คุณยายวันตักข้าวเข้าปากไปบ่นไป คุณตาเปล่งกับไวทินได้แต่นั่งมองอาการขึงขังแต่เช้า โดยไม่ว่าอะไรสักคำ ปราณปริยาวดีเองก็ได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ด้วยความกลัดกลุ้มไม่รู้จะทำยังไง
ในเมื่อแม่ก็ป่วยหนักอย่างนี้ จะขัดใจก็คงจะอาการย่ำแย่ จะบอกใครก็บอกไม่ได้เพราะแม่สั่งไว้นักหนา
“แล้วหนึ่งว่าไงล่ะลูก”
คุณตาเปล่งเงยหน้าถามหลานในที่สุด เมื่ออิ่มมื้อเช้า ส่วนไวทินนั้นหัวใจแทบสลายมาตั้งแต่ได้รู้ข่าวเมื่อคืนนี้แล้ว ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ด้วยสาวที่หมายปองอยู่ลึกๆ ในใจนั้นหาได้ล่วงรู้ไม่
บวกกับฐานะด้อยกว่า ทำให้ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวและเจียมใจเอาไว้เท่านั้น
“หนึ่งยังไม่รู้ค่ะคุณตา”
“แต่ไม่เกินเย็นนี้หนึ่งก็ต้องรู้ และต้องให้คำตอบแม่เราแล้วนะ” คุณตาเปล่งเหมือนเดาใจลูกสาวออก
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อปราณปริยาวดีกลับเข้าบ้าน กอบก็บอกให้ไปหาแม่ที่นอนซมอยู่บนเตียง ใบหน้าก็ซีดเซียวผิดจากเมื่อวานตอนแขกมาบ้านคนละเรื่อง
“แม่รู้ว่าหนึ่งลำบากใจ แต่แม่อยากให้หนึ่งลองคิดดูดีๆ นะลูก ผู้ชายสมบูรณ์แบบทุกด้านอย่างนี้ และเข้าตามตรอกออกตามประตูแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ นะหนึ่ง”
“แล้วทำไมลูกสาวบ้านนั้นถึงได้ไม่เอาเขาล่ะคะคุณแม่”
ลูกสวนทันควัน แต่น้ำเสียงไม่ดังมากทำให้แม่ยังอารมณ์เย็นอยู่ได้
“ก็เพราะพวกมันคิดว่าคุณพลาธิปจะเจ้าชู้เหมือนพ่อไงล่ะ คงจะเข็ดล่ะมั้งที่มีพ่อเจ้าชู้มีบ้านเล็กบ้านน้อยไปทั่ว ตัวเลยไม่อยากจะเจอแบบนั้น”
“แล้วคุณแม่ไม่กลัวบ้างเหรอคะ”
อีกครั้งที่ลูกสาวสวนกลับด้วยความสงสัย
“ไอ้กลัวมันก็กลัวล่ะนะหนึ่ง แต่แม่กลัวว่าจะไม่มีคนสมบูรณ์แบบอย่างนี้มาให้หนึ่งเลือกอีกมากกว่า แม่ว่าคุณพลาธิปก็ไม่น่าจะเป็นเหมือนพ่อ หรือถ้าเป็นก็คงจะไม่มากเท่า ถ้าหนึ่งเป็นเมียที่ดี เอาผัวอยู่ แม่ว่าเขาก็คงจะนอกลู่นอกทางได้ไม่นานหรอก แม่ก็เชื่อว่าลูกสาวแม่จะมัดใจเขาได้ เพราะลูกสาวแม่สวยสมบูรณ์แบบและงามพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา ใจ กิริยามารยาทก็เรียบร้อย ใครพบใครเห็นก็รักและเอ็นดู ไม่เสียแรงที่แม่อุตส่าห์สั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ หนึ่งไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังเลย”
เพราะปานนำความผิดหวังทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นบทเรียน และเฝ้าสั่งสอนลูกให้มีทุกอย่าง ที่หญิงสาวสมัยนี้น้อยคนนักจะมีครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้
การบ้านการเรือน จิตใจเอื้ออารีย์ และโดยเฉพาะเรื่องรูปสมบัติ ปานมักจะคอยบอกคอยแนะลูกให้รักษาผิวพรรณ รักษาทรวดทรงองเอวให้งามพร้อม เพราะเกิดเป็นนารีมีรูปก็เหมือนมีทรัพย์ เหมือนตัวเองสมัยสาวๆ
ที่สะสวยทั้งรูปร่างหน้าตา ไหนจะท่วงท่าการร่ายรำที่ได้มาจากแม่ตั้งแต่จำความได้แล้ว และนั่นทำให้มัดใจหนุ่มรูปงามอย่างปิยะหลงรักปานตั้งแต่แรกเห็น และตามจีบตามตื้อจนได้ปานมาแนบครอง
