ตอนที่ 4 สติที่ไม่หลงเหลือ

1941 Words
เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยเวยลืมตาตื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเมื่อคืนนั้น เขากระทำสิ่งใดลงไป เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพข้าวของกระจัดกระจาย รอยเลือดละเลงไปทั่วพื้นเรือน พอได้เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างหน้า ก็เดินเข้ามาดูด้วยความงงงวย ครั้นขยับตัวมากกลับรู้สึกเจ็บแผลตรงศีรษะ ยิ่งได้เห็นว่าคนที่นอนตรงนั้นเป็นจางเจียก็ไม่ยี่หระ เดินออกนอกห้องไปดื้อ ๆ หลังจากเซี่ยเวยเดินไปไกลแล้ว ทาสในเรือนสองสามคนจึงแอบมาชะเง้อมองดูที่หน้าประตูห้อง ยามปกติจะต้องเห็นจางเจียตื่นแต่เช้า หาน้ำหาข้าวให้อาฟานแล้ว แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาอุทานโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินไปหานาง “นายท่านโหดร้ายเหลือเกิน” เสียงคนที่เกาะขอบประตูอยู่ดังขึ้น “เจ้าลองปลุกนางดูเถิด ไม่รู้เจ็บที่ใดบ้าง” เสียงของอีกคนพูด “อาฟานเล่า อยู่ที่ใด อยู่ข้างในหรือไม่” เมื่อไม่มีใครกล้าเข้ามา คนที่อยู่หน้าสุดจึงอาสาไปปลุกนาง เขาเอื้อมมือแตะที่ร่างบาง “จางเจีย ได้ยินข้าหรือไม่” ขณะที่กำลังจะเรียกนางซ้ำอีกครั้ง ฮูหยินเซี่ยก็เดินจ้ำอ้าวมาที่ห้องของจางเจีย นางเห็นสภาพของเซี่ยเวยแล้วสังหรณ์ใจ พลันเห็นร่างของจางเจียแล้วก็ต้องเก็บสีหน้าของตนเองเอาไว้ “ฮูหยิน นางไม่ตื่นขอรับ” เขาหันมารายงาน “ข้าคิดว่านาง...” “อืม จัดการให้เรียบร้อย” ฮูหยินรู้สิ่งที่เขากำลังจะพูด พลันสายตาเหลือบเห็นกองผ้าตรงมุมห้องขยับจึงให้เขาไปดู “เป็นอาฟานขอรับ ร่างกายมีบาดแผล เมื่อคืนนี้...” เขาไม่ทันจะได้เล่าต่อก็เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของฮูหยิน แม้นางจะไม่อำมหิตเท่าเซี่ยเวยแต่ก็ยังคงร้ายเงียบ “เรื่องคืนวาน อย่าให้หลุดรอดเด็ดขาด” นางกำชับเขาอย่างเข้มงวด “ขอรับ” เขาพยักหน้า จากนั้นไม่นานเขาก็จัดการฝังร่างของจางเจียไว้ที่สุสาน ปักป้ายวิญญาณให้นางแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คนที่เท่าไหร่แล้ว...” เขาพึมพำ มองไปรอบ ๆ สุสาน หลังเสร็จสิ้นภาระใหญ่หลวงแล้ว จึงได้หาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้อาฟาน เคราะห์ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากจึงค่อย ๆ หายในเวลาไม่กี่วัน พอตื่นขึ้นมาก็กวาดสายตามองหามารดา “อาฟานเอ๋ย ต่อจากนี้ จะอยู่หรือตายคงต้องแล้วแต่ชะตาของเจ้าแล้วล่ะ” เสียงทาสคนหนึ่งดังขึ้น คนหลายคนต่างพากันสงสารเขาและจางเจีย เวลานี้ไม่มีมารดาคอยปกป้องจะอยู่เช่นไร อีกฟากหนึ่งของเรือน เซี่ยเวยได้ข่าวของจางเจียจากฮูหยิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อคิดว่าต้องสูญเสียคนโปรดไป แต่ความคิดก็กลับมาในทันทีเพียงแค่คิดว่ายังมีหลินซินอี๋อยู่ หรือไม่เขาอาจจะไปหาพวกพ่อค้าทาสในเมืองอีกครั้ง อาฟานกลายเป็นคนที่ไม่พูดกับใคร เอาแต่นิ่งเงียบทั้งวัน ข้าวปลาไม่กิน สายตาคอยมองหาจางเจียตลอดเวลา ใครเห็นต่างก็สงสารเวทนาแต่ทำอะไรให้มากไม่ได้ พอรออยู่ตรงนั้นทั้งวันไม่เห็นวี่แววของมารดา อาฟานจึงเริ่มเดินไปรอบเรือนทาสจนล่วงล้ำเข้าไปในเขตเรือนของเจ้านาย เซี่ยเวยที่ออกมาเดินเล่นอยู่แถวนั้นเห็นเข้าจึงเรียกเขาเข้าไปหา ไม่รู้ในใจคิดอะไรอยู่ “มานี่!” เขาสั่งเด็กน้อยหน้าตาเหลอหลา พออาฟานเดินมาใกล้เขาจึงได้เห็นใบหน้าชัด