เครื่องดื่มสีสวยถูกรินจากขวดใส่ในแก้วก่อนที่มือเรียวจะหยิบมันขึ้นกระดกดื่มครั้งเดียวจนหมด ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังวิวเมืองหลวงในยามราตรีเบื้องหน้าเหมือนคนกำลังใช้ความคิด
ริมฝีปากสีแดงเพลิงเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อมือหนาของใครอีกคนเอื้อมมาจากทางด้านหลัง ลากไล้ไปตามไหล่เปล่าเปลือยก่อนจะจุมพิตลงบนแผ่นหลังเนียนแผ่วเบา
“คิดอะไรอยู่เหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางขมเม้มใบหูเล็กของอีกฝ่ายเบา ๆ
“เปล่าค่ะ” สิตาละสายตาจากวิวเบื้องหน้าหันมามอง ชาคริตนักธุรกิจหนุ่มตาน้ำข้าว ชู้รักที่สิตามักจะนัดเจอกันบ่อย ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่พริษฐ์ไม่สามารถมอบให้เธอได้
“ผมนึกว่าคุณกำลังคิดถึงเรื่องหย่าเสียอีก”
“ใจเย็นก่อนสิคะ” หญิงสาววางแก้วในมือลงบนโต๊ะแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างสูงไว้ “ขอเวลาให้อีกนิดสิคะ ถ้าเกิดฉันหย่าตอนนี้สิก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิคะ”
“แล้วมันอีกนานแค่ไหนล่ะ” ชาคริตตัดพ้อ เพราะเบื่อที่ต้องแอบกินกันในที่ลับแบบนี้เต็มที
“ทำไมใจร้อนนักล่ะคะ”
“คุณก็รู้ว่าอีกไม่กี่เดือนผมจะต้องกลับอเมริกาแล้ว ถ้าคุณยังยื้อเวลาไว้แบบนี้ ผมกลัวว่าคุณจะไม่หย่าเสียมากกว่า”
“ฉันหย่าแน่นอนค่ะ แต่ถ้ามันเร็วปุบปับเกินไปเกิดภูมิเขาไม่ยอมยกบริษัทนั่นให้ฉันล่ะคะ” สิตาพยายามอธิบาย แผนที่คิดเอาไว้ตอนนี้คือทำให้พริษฐ์ยอมหย่าแล้วหารสินสมรสกันคนละครึ่งตามกฏหมาย แต่สิ่งที่สิตาอยากได้คือบริษัทย่อยที่เขาลงทุนเปิดให้กับเธอมากกว่าเพราะมันทำให้กำไรให้เธอปีหนึ่งหลายสิบล้าน จะปล่อยให้หลุดมือไปก็คงจะโง่เต็มที
“แล้วคุณแน่ใจเหรอว่ามันจะยกให้จริง ๆ ”
“เชื่อใจฉันสิคะ ฉันรับรองว่าภูมิต้องยอมแน่” หญิงสาวให้คำมั่นด้วยเสียงหนักแน่น
“คุณจะทำยังไง”
“ภูมิเขารักน้องพลอยมาก ถ้าเราวางแผนให้ภูมิเป็นฝ่ายทำผิดแล้วฉันค่อยฟ้องหย่า บางทีสิทธิ์การเลี้ยงดูน้องพลอยอาจเป็นของฉัน ถึงเวลานั้นฉันก็จะใช้น้องพลอยเป็นข้อต่อรองแลกกับบริษัทยังไงล่ะคะ”
“คุณนี่ฉลาดที่สุดเลย” ชายหนุ่มออกปากชมในแผนการล้ำลึกของสิตาก่อนจะก้มลงจูบลงบนเนินอกที่โผล่พ้นออกมาจากเดรสสีหวานจนเป็นรอยแดง “ถ้าอย่างนั้น เรามาฉลองความสำเร็จล่วงหน้ากันดีไหม”
“อ๊ะ ! ” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนากระชากชุดของเธอออกจนพ้นกายก่อนจะหยิบเชือกสีแดงออกมาจากลิ้นชัก เพียงแค่เห็นมัน ความปรารถนาที่จุกล้นอยู่ตรงอกก็แล่นไปกระจุกอยู่ตรงส่วนนั้นอย่างง่ายดาย
“ชอบไหม”
“ชอบสิคะ คุณนี่ช่างรู้ใจฉันที่สุดเลย” สิตาจูบกลับอย่างล้ำลึก สอดประสานลิ้นเล็ก ตวัดแกว่งหยอกเย้ากับลิ้นหนา ก่อนที่ร่างงามจะถูกอุ้มไปยังที่นอนกว้างเพื่อสานต่อกิจกรรมรักที่ยังค้างเต่อ
ชาคริตยืนขึ้นเต็มความสูง จัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองจนเหลือเพียงแค่ร่างเปล่าเปลือยจากนั้นจึงคลานขึ้นเตียงนำเชือกในมือไปผูกข้อมือเรียวของสิตาเอาไว้กับหัวเตียงก่อนจะจัดการชั้นในออกเผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มและร่องรักลางกลายที่พร้อมให้เขาได้เชยชม
“ช่วยฉันหน่อยเถอะค่ะ ซี๊ด...ฉันไม่ไหวแล้ว” หญิงสาวเว้าวอนพลางอ้าเรียวขาออกเพื่อเชื้อเชิญ
เพี๊ยะ !
ฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบนใบหน้าสวยเต็มแรงจนมีเลือดแตกซิบออกมาก่อนที่เขาจะคร่อมร่างงามเอาไว้บีบแก้มเนียนนั้นเต็มแรงเพื่อจูบลงบนริมฝีปากบางอีกครั้ง สร้างความหฤหรรษ์ให้คนใต้ร่างไม่น้อย
ความรุนแรงแบบนี้แหละที่พริษฐ์ไม่สามารถทำให้เธอได้
“อา...ชอบไหมสิ ชอบหรือเปล่า”
“ชอบสิคะ อูย...ฉันเสียวไม่ไหวแล้วค่ะ”
“ใจเย็นก่อนที่รัก ผมมีเซอไพรส์ให้คุณด้วย” คนบนร่างกระซิบบอกเสียงแหบพร่าก่อนจะผละไปหยิบบางอย่างจากลิ้นชักตรงหัวเตียงออกมาทำให้สิตาถึงกับหน้าแดงก่ำ
“อะไรเหรอคะ”
“ผมก็จะให้ความสุขกับคุณทั้งสองทางไงล่ะที่รัก” พูดจบเขาก็วางของเล่นผู้ใหญ่ขนาดเขื่องลงบนเตียงแล้วก้มลงงามงับเต้างาม บีบขย้ำมันจนแดงเถือกพร้อมกัดลงเบา ๆ จากนั้นจึงลากลิ้นหนาลงมาหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางของร่างบาง จับขาเรียวแยกออกจากกันเพื่อส่งลิ้นหนาเลาะเล็มตวัดหยอกเย้ากับกลีบกุหลาบงามจนหยาดน้ำหวานหยาดเยิ้มออกมา
“อา...อืม...” คนใต้ร่างครางกระเส่า ยกมือขึ้นจิกเรือนผมสีทองของอีกฝ่ายเต็มแรงก่อนที่เขาจะผละออกแล้วหยิบของเล่นส่งไปที่ริมฝีปากบางเพื่อให้สิตางามงับดูดมันจนเหนียวหนืดเปียกชุ่ม ชายหนุ่มจึงใช้มันดึงดันเข้าไปในช่องทางรักของหญิงสาวครั้งเดียวจนสุดทาง รู้สึกคับแน่นเพราะขนาดที่แตกต่างจากของคน
“เป็นไงที่รัก เสียวไหม”
“สุดยอดไปเลยค่ะ อา...ช่วยแรงอีกนิดได้ไหมคะ” หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมองภาพที่ชาคริตกำลังหยอกเย้าตรงส่วนนั้นด้วยของเล่นขนาดใหญ่ยักษ์จนกลีบกุหลาบงามมันผลุบเข้าออกตามแรง
“ได้สิ ได้อยู่แล้ว...”
