ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดินทางมาต่างประเทศ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การมาท่องเที่ยวหรือมาแลกเปลี่ยนความรู้ในสายงานที่ทำอยู่ เป็นการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ พรนับพันไม่ได้อ่านข้อมูลหรือแม้แต่ดูรูปว่าที่สามีของเธอเลย รู้เพียงจากที่คุณพ่อเล่าคราวๆ เพราะเธออยากรู้จักเขาด้วยตัวเอง บางทีเธออาจต่อรองกับเขาให้มาเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการของเธอ แม้เรื่องนี้เป็นความหวังอันน้อยนิดแต่เธอก็ยังหวัง
หญิงสาวรับกระเป๋าเดินทางแล้วเดินมาที่จุดนัดหมาย เธอกวาดตามองเพียงครู่หนึ่งก็เห็นชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกถือป้ายกระดาษมีชื่อเธอเป็นภาษาไทยบนป้ายนั้นแถมยังมีรูปดอกไม้และสายรุ้งอีกด้วย ทำเอาเธอจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออกหรือจะหัวเราะก็คงเสียมารยาทเกินไป
“ซา-หวัด-ดี-คับ” เสียงทักทายเป็นภาษาไทยแปร่งหูดังขึ้นทันทีที่เห็นพรนับพันเดินตรงไปหาเขา คงเพราะมีรูปเธอในโทรศัพท์มือถืออยู่แล้วจึงทักไม่ผิดคน
“สวัสดีค่ะ” พรนับพันยกมือไหว้ทักทายด้วยภาษาไทยก่อนตามด้วยภาษาจีน “คุณเป็นคนที่สกุลหลิวส่งมารับฉันหรือคะ”
“โอ้! คุณพูดภาษาจีนได้ด้วย” อีกฝ่ายดูท่าทางตื่นเต้นยิ่งกว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อหลิวจิงถิงครับ เรียกจิงถิงก็ได้ เป็นเลขาคุณหลิวโม่โฉว”
“ฉันพูดภาษาจีนได้แต่ไม่คล่องนักแล้วก็คุณต้องพูดช้ากว่านี้หน่อยค่ะ” พรนับพันหัวเราะเบาๆ “คุณแซ่หลิวหรือคะ”
จิงถิงลูบท้ายทอยแก้เขินก่อนนึกขึ้นได้ก็รีบยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋าให้หญิงสาว “ผมเป็นเด็กกำพร้าที่สกุลหลิวรับอุปการะและเมตตาให้ใช้แซ่หลิวครับ”
เมื่อได้ยินเขาแนะนำตัวตรงกับที่พ่อของเธอบอก พรนับพันก็ยอมเดินตามเขาไปพอรอขึ้นรถ ความจริงเธอก็ไม่อยากระวังเรื่องไม่เป็นเรื่อง เธอไม่ใช่นักธุรกิจดังอะไรแต่แค่ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ยังไงก็ต้องมีชีวิตไว้อยู่ดูแลครอบครัวของตนเอง
รถเก๋งหรูหราเข้ามาจอดก่อนที่เธอจะเดินออกมาพ้นประตูสนามบิน จิงถิงเดินเร็วๆ ไปเปิดประตูด้านหลังแล้วค้อมเอวลงเชิญให้เธอก้าวขึ้นรถ พรนับพันจะอ้าปากบอกว่า ‘ไม่ต้องทำขนาดนี้’ แต่เหมือนไม่ทันแล้ว ส่วนคนขับรีบกุลีกุจอยกกระเป๋าใส่ท้ายรถให้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่นาทีรถก็เคลื่อนตัวออกไป โดยที่จิงถิงนั่งอยู่ข้างขับรถ
“ได้ยินว่าคุณผู้หญิงเคยมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีหรือครับ” จิงถิงถามอย่างชวนคุยสร้างความสนิทสนมเตรียมเก็บข้อมูลไปรายงานเจ้านาย
“คุณผู้หญิง?” พรนับพันสีหน้ากระอักกระอ่วนที่ได้ยินคำนี้ “ฉันยังไม่ได้เป็นคุณผู้หญิงนะคะ”
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้นเรียกคุณหนู...”
