น้ำเย็นที่ยกมาให้ผู้มาเยือนของบ้านหลังน้อยยังไม่ทันหมดแก้ว เสียงรถมอเตอร์ไซค์จอดนิ่งที่หน้าบ้านก่อนจะตามมาด้วยร่างของเด็กหญิงวัยสิบขวบ วิ่งถลาเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขกด้วยความคิดถึง แต่สีหน้าอีกฝ่ายกลับเย็นชาจนบาดใจคนที่ยืนมองให้ปวดใจไม่น้อย
คุณยายละเอียดส่งกระจาดข้าวต้มมัดที่ว่างเปล่าให้โยษิตาเอาไปเก็บแล้วค่อยๆ นั่งลงมองหน้าลูกสาวคนโต แม้ยังไม่เอ่ยอะไรออกไปแต่ดวงตาของหญิงชราก็เหมือนจะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจนเจ้าของสะดุ้ง โยษิตารีบรับโทรศัพท์ทันทีที่เห็นเบอร์ของพี่แน๊ตโทรเข้ามา
“ภายในครึ่งชั่วโมง ด่วนขนาดนั้นหรือคะ?” หญิงสาวหงุดหงิด ใจจริงอยากรอฟังสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านมากกว่าสนใจเรื่องอื่น
“ใช่! เรื่องด่วนสำคัญมาก”
โยษิตาจำใจรับปาก ดูสภาพเหงื่อโทรมตัวแบบนี้จะทำยังไงให้ไปถัดในครึ่งชั่วโมงได้ละ ถ้าเธอถอนหายใจทุกครั้งเป็นเหรียญบาท ป่านนี้มันคงเต็มกระปุกหมูที่ซื้อให้น้องข้าวซอยไปแล้วมั้ง! แต่เมื่อความจริงมันไม่มีทางเป็นไปได้ เธอจำใจกดเบอร์มือถือฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือทันที วินมอเตอร์ไซค์คนสำคัญก็รีบเร่งมาหาอย่างไม่ถามอะไรสักคำ
....................
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งนั่งบนโต๊ะทำงานจิบกาแฟเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร แต่พนักงานในออฟฟิศบริษัทวิจัยตลาด W.I.N.D กลับตรงข้าม ซูปเปอร์ไวเซอร์หลายคนจับเข่าคุยกันเบาๆ รวมทั้งสาวหล่อประจำออฟฟิศที่พยายามเก็บอารมณ์หงุดหงิดไว้ในใจ นี่ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นคนเดียวกับพรีเซนเตอร์เครื่องสำอาง ‘พราว’ รองผู้จัดการคงไม่ออกมาต้อนรับขับสู่เองขนาดนี้
“ดูตัวจริงหล่อกว่าในนิตยสารอีกนะ คิก คิก” สาวมินต์ กระซิบกระซาบกับเพื่อนๆ ที่แอบมุ่งดูอยู่อีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นกระจกใจสามารถมองซุ่มดูสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี พลางนึกถึงเพื่อนสาวที่ไม่รู้ป่านนี้จะมาถึงไหนแล้ว
เหมือนโดนกระแสจิตเพ่งเข้าใส่อย่างแรง หญิงสาวที่ถูกพูดถึงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในออฟฟิศ ความจริงเธอตั้งใจว่าจะแอบเข้าไปทำสวยในห้องน้ำก่อนเข้าออฟฟิศ แต่ปรากฏว่าโดนโทรศัพท์จิกตามตัวหลายครั้งจากพี่แน๊ต สภาพโยษิตาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้ากับกระโปรงเข้ารูปสีดำและรองเท้าคัชชูสีเดียวกับกระโปรง แถมผมยาวก็ยุ่งเป็นกระเซิงเพราะอาศัยมอเตอร์ไซด์ส่วนตัวคือพี่อ๋องซิ่งมาส่งที่หน้าบริษัทฯ
“ขอโทษคะที่มาช้า”
หญิงสาวเอ่ยออกไปเหมือนรู้ว่าทุกคนคอยแต่ไม่รู้เหตุผลที่ถูกเรียกตัวมากะทันหัน แต่เมื่อร่างของนายแบบหนุ่มสุดฮอตเงยหน้าขึ้นมามองผู้เข้ามาใหม่ แม้ว่าจะแมมมอมและไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแต่ดวงตากลมโตสดใสคู่นี้เขาจำได้ไม่ผิดแน่
ยัยตัวแสบที่กล้ากระแทกเข่าใส่เขา!
“หนูตามาขอโทษคุณฟีรูซเสียซิ” พี่แน๊ตเอ่ยเสียงเข้มและเข้ามายืนใกล้ๆ แต่ในใจเขาก็ไม่ได้อยากให้ทำแบบนี้
“เรื่องอะไรคะ แล้วคนนี่ใคร”
“เฮ้ย!คุณ! พูดงี้หมายความว่าไง ก็คุณทำร้ายร่างกายผม” ชายหนุ่มเชิดหน้าทำเสียงเข้มแต่แอบยิ้มเหยาะอยู่ในใจ
“ทำร้ายร่างกาย?” โยษิตาทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก เผลอพยักหน้ากับตัวเอง เวลาอยู่ในสภาพปกติก็หน้าตาดีไม่น้อยเชียว
เอ๊ะ!ไม่ใช่!