“อ๊ะ ! ” สิตาสะดุ้งนิด ๆ เมื่ออยู่ ๆ เขาก็ถอดของเล่นออกไปแล้วจับลำกายแกร่งดึงดันเข้าไปแทนแล้วกระแทกหนักหน่วงอยู่สองสามครั้งก่อนจะถอดถอนออกมา คิดไม่ถึงว่าวินาทีนั้นชายหนุ่มจะจับมันเข้าไปยังช่องทางรักด้านหลัง ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ลองทำแบบนี้แต่ก็ปฏิเสธไม่ลงว่ามันเจ็บแปลบจนรู้สึกจุก “อ๊ะ...ซี๊ด...สุดยอดเลยค่ะที่รัก อ๊าย...”
หญิงสาวร้องลั่นไม่เป็นภาษาเมื่อมือหนาใช้ของเล่นที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำหวาน จัดการกระแทกมันเข้าไปในกุหลาบแดงฉ่ำจนตอนนี้ร่องรักของเธอมีทั้งของจริงและของเล่นตอกอัดอยู่ในนั้น รู้สึกเสียวกระสันจนร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“อูย...เสียว...เสียวมากเลยค่ะ อ๊ะ...แรงอีกนิดสิคะ”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อชู้รักส่งเสียงเว้าวอนเขาจึงกระแทกส่งตัวเองและของเล่นในมือเข้าไปพร้อม ๆ กันก่อนจะก้มลงบีบลำคอขาวระหงทำให้สิตาถึงกับตาเหลือกลานแต่ก็ยังพอใจกับความรุนแรงแบบที่ไม่เคยได้สัมผัส
“ชอบไหม จะเอาแรงอีกนิดหรือเปล่า”
“เอาอีกค่ะ...ซี๊ด...เอาอีก” สิตาหลับตาพริ้มเมื่อหนาละจากลำคอแล้วลากไปที่เนินอกคู่งาม เขาบีบขยำมันเล่นอย่างสนุกมือในขณะที่ยังกระแทกกระทั้นช่องทางรักทั้งสองทางอย่างเมามันจนสองเต้ากระเพื่อมไหวไปตามจังหวะ ยิ่งสร้างความรัญจวนให้กับคนใต้ร่างจนต้องแอ่นสะโพกรับอย่างล้ำลึก เพียงไม่นานชาคริตก็ถอดถอนแกนกายออกมาแล้วจับมันเข้าปากเล็กเพื่อให้สิตาดูดกลืนสายธารแห่งรักเข้าปากไปทุกหยาดหยด
“อีกรอบนะที่รัก”
“พอก่อนค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว” ว่าพลางออกแรงผลักร่างสูงออกไปแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะยังไม่ยอม
“จะรีบไปไหนล่ะครับ”
“นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะคะ ฉันกลับดึกขนาดนี้ ถ้าภูมิเขาเกิดสงสัยขึ้นมา แผนที่เราวางไว้อาจจะพังลงก็ได้นะคะ” สิตาให้เหตุผลพลางจับมือหนาไว้แน่นเพื่อหวังให้เขาเข้าใจ “อดทนรออีกนิดนะคะ ตอนนี้สิยังคิดไม่ออกว่าจะแย่งน้องพลอยมาเป็นข้อต่อรองยังไง แต่รับรองว่าอีกไม่นาน เราต้องได้อยู่ด้วยกันแน่นอนค่ะ”
“ก็ได้ งั้นคุณรีบกลับเถอะ”
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจ” สิตาจุมพิตบอกลาอีกครั้งก่อนจะรีบลงจากคอนโดขับรถมุ่งหน้ากลับที่บ้านทันทีก่อนจะพบว่าไฟบางส่วนในบ้านมันถูกดับไปแล้ว หญิงสาวจึงย่องเข้าไป ทำทุกอย่างให้เบาที่สุดเพื่อที่พริษฐ์จะได้ไม่ตื่นขึ้นมาแต่เธอกลับคิดผิด
“หายไปไหนมาทั้งวัน”
“คุณ...” คนที่กำลังย่องขึ้นบันไดชั้นสองต้องหยุดชะงักลงเมื่อหันไปเห็นสามีกำลังนั่งกอดอกอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก
“ผมถามว่าคุณหายไปไหนมา” พริษฐ์ย่างสามขุมเข้ามาหา ใบหน้าที่ดุเอาเรื่องทำให้สิตาต้องรีบถอยกรูด
“งานที่บริษัทยุ่งน่ะ”