“เรียกปันปันก็ได้ค่ะ ชื่อเล่นฉันเอง”
เธอถอนหายใจเบาๆ นี่เธอกระโดดเข้าในในซีรีย์จีนหรือไง คงจะมีคุณชายใหญ่ นายท่านรอง คุณชายน้อยวุ่นวายกันไปหมด ครอบครัวเธอเป็นครอบครัวใหญ่ก็จริงแต่ก็ไม่ได้เรื่องมากแบบนี้ ดวงตาสีนิลจ้องมองภาพด้านนอกกระจกรถ เธออยู่ในเมืองใหญ่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากกรุงเทพฯ นัก ครั้งที่เธอมาในฐานะแพทย์แผนไทยประยุกต์แลกเปลี่ยนความรู้นั้น ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และลงพื้นที่กับอาจารย์ที่ปรึกษา หกเดือนเก็บความรู้เต็มเปี่ยมแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสท่องเที่ยว
“คฤหาสน์ของนายท่านอยู่ชานเมืองสงบร่มรื่นพื้นที่กว้างขวางเดินทางสะดวก ท่านนายบอกว่าถ้าคุณหนูชอบอยู่ในเมืองก็สามารถมาอยู่คอนโดหรือเพนท์เฮ้าส์ได้ครับ”
‘คุณหนูอีกแล้ว ช่างเถอะ ดีกว่าคุณนายก็แล้วกัน เธอยังไม่รีบเป็นคุณนายสกุลหลิว’
“แล้วปกติคุณหลิวโม่โฉวพักที่ไหนคะ”
“คุณหนูไม่ต้องเรียกประธานห่างเหินแบบนั้นก็ได้ครับ” จิงถิงพูดขึ้น
“แล้วฉันควรเรียกเขาว่าอะไรคะ?”
“เรียกคุณโม่โฉวก็ได้ครับ”
“แต่คุณเรียกท่านประธาน”
“ผู้เป็นลูกน้องนี่ครับ” จิงถิงหัวเราะเบาๆ “สกุลหลิวรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้หลายคนครับ พวกเราล้วนสำนึกในเมตตาของท่านทำงานตอบแทนท่านครับ”
พรนับพันยิ้มเจือน ก็ดีเหมือนกันไม่อย่างนั้นคงนับญาติกันวุ่นวายไปหมด
“อ้อ ผมลืมตอบคุณหนูไป ท่านประธานมีเพนท์เฮ้าท์ในเมืองครับ ส่วนคุณชายน้อยอยู่กับนายท่านใหญ่ครับ”
พรนับพันยิ้มแข็งค้างบนใบหน้า เอาล่ะ เธอเริ่มงงกับครอบครัวนี้แล้ว แต่ก็ช่างเถอะ มันก็ไม่น่าแปลกใจนี่ ผู้ชายอายุแค่สามสิบสองถึงจะมีลูกแล้วแต่ภรรยาก็ตายจากไป เขาคงต้องการความเป็นส่วนตัวกับ...เอ่อ...ผู้หญิง...บ้างแหละ คงกลัวลูกจะสับสนเลยให้อยู่กับปู่สินะ
จากสนามบินรถยนต์แล่นมาถึงคฤหาสน์หรูบนเนิ่นเขาใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง บ้านหลังใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก เมื่อรถยนต์จอดนิ่งแล้ว จิงถิงก็รีบลงมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวก้าวลงมา เธอตกใจเล็กน้อยแต่เก็บซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มเมื่อเห็นบรรดาคนรับใช้ในชุดเมดออกมายืนรอต้อนรับเหมือนในซีรีย์ที่เคยดู แล้วเธอก็นึกสงสัยว่ามันจะมีจริงหรือ? จนมาเจอด้วยตัวเองอย่างนี้
“ขอต้อนรับคุณผู้หญิง”
ดูเหมือนว่า...ทุกคนจะรู้ฐานะที่เธอมาที่นี้แล้ว ทั้งที่เธอตั้งใจมาเงียบๆ เพื่อหาข้อตกลงในการแต่งงานครั้งนี้
“หนูปันปันมาแล้ว”
ปู่หลิวจิ้นอันเดินเข้ามาแล้วสวมกอดว่าที่หลานสะใภ้ คุณปู่หลิวในวัยเจ็ดสิบกระฉับกระเฉงแข็งแรงเหมือนคนอายุแค่ห้าสิบ อาจเพราะดูแลสุขภาพอย่างดีจึงแข็งแรงดีอย่างนี้ ท่าทางเป็นกันเองและเมตตาอ่อนโยนทำให้พรนับพันใจชื้น อย่างน้อยเธอคงไม่เป็นสะใภ้ที่โดนกดขี่อย่างที่แอบกังวล
“สวัสดีค่ะคุณปู่หลิว” พรนับพันยกมือไหว้
“เจอกันครั้งล่าสุด หนูปันปันตัวแค่นี้เอง” ปู่หลิวทำมือความสูงที่ประมาณเอวของเขา “ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว”
หญิงสาวได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่นึกว่าจะเจอการต้อนรับเต็มรูปแบบเช่นนี้
“เข้าบ้านๆ คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเอง ต้องการอะไรเรียกใช้คนของปู่ได้ทั้งหมด เอ๋? กระเป๋าใบเดียวเองรึ อ้อ! ไม่เป็นไร อยากได้อะไรซื้อใหม่ได้เลย ไปดูห้องของหนูก่อนสิ ไม่ชอบตรงไหนก็สั่งเปลี่ยนได้”
“ขอบคุณค่ะคุณปู่หลิว”
ที่เอาเสื้อผ้ามากระเป๋าเดียวเพราะคิดว่าจะอยู่ไม่นาน ตั้งใจมาคุยเรื่องแต่งงานให้รู้เรื่อง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมปู่หลิวถึงอยากได้เธอเป็นสะใภ้นัก ครอบครัวเธอมีปัญหาทางการเงินและนามสกุลก็ไม่โด่งดังด้วย ดูจากฐานะของปู่หลิวแล้วสามารถเลือกหลานสะใภ้จากตระกูลสูงทัดเทียมกันได้ไม่ยาก
“ปู่ไม่ชอบขึ้นบันได จริงๆ ก็มีลิฟต์นะ แต่ปู่ชอบอยู่ชั้นล่างปีกขวาของตึกเป็นพื้นที่ของปู่ ส่วนชั้นเป็นของโม่โฉวกับต้าเหนิง เอ๋? ต้าเหนิงไปไหนล่ะ”
ปู่หลิวถามพลางมองหาหลานชาย
“คุณชายน้อยเรียนอยู่ที่ห้องหนังสือค่ะ” แม่บ้านรายงาน
“ไปตามต้าเหนิงมาพบปันปันหน่อยสิ” คุณปู่สั่งแม่บ้าน
“ไม่ต้องหรอกค่ะ การเรียนสำคัญกว่า เลิกเรียนแล้วค่อยมาคุยกันก็ได้” เธอรีบตอบเพราะยังไม่ได้เตรียมตัวมาเจอลูกชายของหลิวโม่โฉว เธอไม่ได้เกลียดเด็ก ก็แค่...ยังไม่อยากเปิดตัวตอนนี้
“อืม แบบนั้นก็ดี” ปู่หลิวพยักหน้ารับ “หนูปันปันมาเหนื่อยๆ อาบน้ำพักผ่อนก่อน ปู่ให้พ่อครัวเตรียมอาหารแล้ว สักพักจะให้แม่บ้านไปตาม ดีไหม?”
“ดีค่ะ”
ใช่เธอต้องการเวลาตั้งสติเตรียมตัว แค่นี้ก็มากเกินกว่าที่เธอคาดคิดแล้ว ปู่หลิวยื่นมือมาจับมือเรียวเล็กแล้วพลิกฝ่ามือเธอขึ้นดู
“มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวถามเพราะที่เธอพอรู้มา ปู่หลิวก็เป็นแพทย์แผนจีนที่คนนับถือมาก รับมรดกที่ประเมินค่าไม่ได้คือสูตรยาโบราณ เธอคิดว่าปู่หลิวตรวจสอบชีพจรเธออยู่
“พลังหยินสมบูรณ์”
ยังไม่ทันถามสิ่งที่ได้ยินคืออะไร ปู่หลิวก็ปล่อยมือเธอแล้วเรียกแม่บ้านให้มาดูแลแทน แม่บ้านเดินนำไปที่ห้องรับรองชั้นบน กระเป๋าเดินทางของเธอมาถึงก่อนแล้ว
“ห้องน้ำอยู่ซ้ายมือ หากมีอะไรกดกริ่งเรียกใช้ได้ค่ะ คนรับใช้ที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ถ้าคุณปันปันพูดภาษาจีนได้ก็กรุณาใช้ภาษาจีนกับพวกเขา”
“ถ้าพูดเร็วๆ ฉันก็ฟังไม่ทันเหมือนกันค่ะ” เธอยิ้มแล้วก็...ยิ้ม ห้องเธอกว้างขวางอย่างกับห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทของโรงแรมหรูห้าดาวที่เธอไม่เคยพักแต่เคยค้นข้อมูลเวลาจะจองห้องพักไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว
“ดิฉันเตรียมน้ำชาและของว่างไว้ให้ คุณผู้หญิงสามารรับประทานได้เลยนะคะ อาหารเย็นจะพร้อมประมาณสิบแปดนาฬิกาค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ประตูห้องปิดลงแล้ว พรนับพันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างที่ปูผ้าปูที่นอนสีชมพูไข่มุก
ดูเหมือนทุกคนพร้อมให้เธอเป็นหลานสะใภ้ของปู่หลิว แต่เธอต่างหากที่ไม่พร้อม และว่าที่สามีก็ไม่มารับด้วย ทั้งที่พ่อของเธอบอกล่วงหน้าก่อนที่เธอจะมาที่นี่ตั้งสองสัปดาห์ เขากำลังหลบหน้าหรือไม่อยากเจอเธอใช่ไหมนะ