“ไอ้หื่นกาม!”
“จะบ้าหรือคุณ! นี่ดูแลลูกน้องคุณหน่อยซิ ทำร้ายร่างกายผมไม่พอ แถมยังมาว่าผมแบบนี้อีก ผมเสียหายนะ รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นใคร”
ชายหนุ่มโยนบัตรพนักงานของหญิงสาวลงบนโต๊ะ คราวนี้เริ่มรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ
“อ้อ! ถ้าจะให้ดิฉันเป็นฝ่ายขอโทษคุณที่ไปเตะผ่าหมากเข้าให้ละก็ ไม่ค่ะ ดิฉันต่างหากที่น่าจะแจ้งความในฐานะที่คุณมาลวนลามดิฉัน!”
โยษิตาเชิดหน้าท้าทาย ก็เธอไม่ผิดจริงๆ นิ
“ขอโทษคุณฟีรูซเดี๋ยวนี้นะโยษิตา” รองผู้จัดการเอ่ยเสียงเรียบแต่คมกริบเหมือนมันเฉือนหัวใจเธอเหลือเกิน
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่ผิด จะไม่มีวันยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิด” เธอเจ็บใจเผลอกัดปากตัวเองแน่นรู้สึกถึงรสเค็มคาวในปากขึ้นมา
“คุณเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมเองจะบอกว่าผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเหรอ? ผมเป็นพรีเซ็นเตอร์เป็นนายแบบ ถ้าร่างกายผมเป็นอะไรขึ้นมา คุณต้องรับผิดชอบ”
ฟีรูซแอบยิ้มที่มุมปากรู้สึกสะใจที่เอาคืนยัยเด็กแสบคนนี้ได้สำเร็จ
“ถ้าจะให้ดิฉันขอโทษผู้ชายคนนี้ทั้งๆ ที่ดิฉันทำไปเพราะป้องกันตัวเอง ดิฉันขอลาออกค่ะ”
โยษิตาหยิบบัตรพนักงานที่วางอยู่บนโต๊ะ กับบัตรผ่านเข้าบริษัทฯ ออกมาจากระเป๋าถือแล้วส่งคืนให้พี่แน๊ตที่ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ อย่างช่วยอะไรไม่ได้ หญิงสาวยกมือไหว้รองผู้จัดการที่ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
“ฉันจะไม่มีวันขอโทษในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำผิดอย่างเด็ดขาด”
ดวงตากลมโตฉายแววเด็ดเดี่ยวจนน่ากลัว ไม่มีแม้แต่น้ำตามาคลอเบ้า นิสัยเด็ดเดี่ยวนี่ไม่เข้ากับใบหน้าหวานๆนี่เสียเลย
ฟีรูซยืนตะลึงอย่างคาดไม่ถึงเขาแค่ตั้งใจจะแหย่เพื่อ ‘สั่งสอน’หญิงสาวที่ทำตัวอวดดีใส่เขาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่ามันจะบานปลายไปใหญ่โตขนาดนี้.
....
หญิงสาวในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเข้ากับกระโปรงยาวคลุมสีเดียวกัน สิริมายืนขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้าหลายครั้ง แอบถอนหายใจหลายรอบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูหลายครา เธอหยิบภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดขึ้นดูนับครั้งไม่ถ้วน ร่างชายหนุ่มหน้าคมเข้มสายเลือดอเมริกันที่รอนกเหล็กบินข้ามฟ้ามาเมืองไทยก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเสียที
เครื่องบินดีเลย์ขนาดนี้เลยเหรอ?
สิริมาพึมพำกับรูปถ่าย หนุ่มฝรั่งผมสั้นรองทรงสีน้ำตาลเป็นประกายเหมือนดวงตาที่จ้องมองเธออยู่ คนอะไร! ยิ้มทั้งปากทั้งดวงตา ท่าทางจะเจ้าชู้ไม่ใช่เล่นเพื่อนพี่ศรุติคนนี้
“อเล็กซ์ แมคเกิล” เธอพึมพำถึงชื่อเพื่อนของคุณฮาคีมที่ต้องมารับที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะคุณฮาคีมติดประชุมกับลูกค้า ทำให้เธอต้องรบกวนลุงสมานขับรถมารับถึงสุวรรณภูมิ
“ครับ!”
หญิงสาวสะดุ้งวูบกับเสียงที่ดังอยู่ข้างหูจนรีบเงยหน้าขึ้นจากรูปภาพในมือ เหมือนถูกสะกดให้ตรึงอยู่กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทอประกายระยิบระยับตรงหน้า