รถหรูค่อย ๆ แล่นเข้าสู่ใจกลางของเมืองหลวงในช่วงค่ำ ข้าวหอมหลับสนิทมาตลอดทางเพราะความอ่อนเพลียแต่ก็ยังสวมกอดรูปถ่ายผู้เป็นแม่ไว้แน่นแนบกายจนในที่สุดรถก็แล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ในเวลาสองทุ่มกว่า พริษฐ์จึงหันไปปลุกคนที่นอนหลับสบายตรงเบาะหลังให้ตื่นขึ้น
“ข้าว ข้าว มาถึงแล้ว ตื่นเถอะ”
“อือ...” หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแล้วลงจากรถไปก่อนจะพบกับบ้านหลังใหญ่ที่เธอจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นับจากนี้
“คุณพ่อคุณแม่กลับมาแล้ว” เสียงใสดังขึ้นจากในบ้านพร้อมกับร่างเล็กที่ถือตุ๊กตาหมีวิ่งออกมาสวมกอดพริษฐ์และสิตาด้วยความคิดถึง
“ไงครับ คนเก่งของพ่อ”
“นี่เหรอคะเพื่อนใหม่ของน้องพลอย” นิ้วป้อม ๆ ชี้ไปที่ข้าวหอมพร้อมกับรอยยิ้มดีใจ
“ใช่ค่ะ พี่เขาชื่อข้าวหอม ต่อไปนี้พี่ข้าวหอมจะมาเล่นกับน้องพลอยทุกวันเลยนะคะ” สิตาตอบลูกสาวก่อนจะหันไปพูดกับอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันอย่าลิบลับ “นี่พลอยใส ลูกสาวฉัน ถ้าจะให้นับก็เป็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องกับแก ฉันกับภูมิเราไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพราะต้องทำงาน แกคงรู้นะว่าจะมาอยู่ที่นี่ กินนอนอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องช่วยฉันเลี้ยงน้องพลอยแล้วก็ทำความสะอาดบ้านด้วย”
“ค่ะ” ข้าวหอมก้มหน้ายอมรับ เข้าใจสถานะของคนที่ขออยู่อาศัยอย่างเธอดี
“เราไปดูห้องของพี่ข้าวกันดีกว่าค่ะ วันนี้น้องพลอยกับพี่เดือนช่วยกันเช็ดถูให้ พี่ข้าวจะได้นอนหลับสบายไงคะ” เด็กน้อยยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะจูงมือข้าวหอมเข้าไปในบ้านพร้อมกับเดือนแรมแม่บ้านที่นี่อีกคนเพื่อจะดูห้องที่พลอยใสว่า
“ไปพักเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันอีกที” พริษฐ์ยิ้มตอบก่อนที่ตัวเขาเองจะโอบไหล่เล็กของศรีภรรยาขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน สิตาจึงต้องหันไปกำชับลูกสาวอีกครั้ง
“อย่ามัวแต่เล่นจนดึกล่ะ พรุ่งนี้น้องพลอยต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้านะรู้ไหม”
“ค่ะคุณแม่” เด็กหญิงรับปากพร้อมกับจูงมือคนมาใหม่ไปพักยังห้องที่อยู่ติดกับครัวซึ่งเป็นส่วนของห้องพักแม่บ้านที่เดือนแรม สาวใช้วัยสามสิบก็อาศัยอยู่ที่นี่
“พออยู่ได้ไหม” เดือนแรมเอ่ยถาม
“อยู่ได้จ่ะ หนูอยู่ได้”
“เสียดายจัง วันนี้พี่ข้าวหอมมาถึงดึกไปหน่อย น้องพลอยต้องขึ้นไปนอนแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้กลับมาจากโรงเรียน น้องพลอยค่อยมาเล่นกับพี่ข้าวหอมนะคะ” พลอยใสทำแก้มป่องรู้สึกตื่นเต้นที่จะมีเพื่อนเล่นอีกคน
“จัดของไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่พาน้องพลอยไปนอนก่อนแล้วจะลงมาช่วย” เดือนแรมว่าพลางออกแรงอุ้มเด็กน้อยขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาใหม่อีกครั้งเพื่อช่วยข้าวหอมจัดห้อง