ๆ แล้วมือน้อย ๆ ก็ยื่นออกไปขยำเสื้อของเซี่ยเวย “แม่... แม่...” เขาพูดคำหนึ่งออกมา อาฟานอยากถามเขาเหลือเกินว่าเอาแม่ของเขาไปไว้ที่ไหน แต่กลับเรียบเรียงคำพูดไม่ได้ “เฮอะ นางไม่ใช่แม่ของเจ้าเสียหน่อย” เขาตอกกลับอาฟาน แต่อาฟานนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด “ปล่อยข้าได้แล้ว เด็กเวร!” เสียงตะคอกทำให้อาฟานผงะ ยั้งมือเอาไว้ อาฟานจ้องมองหน้าของเซี่ยเวย ทำให้ใจของเขาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ แม้เด็กคนนี้จะหน้าตาเหมือนเขาอยู่บ้าง แต่ก็โอนเอียงเหมือนหลินซินอี๋มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา และแววตาที่จ้องมองเขาในเวลานี้ เหมือนสายตายามที่หลินซินอี๋จ้องเขาไม่มีผิด “ออกไป!” เขาตะโกนใส่หน้าของอาฟาน แล้วรีบเดินไปอีกทาง ทิ้งให้อาฟานยืนแข็งทื่อตกใจกลัวเสียงตวาด ครั้นได้สติแล้วก็เดินตามหาจางเจียต่อ เขาเดินวนไปวนมาหานางอยู่ทั้งวันก็ไม่เจอจนหมดแรง จึงนั่งลงหน้าห้องหนึ่งที่เปิดประตูแง้มเอาไว้ ในใจเห็นลาง ๆ คิดว่าเป็นนางจึงรีบวิ่งยิ้มแป้นเข้าไปหา แต่แล้วก็หุบยิ้มในทันที ทำหน้ามึนงง สตรีนางนี้นั่งนิ่งอ่อนระโหยโรยแรง ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง สายตาเลื่อนลอย อาฟานนั่งลงใกล้ ๆ แล้วโอบกอดนางเอาไว้ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนมืดค่ำ แต่นางยังคงไม่ไหวเอนต่อสิ่งรอบตัว และอาฟานก็ยังอยู่ที่เดิมตรงนั้น เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเดินเข้ามาใกล้เรือนนอนของนาง พลันปลุกสติของหลินซินอี๋ในทันที นางเพิ่งจะเห็นว่ามีเด็กตัวน้อยกอดนางเอาไว้แน่น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกของนางเอง ทันทีที่ขาข้างหนึ่งของเขาก้าวเข้ามา หลินซินอี๋ก็ตัวสั่น ถอยหลังชิดผนังห้อง อาฟานมองดูนางด้วยสีหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ขยับตัวไปอยู่ข้าง ๆ นาง “ซินอี๋ หลบอยู่ที่ใดหรือ” เซี่ยเวยลากเสียงยาวหยอกล้อนาง เสียงที่นางไม่อยากได้ยิน เขาทำเช่นนี้กับนางซ้ำ ๆ ตลอดสามปี เซี่ยเวยรู้อยู่แล้วว่านางไม่อาจหนีไปที่ใดได้ ไม่อยู่มุมซ้ายของห้องก็จะอยู่มุมขวา เขาทำทีเดินหานางให้หวั่นกลัวเล่น ๆ แล้วก็โผล่ไปฉุดแขนนางออกมาจากมุมมืด โดยไม่สนใจว่ามีเด็กน้อยอีกคนอยู่ตรงนั้น อาฟานเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง เขาลุกขึ้นมาเกาะแขนของเซี่ยเวยเพื่อช่วยหลินซินอี๋ หลงคิดไปว่านางคือจางเจีย เซี่ยเวยหงุดหงิดเด็กน้อยผู้นี้จึงลงมือทุบตีไปที่แผลเดิมอีกครั้งอย่างไม่ยั้งมือ อาฟานไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ แต่น้ำตาไหลพรากเพราะเจ็บปวด นึกถึงจางเจียในใจ คิดถึงอ้อมกอดของนางที่คอยปลอบประโลมเขา สุดท้ายเซี่ยเวยก็โยนเขาออกมานอกห้องแล้วปิดประตูไม่ให้เขาเข้าไปรบกวน “อย่านะ อย่า!” เสียงร้องหวาดผวาของหลินซินอี๋ดังขึ้น สลับกับเสียงหฤหรรษ์ของเซี่ยเวย นอกห้องมีเด็กน้อยนอนหนาวตัวสั่นขดตัวกอดตัวเองในคืนเดือนมืด ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าหดหู่เหลือเกิน รุ่งเช้า เซี่ยเวยเดินออกมานอกห้องหน้าตาสดชื่นแจ่มใส เขาเหลือบตามองเด็กน้อยแล้วเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดี ทาสคนเดิมที่ตามหาอาฟานตั้งแต่เมื่อวานมาเห็นเขาที่เรือนนี้ก็สะท้อนใจ “โหดร้ายเกินไปแล้ว โธ่เอ๊ย!” ต่อให้สงสารมากเพียงใดก็ทำได้เท่านี้ ตัวเขาเองและคนอื่น