่งปี พวกมันหลอกเงินของคุณพ่อจนหมดตัว คราวใดที่หุ้นร่วงดิ่งลงเหว เขาก็ปลอบใจว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น เขาหลอกให้พ่อเอาโฉนดบ้านไปจำนองกับนายหน้า ซึ่งก็เป็นเพื่อนในแก๊งที่พวกมันสมหัวร่วมคิดด้วยกัน เมื่อพ่อไม่มีเงินไปจ่ายค่าดอกเบี้ยที่จำนองไว้ ไอ้นพวิทช์ก็ยึดบ้านของเราไปเป็นของมันในทันที”
“ทำไมคุณแม่ไม่บอกผมในเรื่องนี้เลยครับ ผมโทร.มาหาคุณแม่ตลอด แต่คุณแม่ก็บอกแค่ว่าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่”
ด้วยงานที่ค่อนข้างรัดตัว ทำให้ดิษกรย์ไม่มีโอกาสได้กลับประเทศไทยบ่อยครั้งนัก กระนั้นเขาก็โทร.ติดต่อหาบิดามารดาตลอดเวลา
และทุกครั้งที่โทร.มาหาท่านทั้งสอง ก็ไม่ลืมสอบถามถึงความเป็นอยู่ของท่านด้วย แน่นอนว่ามารดาตอบเขาว่าท่านทั้งสองสบายดี ทำให้เขาไม่รู้ความจริงเลยว่าท่านทั้งสองกำลังถูกเพื่อนรักหลอกให้เดินบนเส้นทางอันตราย
“แม่ไม่อยากให้ดิษเป็นห่วง ไม่อยากให้เป็นกังวลจึงตอบดิษว่าพ่อกับแม่สบายดี”
“คุณแม่น่าจะบอกผมเรื่องบ้าน ผมจะได้จัดการไถ่ถอนมาจากพวกเขา ไม่ให้พวกเขายึดไป”
“แม่อยากบอกดิษเหลือเกิน อยากโทร.หาดิษใจจะขาด” มณีวรรณบอกเสียงแผ่วเบา ก่อนจะร้องไห้ตัวสั่นสะท้านขณะบอกลูกชายต่อ “พวกมัน...พวกมันขู่แม่...ขู่ว่าถ้าหากบอกเรื่องนี้กับดิษ มันจะฆ่าแม่ให้ตาย”
“บัดซบ!”
ดิษกรย์สบถออกมาด้วยความลืมตัว ดวงตาแข็งกร้าว ขบกรามจนเส้นเอ็นปูดโปน ในหัวเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ผู้เป็นมารดายกมืออันสั่นเทาขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง ความหวาดกลัวยังแพร่กระจายอยู่ทั่ว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“ไอ้คนชั่วมันพาลูกน้องมาเกือบห้าคน มาขู่พ่อกับแม่ถึงในบ้าน ว่าห้ามโทร.บอกดิษ พวกมันติดเครื่องดักฟังในบ้านด้วย ทำให้แม่ไม่กล้าบอกความจริงกับดิษ จนกระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามเกมที่มันต้องการ บ้านและรถของพวกเราตกไปอยู่ในมือของไอ้นพวิทช์ทั้งหมด”
“คุณแม่ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมอยู่นี่แล้ว ผมจะไม่ทิ้งคุณแม่ไปไหนอีกแล้ว”
ดิษกรย์จับมือของมารดามากุมไว้ รับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่ยังคงฝั่งแน่นอยู่ เพราะตอนนี้มือของท่านนอกจากจะเย็นเฉียบแล้วยังสั่นเทาไม่หยุด
มณีวรรณฝืนยิ้มทั้งน้ำตาให้กับผู้เป็นลูก “แม่รู้ว่าดิษจะไม่ทิ้งแม่อีกแล้ว”
“ผมจะดูแลคุณแม่เองครับ ผมจะซื้อบ้านหลังใหม่ให้คุณแม่นะครับ”
ดิษกรย์บอกถึงสิ่งที่ตนขบคิดไว้ แต่ผู้เป็นมารดากลับส่ายหน้าปฏิเสธในทันที
“ไม่! แม่ไม่ต้องการบ้านหลังใหม่ แม่ต้องการบ้านของแม่คืน บ้านที่เคยเป็นเรือนหอของแม่ บ้านที่แม่เคยคลอดและเลี้ยงดูดิษจนเติบโต ดิษต้องเอาบ้านของเราคืนมา”
ดิษกรย์นิ่งเงียบไปชั่วขณะ หัวสมองเต็มไปด้วยความคิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการแก้แค้น!
เมื่อลูกชายไม่พูดไม่ตอบโต้ เอาแต่นิ่งเงียบกัดฟันดังกรอด มณีวรรณก็บอกถึงสิ่งที่ท่านได้พบเจอจากบรรดาคนเลวเหล่านี้
“ดิษรู้ไหมว่าในวันที่พวกมันมายึดบ้านของเรา ไอ้นพวิทช์กับนังลัลน์ลลินมันมาไล่แม่ออกจากบ้านที่เคยเป็นบ้านของแม่”
“ลัลน์ลลิน”
“ใช่! นังลัลน์ลลินมันมาไล่แม่ออกจากบ้านยังกับหมูกับหมา”
ได้ยินเสียงของมารดาเอ่ยบอกเสียงแข็งแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ดิษกรย์ก็รีบเอ่ยถามในทันที
“เธอทำอะไรกับคุณแม่บ้างครับ บอกผม...” น้ำเสียงในตอนท้ายติดห้วนและแข็งกร้าว
“แม่ขอร้องนังลัลน์ลลินว่าขออยู่ในบ้านต่อจนกว่าจะติดต่อดิษได้ แต่เธอไม่ยอม เธอไล่แม่ให้ออกจากบ้านในวันนั้นนาทีนั้น ดิษรู้ไหม...แม่...แม่ยกมือไหว้มัน ไหว้คนที่อายุอ่อนกว่าแม่เกือบครึ่งอายุคน แม่ยอมยกมือไหว้มัน เพื่อขออยู่ในบ้านอีกสักระยะเท่านั้น แต่มัน...ไม่ยอม มันสั่งให้ลูกน้องลากแม่ออกจากบ้านในวันนั้น...”
“นรก!”
ดิษกรย์สบถลั่นห้อง ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์เพราะความโกรธจัด เมื่อรู้และนึกภาพออกว่ามารดาถูกกระทำอย่างไร้เกียรติ!
“ลัลน์ลลิน!”
น้ำเสียงที่แค้นเรียกลอดไรฟันฟังดูเย็นยะเยือก หากผู้เป็นเจ้าของชื่อได้ยินเสียงนี้ ก็มีอันต้องขนลุกซู่กับความเคียดแค้นที่มาพร้อมกับการขานเรียกชื่อของเธอ
“ดิษควรได้เห็นตอนที่พวกมันลากแม่ออกจากบ้าน...พวกมันทำกับแม่ ยังกับแม่ไม่ใช่คน” มณีวรรณร้องไห้สะอึกสะอื้น จนดิษกรย์ต้องรีบโอบกอดท่านไว้เพื่อคลายความทุกข์ ความเจ็บปวด
“พวกมันจะไม่มีโอกาสได้ทำร้ายคุณแม่อีกแล้ว” ดิษกรย์บอกเสียงแข็ง
“แม่...แม่อยากให้ดิษแก้แค้นให้พ่อ แก้แค้นให้แม่ เอาบ้าน เอารถ เอาทุกอย่างที่เคยเป็นของพวกเรากลับคืนมา และทำให้พวกมันย่อยยับเหมือนที่มันทำกับครอบครัวของเรา”
“แน่นอนครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้พวกมันได้อยู่อย่างสุขสบายบนความทุกข์และความตายของคุณพ่อ”
“นังลัลน์ลลิน มันสมควรได้รับการสั่งสอน แม่เคยรักและเอ็นดูมันเหมือนลูกหลาน แต่มันไม่เคยนับถือแม่เลย แม่เจ็บใจนัก ที่ถูกมันทำยังกับหมูกับหมา”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ ความแค้นนี้จะหายไปจากใจของคุณแม่ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาบ้านของเรากลับคืนมา และพวกมันจะต้องได้รับการสั่งสอนจากผมอย่างสาสม”
นี่คือสิ่งที่วิ่งวนอยู่ทั่วหัวสมอง แน่นอนว่าดิษกรย์จะแก้แค้น และเอาทุกอย่างที่เคยเป็นของครอบครัวของเขากลับคืนมา เมื่อคนเลวเหล่านี้โกงเอาบ้านไปด้วยวิธีสกปรก เขาก็จะเอาบ้านกลับคืนด้วยวิธีสกปรกเช่นเดียวกัน และคนที่จะถูกคิดบัญชีคนแรกก็คือลัลน์ลลิน!!!