ทว่าก็เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง ทำให้ปานรู้ทีหลัง ว่ากลายเป็นน้อยไปแล้ว เมื่อเมียตบเมียแต่งของปิยะตามไปรังควานถึงรังรัก ปานเสียใจมากจะเลิกให้ได้
แต่ปิยะก็ไปอ้อนวอนขอคืนดี จนปานได้ทีเรียกร้องเอาบ้านอีกหลังให้ใกล้ๆ บ้านเมียหลวง รถหรูหรา คนรับใช้ เงินทองที่เวลารักปิยะก็ประเคนให้ไม่มีเสียดาย
ทำให้ปานลืมความทุกข์ในเรื่องตัวเป็นน้อยได้จนเกือบสนิทใจแล้ว หากไม่ติดตรงที่ตัวเองนั้น มีทายาทให้ปิยะได้แค่คนเดียวและเป็นหญิงด้วย โอกาสจะได้ครอบครองกิจการที่เขามีจึงริบหรี่เต็มทน
แถมบ้านใหญ่ก็หัวเราะดังกว่าอีกเมื่อให้กำเนิดลูกชายมาเย้ยหยันให้เจ็บใจเล่นๆ มาตลอดเวลา
‘หนึ่ง’ ชื่อเล่นของลูกสาว จึงถูกตั้งขึ้นเพื่อหวังให้ลูกได้เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะเรื่องการมีคู่ครอง ปานจะยอมให้ลูกเป็นสองไม่ได้
‘ปราณปริยาวดี’ ชื่อนี้แทนความเจ็บอกเจ็บใจ เพราะตัวเองมีชื่อสั้นๆ คำเดียว ‘ปาน’ ที่พ่อแม่ตั้งให้ ปานจึงสรรหาชื่อยาวๆ และมีความหมายว่า เป็นที่รักประหนึ่งชีวิตมาตั้งให้ลูก
ข้าวของทุกอย่างที่ปานขาดในตอนเด็ก ด้วยพ่อแม่เป็นคนบ้านสวนไม่รู้จักอะไรเลยในสังคมเมือง จึงไม่อาจจะตามแฟชั่นตามสมัยใหม่ๆ ได้ ปานจึงไม่รอช้า สรรหาทุกอย่างมาให้ลูก
แม้ปานจะเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ทะเยอทะยาน ใจคอยแต่จะอิจฉาริษย***านใหญ่ กลัวจะมีอะไรเกินหน้าเกินตานั้น แต่ปานก็มีดีตรงที่ เลี้ยงลูกสาวคนเดียวให้เป็นเด็กดี รักดี รักเรียน
อยู่ในโอวาทเสมอๆ ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว จะออกนอกลู่นอกทาง โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย ปานจะกำชับกำชาและตามติดลูกตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาลยันจบปริญญาตรีเลยทีเดียว
เพราะปานอยากจะให้ลูกสาวมีค่า สำหรับชายที่จะเข้ามาเป็นสามีของลูก และข้อนี้เองที่ตัวเองมัดใจปิยะไว้ได้ และได้ทุกอย่างที่อยากได้มาครอบครองไว้
“ถ้าหนึ่งไม่ตกลงล่ะคะคุณแม่”
ปราณปริยาวดีตัดสินใจหยั่งเชิง แม้จะหวาดหวั่นอยู่บ้าง ว่าแม่จะเสียอกเสียใจหรือร้องไห้ฟูมฟายออกมาเหมือนหลายๆ ครั้งที่ถูกขัดใจ
แต่ครั้งนี้ผิดถนัด แม่แค่หันมามองแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้เท่านั้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวลูกสาวอย่างแผ่วเบา
“แม่จะไม่บังคับหนึ่งหรอกจ้ะ แม่จะให้หนึ่งเลือกได้ตามสบาย แต่แม่อยากจะให้หนึ่งคิดดูดีๆ อยากให้หนึ่งเป็นฝั่งเป็นฝา ก่อนแม่จะเป็นอะไรไปก็เท่านั้น หนึ่งเหมือนมีแม่เป็นที่พึ่งคนเดียว จะหวังฝากชีวิตไว้กับคุณพ่อ หนึ่งก็เห็นอยู่แล้ว ว่าคุณพ่อไม่มีเวลาให้ลูกคนไหน นอกจากเรื่องกิจการที่บริษัท อีกอย่างหนึ่งเป็นแค่ลูกสาวที่คุณพ่อไม่ค่อยอยากจะได้ สิ้นแม่ไปแล้ว หนึ่งจะทำยังไง จะอยู่ที่ไหนกันล่ะลูก ลำพังเป็นครูสอนรำหรือต่อยอดโรงเรียนสอนดนตรีไทยของคุณตาคุณยายแค่นั้น สักวันมันก็จะถูกลืม และหาทางเลี้ยงปากท้องลำบาก หนึ่งลองคิดดูให้ดีๆ นะลูก”
“ค่ะคุณแม่ หนึ่งจะลองคิดดูค่ะ”