ๆ ยังโดนฝ่ามือฝ่าเท้าของเจ้านายไม่เว้นวัน ไม่รู้จะต้องทนไปจนถึงเมื่อใด ทาสอย่างเขามีสิทธิ์เลือกชีวิตด้วยหรือ เขาอุ้มอาฟานไปที่เรือนทาสแล้วให้ทาสผู้หญิงเข้าไปดูอาการหลินซินอี๋อย่างเคย “นี่ อย่างไรเขาก็มีสายเลือดของนายท่าน ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้” นางถามเพราะไม่เข้าใจ อาฟานแทบจะเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของเขา ฮูหยินไม่สามารถมีบุตรสืบทอดสกุลได้ ส่วนอนุอื่น ๆ ล้วนต้องกินยาสมุนไพรตัวหนึ่งเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เพราะนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้สมบัติของเขาไปเด็ดขาด จึงกลายเป็นข้อตกลงว่าถ้าเซี่ยเวยเห็นด้วย นางก็ต้องยอมให้เขาหาทาสมาปรนเปรอตนเอง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ คนที่อยู่ด้วยกันได้ย่อมมีศีลเสมอกัน “ดูซินอี๋ก่อนเถิด เขายังไม่เว้น นับประสาอะไรกับอาฟานเล่า” ทาสคนหนึ่งส่ายหน้าตอบนางให้หายข้องใจ “ถ้าไม่ได้อาเจียช่วยเลี้ยงดู ข้าว่าอาฟานคงไม่รอดจากฮูหยินแน่ ๆ” อีกคนพูดสำทับ “เจ้าอย่าเอ็ดไป นางคงคิดว่าเป็นลูกทาส อย่างไรก็ไม่มีทางแย่งอะไรไปจากนางได้กระมัง” พูดเช่นนั้นแล้วทุกคนก็เห็นด้วย แล้วแยกย้ายทำหน้าที่ของตน นับแต่นั้นมา อาฟานก็เริ่มเข้ามาหาหลินซินอี๋อยู่บ่อย ๆ ความรู้สึกในใจเหมือนอยู่ใกล้กับจางเจีย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบสนองสิ่งใดเลยก็ตาม ด้านเซี่ยเวยเอง พอไม่มีจางเจียแล้วก็นึกครึ้มทำทีซื้อทาสสาวมาเพิ่มสองสามคน ถลุงสมบัติไปเล็กน้อย ไม่ได้เดือดร้อนอันใดนัก เขาใช้ค่ำคืนเหล่านั้นเสพสมกามารมณ์กับพวกนางไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ในบางครากลับไม่อิ่มหนำสำราญต้องปิดท้ายด้วยการมาค้างที่ห้องของหลินซินอี๋อยู่ร่ำไป ทุกครั้งที่มาถึงมักจะพบอาฟานอยู่กับนางด้วย และอาฟานก็มักจะเข้ามาปกป้องนางอยู่เสมอ เช้าวันต่อมาต้องลำบากทาสคนอื่น ๆ คอยหาสมุนไพรมารักษาเขา “อาฟานเอ๊ย เจ้าอย่าไปเลย จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” เสียงของทาสคนอื่น ๆ ต่างพากันห้ามเขา “เจ้าไปก็ช่วยนางไม่ได้หรอก” กระนั้น อาฟานกลับไม่ได้สนใจคนอื่นมากนัก เขายังคงทำเช่นเดิมตลอดหนึ่งปี เมื่อโดนเข้าบ่อย ๆ ก็พอจะจับจุดหลบหลีกได้บ้าง ทั้งยังหาสมุนไพรเอาไว้รักษาตัวเอง รวมถึงคอยดูแลหลินซินอี๋ แต่นับวัน หลินซินอี๋ยิ่งสติหลุดลอย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี เรื่องราวในแต่ละคืนยังคงฝังใจนางไม่จืดจาง ไม่มีวันใดเลยที่นางจะชินกับความระยำที่เซี่ยเวยกระทำ ความคิดวนเวียนอยากหลุดพ้นจากตรงนี้ คืนนั้น เซี่ยเวยมาหานางอีกครั้ง นางพร่ำพูดขอร้องเขาเป็นครั้งสุดท้าย “อย่าทำข้าเลย ข้าขอร้อง” หลินซินอี๋น้ำตาไหลพราก เซี่ยเวยไม่ฟังสิ่งใดที่นางพูดเช่นเคย เขาโอบรัดนางมานั่งข้างตัว ฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่นางห่อหุ้มร่างกายอันบอบบางเอาไว้ แล้วลงมือลูบคลำขย้ำอย่างที่ใจโหยหา ราวกับว่าความคิดเส้นบาง ๆ ของนางที่เหลืออยู่นั้นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว คืนนั้น หลินซินอี๋ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา หยิบผ้าผืนยาวติดมือมาด้วย โยนคล้องไปที่ขื่อด้านบนเรือน ยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตนเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD