ข้าวซอยหันไปขออนุญาตกับยาย เมื่อเห็นว่ายายไม่ว่าอะไรก็หันมายิ้มกว้างให้ป้าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ เหมือนสื่อสารได้ทางดวงตา คุณป้าหัวเราะเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืนตรงไปที่หม้อก๋วยเตี๋ยว
“รู้แล้วๆ ลูกชิ้นให้พิเศษเลย แต่ต้องกินผักด้วยนะ”
“ขอบคุณจ้า”
สิริมายิ้มบางๆ กับภาพที่เห็น รู้สึกอิจฉาเด็กน้อยชื่อแปลก หรือได้ยินไม่ถนัดนะ..ข้าวซอย..หรือจะเป็นคนเหนือแต่ทำไมตัวดำมอมแมมผิดกับเด็กในวัยเดียวกัน ภาพยาย-หลานที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวทำให้จู่ๆ เธอคิดถึงแม่ขึ้นมากะทันหัน
นั้นซิ! นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมแม่เลย ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่กัน ตอนได้ข่าวว่าแม่ไม่สบายรึไงนะ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นนานจนคนขับรถต้องเรียกเบาๆ สิริมาหยิบมันออกมาจากกระเป๋าถือ เห็นเบอร์ที่โทรเข้าแล้วรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่ารับรองลูกค้าจากอินโดนิเซีย
“สวัสดีคะคุณหญิง…” ยังไม่ทันพูดจบทางโน้นก็กรอกเสียงตอบกลับมาก่อน
“ทำไมคุณฮาคีมปิดมือถือ แล้วคุณฮาคีมอยู่ไหน”
“คุณฮาคีมรับรองลูกค้าอยู่ค่ะ ไม่ทราบเมื่อไหร่จะเรียบร้อย คุณหญิงมีอะไรให้รับใช้รึเปล่าค่ะ”
“อ้อ! ฉันคงไม่กล้าใช้งานเธอหรอกย่ะ ถ้าติดต่อคุณฮาคีมได้เมื่อไหร่ให้โทรเข้ามือถือฉันด่วนนะ”
“ค่ะ”
หญิงสาวเก็บโทรศัพท์เข้าที่รู้สึกล้าชอบกล ยังดีว่ากินก๋วยเตี๋ยวอิ่มแล้ว ไม่งั้นเธออาจจะต้องปวดท้องเพราะเครียดมากก็เป็นได้ เธอพยักหน้าให้ลุงสมานเรียกแม่ค้ามาคิดเงินค่าก๋วยเตี๋ยวเรือ จะว่าไปแล้ว เธอก็กินเยอะกว่าที่คิดอีก ขณะที่ลุกขึ้นเดินจะไปที่รถ สิริมาก็ก้มมองดูกระจาดที่มีข้าวต้มมัดเสนอหน้ายั่วน้ำลาย คิดถึงสมัยเด็กที่เคยช่วยแม่ทำขนม คงไม่มีวันได้ย้อนภาพเหล่านั้นกลับมาอีกแล้ว
“ข้าวต้มมัดขายยังไงจ๊ะ”
“มัดละห้าบาทคะ” เด็กหญิงข้าวซอยสวมวิญญาณแม่ค้าทันทีทั้งที่ยังเคี้ยวลูกชิ้นแก้มตุ้ยอยู่ หญิงสาวลองคะเนจากสายตาดูมาเหลืออยู่ประมาณสิบห้าหรือสิบหกมัด
“ถ้าขายไม่หมดจะทำยังไง” เธอถามเบาๆ รู้สึกชอบเด็กคนนี้จัง
“ก็เดินขายไปเรื่อยๆ ร้องเพลงด้วยนะคะ เรามีเพลงประจำใช่ไหมคุณยาย” ข้าวซอยรีบกลืนลูกชิ้นลงคอ “ข้าวต้มมัดอา…หร่อย อา…หร่อย ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่า แต่ถ้าลองชิมจะติดไจ๋ติดใจ”
หญิงสาวหัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ด ขำสำเนียงทอดเสียงยายๆ เหมือนพวกแม่ค้าพ่อขายในตลาดนัด
“เอาหมดนี่แล้วกัน”
“พี่จะกินหมดเหรอ” ข้าวซอยถามตาโต ก็ไม่เคยเจอใครซื้อเยอะขนาดนี้
“เอ้า!ขายหมดเร็วๆ ไม่ดีหรือจ๊ะ…เถอะน่า…พี่มีคนช่วยกินเยอะแยะ”
“ดีค่ะ…แต่หนูอยากให้มีคนกินขนมอร่อยๆ ของยายเยอะๆ มากกว่า แต่ถ้าพี่จะเอาหมดก็ได้ ใช่ไหมจ๊ะยาย” เด็กหญิงหันมาขอความเห็นจากผู้เป็นยายที่พยักหน้าให้แล้ว แต่คนเป็นยายและป้าคนขายก๋วยเตี๋ยวเรือรสเด็ดกลับหัวเราะออกมา
“ทั้งหมดสิบหกมัดเป็นเงินแปดสิบบาทถ้วน”