“ของหนูไม่ได้เยอะเท่าไหร่ หนูจัดคนเดียวก็ได้ค่ะ” ข้าวหอมตอบด้วยความเกรงใจในขณะที่กำลังรื้อเสื้อออกมาพับใส่ในตู้ คนที่อยู่มาก่อนอย่างเดือนแรมจึงทรุดกายนั่งลงบนเบาะนอนแล้วเริ่มชวนคุยด้วยทันที
“งานที่นี่ก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอกนะ ตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่ย่ำรุ่งเตรียมมื้อเช้าเสร็จ ก็ขึ้นไปปลุกน้องพลอย ส่วนเรื่องหน้าที่รับส่งเป็นหน้าที่ของคุณภูมิเขา”
“ค่ะ”
“พอคุณ ๆ เขาออกไปกันหมด เราก็แค่ปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดบ้าน ถ้าวันหยุดก็เตรียมมื้อเที่ยงไว้ ส่วนมื้อค่ำคุณสิเธอไม่ค่อยทานหรอก ส่วนใหญ่จะเป็นคุณภูมิกับน้องพลอย” เดือนแรมอธิบายต่อ “งานก็ไม่ได้หนักหนาอะไร น้องพลอยก็น่ารัก คุณภูมิก็ใจดี จะมีก็แต่คุณสิตานั่นแหละ”
“น้าสิเป็นยังไงเหรอคะ”
“พี่บอกไม่ได้หรอก เดี๋ยวอยู่ไป เราก็คงรู้เองนั่นแหละ”
เดือนแรมบอกเพียงแค่นั้นก่อนที่ตัวเองจะขอตัวกลับไปพักที่ห้องของตัวเองซึ่งอยู่ถัดไป ข้าวหอมจึงต้องรีบจัดข้าวของจะได้พักผ่อน แต่หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จหญิงสาวก็ไม่สามารถข่มตาได้เลยตลอดทั้งคืนเพราะยังคิดถึงแม่ที่ตายจากจนน้ำตาที่แห้งหายไปก่อนหน้ามันไหลรื้นออกมาอีกครั้ง
“ฮือ...แม่จ๋า หนูคิดถึงแม่จัง” ร่างเล็กนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ภายในห้องสะอื้นหนักจนตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าหลับไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เดือนแรมเคาะประตูเรียกในตอนเช้าของอีกวัน
“ข้าว ข้าวหอม ตื่นหรือยัง ข้าวหอม”
“อือ...” หญิงสาวพลิกตัวตื่นมาบนพื้นเย็นเฉียบก่อนจะรีบออกไปเปิดประตูทำให้อีกฝ่ายตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าข้าวหอมนั้นเพิ่งจะตื่น
“ตายแล้ว ยังไม่อาบน้ำอาบท่าอีก จะหกโมงแล้วนะ”
“เดี๋ยวหนูล้างหน้าล้างตาแปรงฟันแล้วรีบตามไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ข้าวหอมลุกลี้ลุกลน รีบทำภารกิจส่วนตัวเพื่อเข้าไปในครัวช่วยเดือนแรมเตรียมมื้อเช้าให้กับเจ้านายในบ้าน หลังจากนั้นเธอจึงรับหน้าที่ขึ้นไปปลุกพลอยใสเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน
“พอได้แล้วคุณสิ...พอเถอะ”
“อีกนิดสิคะภูมิ...นะคะ สิยังไม่เสร็จเลย”
“แต่นี่มันจะเช้าแล้วนะ ผมต้องไปทำงานต่อ”
เสียงนั้นดังลอดออกมาจากห้องของพริษฐ์ ทำให้คนที่กำลังจะเดินผ่านเพื่อไปยังห้องของพลอยใสต้องหยุดชะงักลงแล้วเงี่ยหูฟังที่บานประตูด้วยความอยากรู้
“อีกนิดเดียวเถอะนะคะ อา...ภูมิขา”
“ทำอะไรกันอ่ะ” ข้าวหอมกระซิบถามกับตัวเองในขณะที่ยังเงี่ยหูฟังอยู่ตรงนั้นเผื่อว่าคนทั้งสองต้องการความช่วยเหลือ
“พอเถอะสิ ผมต้องไปทำงานแล้ว”
“เดี๋ยวสิภูมิ”
"คุณจะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้นะคะ ! ภูมิ "
“อ๊ะ ! ” ดวงตากลมโตของคนที่แอบฟังอยู่ข้างนอกเบิกกว้างเมื่อประตูห้องมันถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงของเจ้าบ้านยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพร้อมกับสีหน้าขมึงทึงจนข้าวหอมต้องรีบถอย “น้าภูมิ...”
“ทำอะไร” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางกระชับเสื้อคลุมขึ้นมาปิดร่างกายท่อนบนเอาไว้
“เอ่อ...พอดี...หนู...หนูจะขึ้นมาปลุกน้องพลอยน่ะค่ะ แต่หนูไม่รู้ว่าห้องน้องพลอยอยู่ไหน”
“ห้องโน้น” มือหนาชี้ไปที่ห้องริมสุดก่อนที่ข้าวหอมจะรีบชิ่งไปยังห้องนั้นเพราะกลัวถูกจับได้ว่าเธอมาแอบฟังเมื่อครู่
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมา “ถ้าน้าภูมิรู้ว่าเราแอบฟัง มีหวังถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรกแน่”
“พี่ข้าวเหรอคะ” เสียงพลอยใสเอ่ยเรียกอยู่บนที่นอนสีชมพูหวานแหววทำให้ข้าวหอมรีบดึงสติกลับมาทันที
“ใช่จ่ะ พี่มาช่วยน้องพลอยอาบน้ำแต่งตัวไงคะ”
“น้องพลอยรู้แล้วว่าวันนี้พี่ข้าวต้องขึ้นมา น้องพลอยก็เลยตื่นรอพี่ข้าวเลยเนี่ย”
“เก่งที่สุดเลยค่ะ งั้นรีบไปอาบน้ำแต่งตัวกันดีกว่าค่ะ วันนี้เป็นวันแรกของพี่ พี่ยังไม่รู้ว่าของชิ้นไหนวางอยู่ตรงไหน น้องพลอยต้องสอนพี่ก่อนตกลงไหม” ข้าวหอมแกล้งออกกลอุบายเพื่อที่พลอยใสจะได้กระตือรือร้นในการอาบน้ำแต่งตัวโดยที่อีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“พี่ข้าวถักเปียให้น้องพลอยหน่อยสิคะ” คนตัวเล็กว่าพลางส่งหวีสีชมพูหลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จ
“พี่ถักไม่สวยน่ะสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณพ่อบอกว่าน้องพลอยสวย แต่งตัวยังไงก็สวย” เด็กน้อยกระพริบตาปริบ ๆ จนข้าวหอมหลุดขำพรืดออกมา
“โอเคค่ะ งั้นพี่จะทำให้สุดฝีมือเลยนะคะ” ว่าแล้วหญิงสาวจึงลงมือถักผมให้พลอยใสจนเสร็จ แม้จะออกมาดูเบี้ยวไปบ้างแต่อีกฝ่ายก็ยังพอใจอยู่ไม่น้อย
“สวยจังเลยค่ะ”
“น้องพลอยเสร็จหรือยังลูก” เสียงสิตาเอ่ยเรียกก่อนที่ประตูจะเปิดออกเมื่อเห็นว่าพลอยใสเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะหันไปดุข้าวหอม “ตายแล้วนี่มันจะสายแล้วนะ ทำไมยังไม่เสร็จอีก”
“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีหนูไม่รู้ว่าอะไรมันวางไว้ตรงไหน เลยช้านิดหน่อย”
“ถ้าไม่รู้แล้วทำไมไม่ให้เดือนแรมมาช่วยล่ะ”
“พี่เดือนกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่น่ะค่ะ” ข้าวหอมก้มหน้าตอบ พลอยใสเห็นดังนั้นจึงรีบแก้ต่างให้ด้วยอีกคน
“น้องพลอยตื่นสายเองค่ะคุณแม่ อย่าไปโทษพี่ข้าวเลยค่ะ”
“ไม่ต้องมาออกรับแทนเลย แต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงไปข้างล่างได้แล้วค่ะ เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสายรู้ไหม” มือเรียวลูบศีรษะเล็กแผ่วเบาพลางหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาสะพายให้ “วันนี้แม่คงต้องไปก่อน เดี๋ยวให้คุณพ่อไปส่งนะคะ”
“อีกแล้วเหรอคะ” พลอยใสงอนแก้มป่อง พักหลังมานี้ดูเหมือนว่าสิตาจะงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาให้เธอเลย
“เอาไว้แม่จะกลับมาทานข้าวเย็นด้วยนะคะ”
“ว่ายังไงครับสาว ๆ เสร็จหรือยังเอ่ย” พริษฐ์เดินเข้ามาในห้องทำให้พลอยใสรีบผละจากสิตาไปหาอ้อมกอดของพ่อแทน
“คุณพ่อขา คุณแม่ไม่ได้ไปส่งน้องพลอยอีกแล้วค่ะ”
“คุณแม่เขามีนัดกับลูกค้าน่ะครับ เดี๋ยวพ่อไปส่งเองนะ” ร่างสูงทรุดกายนั่งคุกเข่าตรงหน้าลูกสาวเพื่ออธิบายให้เด็กน้อยเข้าใจ
“คุณแม่งานยุ่งทุกวันเลย เดือนหน้าโรงเรียนน้องพลอยจะจัดงานกีฬาสีแล้ว แบบนี้พ่อกับแม่จะได้ไปด้วยกันไหมคะ”
“แม่คงไปไม่ได้หรอก เห็นทีน้องพลอยคงต้องบอกคุณพ่อไปหาแม่ใหม่ไปแทนแล้วล่ะ” สิตากระแทกเสียงใส่ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่สนใจเลยสักนิดว่าพลอยใสจะรู้สึกยังไง
“คุณแม่เป็นอะไรไปเหรอคะ”
“คุณแม่คงเหนื่อยน่ะค่ะ เรารีบลงไปทานข้าวกันดีกว่านะ” พูดจบพริษฐ์จึงจูงมือน้อย ๆ ลงไปยังชั้นสองของบ้าน เห็นสีหน้าที่บอกบุญไม่รับของเขา ข้าวหอมก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคงจะทะเลาะกันเมื่อตอนเช้านี้เพราะสังเกตเห็นรอยแดงเล็ก ๆ ตรงมุมปากของสิตา
ชายหนุ่มนั่งลงยังโต๊ะอาหารที่มีสิตานั่งอยู่ก่อนแล้วแต่อีกฝ่ายกลับทำท่าทีรังเกียจเหมือนว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น
“คุณแม่ขา เย็นนี้คุณแม่จะไปรับน้องพลอยไหมคะ” น้องพลอยหันไปถามผู้เป็นแม่อีกครั้ง
“แม่ไปไม่ได้หรอกค่ะ บอกพ่อให้ไปรับแทนนะคะ”
“นี่คุณ จะพูดอะไรก็ช่วยรักษาน้ำใจลูกหน่อยสิ งานที่บริษัทมันยุ่งมากจนไม่มีเวลาให้ลูกเลยเหรอ” พริษฐ์กระแทกเสียงใส่ด้วยความลืมตัวเดือนแรมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพาข้าวหอมออกไปที่ครัวทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ เมื่อวานยังดี ๆ อยู่เลย” ข้าวหอมเอ่ยถาม
“เป็นแบบนี้มาสักระยะแล้วล่ะ แต่เราไม่ต้องไปสนใจเรื่องของคุณเขาหรอก รีบไปอาบน้ำอาบท่าดีกว่าจะได้ไปช่วยฉันทำความสะอาดบ้านต่อ”
“ค่ะ” ข้าวหอมรับคำก่อนจะหันไปมองที่ห้องอาหารอีกครั้งเห็นสิตาเดินออกจากบ้านไปทั้งที่พลอยใสยังนั่งร้องไห้โฮอยู่บนตักของพริษฐ์ก็อดสงสารไม่ได้ หญิงสาวจึงตัดสินใจกลับไปหาพลอยใสอีกครั้ง
“เดี๋ยวพี่ไปส่งเองเอาไหมคะ”
“พี่ข้าว...ฮือ...คุณแม่ใจร้ายจัง” เด็กน้อยโผเข้ากอดข้าวหอมก่อนจะร้องไห้หนัก
“คุณแม่ไม่ได้ใจร้ายหรอกนะคะ แต่ว่าคุณแม่งานยุ่ง คุณแม่ต้องรีบเคลียร์งาน จะได้รีบกลับมาอยู่กับน้องพลอยไง”
“จริงเหรอคะ”
“จริงแท้แน่นอนค่ะ” ข้าวหอมยืนยันเสียงหนักแน่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าก่อนที่เธอจะมาทั้งสองคนมักจะมีปัญหาอยู่ก่อนแล้วและคนที่ได้เจ็บปวดที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นพลอยใส
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณพ่อให้พี่ข้าวไปส่งน้องพลอยนะคะ”
“แต่พ่อต้องรีบไปทำงาน...” ชายหนุ่มได้แต่เก็บคำพูดเอาไว้เพราะเห็นว่าพลอยใสทำหน้าเจียนจะร้องไห้อีกครั้ง “ตกลงค่ะ ให้พี่ข้าวไปส่งก็ได้”
“เย้ ! คุณพ่อใจดีที่สุดเลย” พลอยใสยิ้มออกมาทั้งน้ำตาก่อนที่ข้าวหอมจะขันอาสาป้อนข้าวให้จนหมดจาน จากนั้นจึงพากันออกไปรอที่รถ เพียงไม่นานพริษฐ์ก็เดินตามออกไปด้วยความรีบร้อนเพราะเขาจะต้องขับรถวนกลับมาส่งข้าวหอมอีกครั้งก่อนจะแยกไปทำงาน
“พี่ข้าวเคยมากรุงเทพ ฯ ไหมคะ”
“ยังไม่เคยเลยค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวน้องพลอยเป็นไกด์ให้พี่ข้าวดีไหมคะ”
“ดีสิคะ”
“ตรงนั้นเป็นสวนสาธารณะในหมู่บ้านของน้องพลอยค่ะ คุณพ่อชอบพาน้องพลอยมาเล่น เดี๋ยววันหยุดน้องพลอยจะพาพี่ข้าวมานะคะ”
เสียงสองสาวต่างวัยพูดคุยอยู่ตรงเบาะหลังอย่างสนุกสนาน ทำให้พริษฐ์ที่กำลังขับรถเผลอยิ้มออกมาด้วยความลืมตัวเพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นพลอยใสมีความสุขแบบนี้มานานแล้วนับตั้งแต่วันที่ภรรยาเริ่มเปลี่ยนไปเพราะติดงานจนแทบไม่มีเวลาให้
หลังจากที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เขารับช่วงต่อจากครอบครัวเริ่มไปได้ด้วยดี สิตาจึงขอแยกออกไปบริหารบริษัทย่อยสาขาสอง และตั้งแต่วันนั้นมาสิตาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป
“วันนี้ฉันกลับบ้านดึกหน่อย ฝากบอกน้องพลอยด้วย”
เสียงข้อความเด้งเข้ามาในมือถือในขณะที่เขากำลังจ้องมองข้าวหอมที่อาสาเดินไปส่งพลอยใสที่หน้าประตูรั้วโรงเรียน เมื่อหญิงสาวเดินกลับมาเขาจึงต้องรีบเก็บสมาร์ตโฟนไว้ที่เดิมแล้วสตาร์ทรถกลับไปที่บ้านทันทีโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเพราะมัวแต่คิดถึงข้อความที่สิตาส่งมา
เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด วันไหนที่เขาไม่สามารถทำตามความต้องการของสิตาได้ เธอก็มักจะโมโหแล้วลงใส่ลูกเสียทุกครั้งจนเขาเองก็เริ่มจะเหนื่อยหน่าย
หลังจากที่อยู่กินกันมาย่างสู่ปีที่หกก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันกำลังไปได้สวย บริษัทย่อยที่สิตาดูแลก็ทำกำไรมหาศาล
ชีวิตคู่เหมือนจะราบรื่นจนกระทั่งวันที่สิตาปริปากบอกความจริงกับเขาว่าเธอเป็นโรคเสพติดความเจ็บปวดและมักจะร้องขอให้เขาทำรุนแรงทุกครั้งที่มีอะไรกัน เมื่อเขาปฏิเสธ สิตาก็มักจะโมโหและไปลงกับพลอยใสเสียทุกครั้ง จนพักหลังมานี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มจะสั่นคลอนเพราะสิตาเปลี่ยนไป จากที่เคยกลับบ้านตรงเวลาก็มักจะหายไปจนดึกดื่นกว่าจะกลับก็ปาเข้าไปในตอนเช้าของอีกวัน
เพื่อรักษาความเป็นครอบครัว พริษฐ์จึงต้องหลับหูหลับตาตอบสนองความต้องการของสิตามาโดยตลอดจนเขาเองก็เริ่มจะรับไม่ไหวทำให้มีปากเสียงกับสิตาอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งวันที่เธอบอกว่าจะรับข้าวหอมมาอยู่ด้วย เห็นพลอยใสดีอกดีใจเขาจึงตกปากรับคำแล้วเดินทางไปรับหญิงสาวมาอยู่เป็นเพื่อนพลอยใสทันที เผื่อว่าสภาพจิตใจของลูกสาวจะดีขึ้นมาบ้าง
“เย็นนี้บอกเดือนว่าไม่ต้องเตรียมมื้อค่ำนะ ฉันจะพาน้องพลอยไปทานข้าวนอกบ้าน เธอสองคนจะกินอะไรก็ทำกินกันได้เลย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อวกกลับมาส่งข้าวหอมที่บ้าน เขาเหลือบมองร่างเล็กที่สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ลงจากรถไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะขับรถออกไปทำงานต่อ พยายามไล่ความคิดเรื่องสิตาออกไปจากหัว ไม่รู้เลยสักนิดว่าตอนนี้ภรรยาของตัวเองกำลังกอดก่ายอยู่กับผู้ชายอีกคน