“งั้นเหรอ...แล้วทำไมโทรไปถึงไม่รับ รู้หรือเปล่าว่าน้องพลอยถามหาทั้งวัน”
“ก็ฉันส่งข้อความมาบอกคุณแล้วไง ทำไมคุณไม่บอกน้องพลอยเองล่ะ” พูดจบหญิงสาวก็กระแทกเท้าเดินขึ้นห้องแต่กลับถูกสามีรั้งข้อมือเล็กเอาไว้
“นี่รอยอะไร” เขาเอ่ยถามพลางชี้ไปที่รอยแดงตรงข้อมือก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นอีกแผลตรงมุมปาก “นั่นด้วย ไปมีเรื่องกับใครมา”
“ไม่มีอะไร”
“บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะสิ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” สิตาตวาดกร้าว จนคนที่ยังไม่ชินกับเหตุการณ์ต้องแง้มประตูออกมาดูด้วยความอยากรู้
“สองคนนั้นยังทะเลาะกันอีกเหรอเนี่ย” ข้าวหอมพึมพำเมื่อเห็น พริษฐ์กำลังกระชากลากถูสิตาขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่กำลังนอนหลับสบายบนเตียงของเธอ “เห้อ ! สงสารน้องพลอยจัง”
หญิงสาวรีบปิดประตูแล้วเดินไปทิ้งตัวนอนลงเคียงข้างพลอยใสที่อ้อนวอนขอผู้เป็นพ่อลงมานอนกับเธอตั้งแต่หัวค่ำ เงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอกอีกครั้งจนมันเงียบหายไปเมื่อพริษฐ์ลากสิตาขึ้นไปคุยบนห้องเพราะไม่อยากให้น้องพลอยที่นอนในห้องชั้นล่างได้ยิน
“บอกความจริงผมมาเดี๋ยวนี้นะสิ ว่าวันนี้คุณหายไปไหนมา แล้วไอ้รอยบ้านี้มันมาจากไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้งในขณะที่ยังสำรวจไปรอบร่างกายของสิตา ทำให้หญิงสาวต้องรีบยกมือขึ้นปิดไว้ ถ้าเขาเห็นร่องรอยที่เนินอกขึ้นมามีหวังความแตกแน่ ๆ
“คุณสนใจด้วยเหรอว่าฉันจะเป็นยังไง วัน ๆ คุณก็ทำแต่งาน สนใจแต่เรื่องน้องพลอย ไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของฉันเลยสักนิด” เมื่อเห็นท่าไม่ดี หญิงสาวจึงต้องบีบน้ำตาเพื่อให้อีกฝ่ายใจอ่อน ด้วยรู้ว่าสามีนั้นพ่ายแพ้ต่อน้ำตาจนในที่สุดเขาก็ยอมอ่อนเสียงลง
“ทำไมผมจะไม่สนใจคุณล่ะสิ แต่ที่ผมทำไปก็เพื่อครอบครัวของเรานะ”
“แล้วทำไมคุณถึงให้ความสุขกับฉันไม่ได้ล่ะคะ คุณรู้ดีว่าฉันต้องการแบบไหน ทำไมคุณถึงให้ฉันไม่ได้” ว่าพลางจับมือหนาขึ้นมาแนบใบหน้า
“อย่าบอกนะว่าคุณทำร้ายตัวเองอีกแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยถามเพราะรู้ดีว่าภรรยาเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง เมื่อไม่ได้ดั่งใจหรือทะเลาะกัน สิตาก็มักจะตบตีตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
“ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอกค่ะ ฉันจะทำอะไรคุณก็ไม่เคยมองเห็นอยู่แล้ว”
“ใจเย็นก่อนสิ ผมว่าอาการของคุณมันรักษาได้นะ เราไปหาหมอกันดีไหม” พริษฐ์พยายามปลอบใจ เพราะเขาเองก็ทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมือนกัน “ถ้าคุณอาย เราไปหาหมอเก่ง ๆ ที่ต่างประเทศก็ได้”
“ไม่ ! ฉันบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ได้ป่วย ฉันไม่ได้ป่วยเข้าใจไหม” สิตาตวาดกร้าวก่อนจะผลักสามีออกไปแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ
พริษฐ์จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ รอจนกว่าหญิงสาวกลับออกมาอีกครั้ง เขาจึงแกล้งนอนหลับด้วยการปิดตาลง เมื่อแน่ใจว่าสิตาหลับไปแล้ว มือหนาจึงค่อย ๆ ปลดกระดุมชุดนอนของเธอออกอย่างเบามือก่อนจะพบกับรอยแดงที่ฉาบอยู่เต็มหน้าอก ถึงตอนนั้นชายหนุ่มก็ถึงกลับพูดอะไรไม่ออก
ที่ผ่านมาเขามักจะพบกับร่องรอยพวกนี้นอกร่มผ้าอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เอะใจเพราะคิดว่าสิตาคงจะทำร้ายร่างกายตัวเองเหมือนทุกครั้ง แต่ใครจะคิดว่าสิ่งที่เขาหวาดระแวงมาตลอดมันจะเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
“สิ...ทำไม” พริษฐ์เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงก่อนจะค่อย ๆ ขยับลุกจากเตียง ลงไปยังชั้นล่างเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ใครจะคิดว่าในตอนที่เขากำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้น สายตากลับหันไปเห็นใครบางคนกำลัง ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในครัวท่าทางมีพิรุธ
“เบา ๆ สิคะเดี๋ยวคุณพ่อก็ได้ยินหรอก” เสียงข้าวหอมดังลอดออกมา พร้อมกับพลอยใสที่กำลังก้มหน้าทำอะไรบางอย่าง ยิ่งทำให้เขาลืมความกลัดกลุ้มใจไปชั่วครู่ก่อนจะเข้าไปถามด้วยความอยากรู้
“ทำอะไรกันน่ะ”
“คุณพ่อ ! ” พลอยใสสะดุ้งโหยงรีบหยิบของบางอย่างไปซ่อนไว้ข้างหลังพอดี
“พ่อถามว่าทำอะไรกัน ทำไมดึกป่านนี้แล้วถึงยังไม่นอน”
“เอ่อ...คือ...” พลอยใสเลิ่กลั่ก หันไปมองหน้าข้าวหอมเพื่อจะขอความช่วยเหลือ
“น้องพลอยหิวน่ะค่ะ หนูก็เลยชวนน้องพลอยออกมาหาอะไรกิน”
“แล้วกินอะไรกัน”
“บะหมี่...ค่ะคุณพ่อ” พลอยใสก้มหน้าเหมือนคนยอมรับผิด “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”
“แล้วทำไมต้องแอบด้วย”
“คือ...หนูกลัวว่าน้าภูมิจะดุน้องพลอยน่ะค่ะ เลยแอบไว้” ข้าวหอมสารภาพพลางหยิบถุงบะหมี่ออกมาจากหลังพลอยใสส่งให้พริษฐ์ดู “นี่ค่ะ”
“ทำไมพ่อต้องดุด้วยล่ะคะ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาพลางทรุดกายนั่งลงตรงหน้าลูกสาว “น้องพลอยไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”
“ถ้างั้นคุณพ่อมากินด้วยสิคะ พี่ข้าวต้มไว้ตั้งสามห่อแหน่ะ” หนูน้อยเชื้อเชิญ
“ไหน ๆ น้องพลอยกินแล้ว หนูก็เลยจะกินด้วยน่ะค่ะ” ข้าวหอมก้มหน้างุด รีบยกมือจับท้องตัวเองไว้เมื่อมันร้องโครกครากพอดิบพอดี
“เอาสิ งั้นต้มให้ฉันด้วยละกัน”
“ได้เลยค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะหันไปปรุงบะหมี่ต่อ เพียงไม่นานบะหมี่สามถ้วยก็เสร็จเรียบร้อย
“ยกไปวางที่โต๊ะให้หน่อยละกันนะ”
“ไม่ได้ค่ะคุณพ่อ” พลอยใสแย้งพลางทรุดกายนั่งขัดสมาธิบนพื้นเย็นเฉียบในครัว “พี่ข้าวบอกว่าถ้าจะกินบะหมี่ต้องกินแบบนี้มันถึงจะเข้าถึงรสชาติ”
“เอ่อ...” คนถูกกล่าวหาชะงักกึก “หนูก็แค่...”
“งั้นเอาสิ นั่งตรงนี้ก็ได้” ยังไม่ทันที่ข้าวหอมจะอธิบายจบ ร่างสูงก็ทรุดกายนั่งลงเคียงข้างลูกสาว “ยกมาสิ”
“เอ่อ...ได้ค่ะ” หญิงสาวงุนงงกับท่าทีของเขาแต่ก็ยอมนำถ้วยมาวางไว้ให้บนพื้น เมื่อเห็นพลอยใสเริ่มกินด้วยความหิวเขาจึงลองใช้ตะเกียบคีบเส้นขึ้นมาทานบ้าง
“อร่อยใช้ได้เลยนะเนี่ย ไม่ได้กินตั้งนานแล้วด้วย”
“ถ้าให้อร่อยกว่านี้ต้องกินในถ้วยใหญ่ ถ้วยเดียวแล้วแย่งกันคีบเส้นค่ะ รับรองอร่อยเลิศ” ข้าวหอมยิ้มตอบแก้มยุ้ย ใบหน้าไร้เดียงสาไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่งแต้ม ผมสีดำขลับถูกมัดดังโงะไว้บนศีรษะ เสน่ห์ที่ไม่ต้องเติมแต่งนั้น มันทำให้พริษฐ์ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบส่ายหน้าไล่ความคิดอกุศลนั้นออกไป
“งั้นเอาไว้วันหลังเรามาทำกินกันอีกทีเอาไหม”
“ดีเลยค่ะ คุณพ่อ” พลอยใสตอบพลางยกถ้วยขึ้นซดน้ำร้อน ๆ เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะหันไปชิมบะหมี่ในถ้วยของข้าวหอมต่อ “ของพี่ข้าวเผ็ดไปนะคะ แต่ก็ยังอร่อยอยู่”
“ไม่อยากชิมของพ่อบ้างเหรอ”
“ชิมสิคะ” เด็กน้อยตอบพลางคีบลูกชิ้นที่เติมเข้าไปขึ้นมาแล้วป้อนให้ผู้เป็นพ่อกัดไปครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งกลับหันไปป้อนให้ข้าวหอมแทน
“อร่อยไหมคะพี่ข้าว”
“เอ่อ...อร่อยค่ะ” หญิงสาวยิ้มตอบ พลางหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดปากให้พลอยใสอย่างเบามือ การกระทำที่แสนอ่อนโยนนั้นมันทำให้พริษฐ์อดคิดไม่ได้ว่าพลอยใสไม่เคยได้รับจากสิตา ไม่คิดว่าลูกสาวจะสนิทกับข้าวหอมได้เร็วถึงขนาดนี้ “น้องพลอยอย่ากินเลอะสิคะ เดี๋ยวมันจะร้อนแสบปากรู้ไหม”
“ค่ะ พี่ข้าว” พลอยใสว่าพลางชี้ไปที่ใบหน้าของพริษฐ์ “เช็ดให้คุณพ่อด้วยสิคะ คุณพ่อก็กินเลอะ ”
พูดจบมือน้อย ๆ ก็จับมือเรียวของข้าวหอมแล้วยื่นมันไปที่ปากของพริษฐ์ทันที ทำให้หญิงสาวต้องยอมเช็ดปากให้คนตรงหน้าอย่างไม่มีทางเลือก จนชายหนุ่มต้องรีบเบือนหน้าหนีแล้วแย่งทิชชู่ในมือมาเช็ดเอง
“เอาอีกห่อได้ไหม ฉันจะเริ่มจะติดใจแล้วล่ะ” เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยการยื่นถ้วยเปล่าให้ข้าวหอม ไหน ๆ ก็ตั้งใจจะลงมาดื่มย้อมใจแล้ว งั้นก็เปลี่ยนมาซดบะหมี่แทนก็คงจะไม่เสียหายอะไร