“พี่ให้ร้อยหนึ่งไม่ต้องทอนนะจ๊ะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ…ยายสอนว่าไม่ให้เอาเปรียบลูกค้า”
“ก็หนูไม่ได้เอาเปรียบนี่…ถือว่าเป็นทิปค่าร้องเพลงให้ฟังก็แล้วกัน”
คราวนี้ข้าวซอยพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ก่อนยื่นถุงใส่ข้าวต้มมัดส่งให้แล้วยกมือไหว้ขอบคุณ สิริมายิ้มให้เมื่อรับถุงใส่ข้าวต้มมัดแล้วเดินไปที่รถซึ่งจอดคอยอยู่
“จะกินหมดเหรอครับคุณสิริมา”
“ใครว่าฉันจะกินคนเดียวละลุง…ที่บ้านมีคนตั้งเยอะนี่…จะพอกินรึเปล่าก็ไม่รู้”
หญิงสาวหมายถึงพวกคนรับใช้ของคุณหญิง คนสวน คนขับรถ ส่วนพวกคุณๆ ของบ้านคงไม่มาสนใจอาหารแบบนี้หรอก สิริมาเอนหลังพิงเบาะรถอีกครั้งแล้วหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ใจหวนคิดคำนึงถึงวัยเด็กที่เป็นความทรงจำที่แสนวิเศษ เธอชอบช่วยแม่ตอนทำอาหารและคอยเป็นลูกมือที่ดีของแม่ แต่เมื่อวันหนึ่งเธอก็ต้อง ‘ตอบแทน’ บุญคุณผู้มีพระคุณที่มีส่วนให้กำเนิด ด้วยการเข้ามาช่วยดูแลกิจการของทางบริษัทฯ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีวัน ‘คุณหนู’ ในบ้านเรกิวลุสได้ ไม่มีใครมาเปลี่ยนชาติกำเนิดเธอได้หรอกว่า
แท้จริงเธอมันก็แค่ลูกคนรับใช้เท่านั้นเอง.
...........
“นิตยสารอะไรที่อ่านเป็นประจำคะ”
“ไฟกลางคืนครับ”
“ไฟ-กลาง-คืน เอ๋?…อะไรนะคะ”
โยษิตาเงยหน้าจากแบบสอบถามในมือ ชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะร่วนที่เห็นสีหน้าฉงนของพนักงานวิจัยตลาดอ้าปากหวอทำหน้าเหวอ แฟนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ กันถึงจะอดขำไม่ได้แต่ก็ทุบไหล่เพื่อนชายเบาๆ
“ตอบน้องเค้าไปดีๆ ซิ! น้องเขาทำงานอยู่นะ ยังเรียนไม่จบก็รู้จักทำงานพิเศษแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ คำถามต่อไปนะคะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนผู้ให้สัมภาษณ์แกล้งตอบคำถามนอกประเด็นแบบนี้ แต่ก็นั้นแหละ! เขาเป็นผู้ที่ทำให้เธอมีรายได้มารองรับรายจ่ายในแต่ละวัน ถ้าไม่ถึงขั้นลวนลามหรือแทะโลมด้วยสายตาก็เป็นอันว่า…พอให้อภัย
แต่แหม! เธอก็อยากเถียงโต้กลับไปเหมือนกันว่าเธอนะเรียนจบแล้วแค่รอรับปริญญาเท่านั้นแหละแต่ยังหางานในตำแหน่งที่ต้องการทำไม่ได้ แล้วจะให้อยู่เฉยๆ ยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวยังมียายอีกทั้งคนที่ดูแลเธอแทนพ่อแม่ที่จากไป ถึงเวลาที่เธอต้องเป็นฝ่ายดูแลท่านแล้ว เฮ้อ! แล้วไหนจะเจ้า ‘ข้าวซอย’ น้องสาวจอมซนที่หนีออกจากบ้านมาอยู่กับเธออีก ป้าอำภาก็เหมือนจะไม่สนใจลูกตัวเองเลยสักนิดทั้งที่ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ยาวใกล้บริเวณที่จอดรถ หยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาจิบแก้กระหาย ปกติเธอจะพกขวดน้ำดื่มติดตัวเวลาทำงานเสมอเวลาทำงานประเภทแรนดอม บ้างครั้งเจอเจ้าของบ้านใจดีหยิบยื่นน้ำดื่มให้ แต่เธอก็ต้องฝืนใจปฏิเสธในสภาพที่เธอเป็นอยู่ไม่สามารถไว้ใจใครได้ขนาดมินต์กับพี่แน๊ตยังว่าเธอขี้ระแวงจนเกิดไป แต่ทำไงได้ละ…กันไว้ดีกว่าแก้นี่นะ ยายสอนไว้