ตอนที่2 ผู้มีพระคุณ

2569 Words
งานศพของสอางค์ผ่านไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงแค่เพื่อนบ้านไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นธุระจัดการให้ เงินที่ข้าวหอมหยิบยืมมาจากวาดจันทร์จึงต้องกลายมาเป็นค่าทำศพของผู้เป็นแม่แทน “ฮือ...แม่จ๋า” ร่างเล็กสวมเสื้อยืดตัวใหญ่โคร่งกับกางเกงขาสั้นตัวเก่า นั่งกอดรูปหน้าศพของสอางค์ร้องไห้โฮอยู่บนแคร่ไม้ ที่ที่แม่เคยอยู่ก่อนจะตายจากไปโดยไม่ทันได้กล่าวลา “แม่ทิ้งหนูไปแบบนี้แล้วหนูจะอยู่กับใครล่ะจ๊ะ ฮือ...” ใบหน้าหวานมอมแมม เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา หลังจากที่กลับมาจากงานศพบนฝั่ง ข้าวหอมก็แทบไม่ทานอะไรลงท้องเลยสักนิดเอาแต่นั่งร้องไห้ไม่หลับไม่นอน จนร่างกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด “ข้าว...ข้าว อยู่ข้างในหรือเปล่า” เสียงเรียกของวาดจันทร์ดังขึ้นจากหน้าบ้านหลังจากที่หญิงสาวไม่ไปทำงานนานหลายวันนับตั้งแต่วันเผา ด้วยความเป็นห่วงจึงต้องข้ามเกาะมาหาถึงบ้านด้วยความเป็นห่วง “น้าวาด ฮือ...” “โธ่ ข้าวเอ๊ย...” คนสูงวัยกว่าแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วพบกับร่างที่เหมือนจะไร้ซึ่งจิตวิญญาณกำลังนอนร้องไห้กอดรูปมารดาปานจะขาดใจ “ฮือ...หนูไม่เหลือใครแล้วน้าวาด” ข้าวหอมเงยหน้าขึ้นก่อนจะสวมกอดร่างของวาดจันทร์ไว้ เหมือนเป็นที่พักพิงเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ “ไม่เหลือใครได้ไง ก็ยังเหลือน้าอยู่นี่ไง” “ไอ้ข้าว ! ไอ้ข้าว ! ” เสียงของคนมาใหม่ดังขึ้นก่อนที่วายุและกำนันบุญมีที่รีบมาทวงสัญญาทันทีเมื่อถึงเวลานัด ไม่สนใจเลยสักนิดว่าข้าวหอมจะเพิ่งเสียแม่ไป “กำนัน...” “ข้ามาทวงเงินตามที่ตกลงกันไว้” อีกฝ่ายเริ่มเข้าประเด็นสนทนาจนวาดจันทร์ต้องออกแรงช่วย “แต่ข้าวมันเพิ่งจะเสียแม่ไปนะพ่อกำนัน ให้เวลามันหน่อยไม่ได้เหรอ” “ไม่ได้ ไม่ได้ เราตกลงกันไว้แล้ว เอ็งอย่ามาเล่นตุกติกกับข้านะนังข้าว” กำนันบุญมียังยืนยันคำเดิม “ฉันไม่มีเงินมาคืนพ่อกำนันหรอกนะ ถ้าอยากได้บ้านหลังนี้พ่อกำนันก็ยึดมันไปได้เลย” “กูไม่ได้อยากได้บ้านมึงหรอกนะข้าว แต่กูอยากได้มึงต่างหาก” เสียงวายุดังแทรกขึ้นมา “ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่แต่ง” ข้าวหอมยืนขึ้นประจันหน้ากับกำนันบุญมี ปาดเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ แล้วทำใจดีสู้เสือ “ตามสัญญากำนันบอกไว้ไม่ใช่เหรอคะว่าถ้าเราไม่จ่ายคืนตามกำหนด กำนันมีสิทธิ์ยึดบ้านและที่ดินหลังนี้ไป” “ใจเย็นก่อนสิ เอ็งลองคิดดู ถ้าเอ็งยอมแต่งงานกับลูกชายข้า ข้ายินดีจะยกหนี้แล้วก็บ้านหลังนี้ให้เอ็ง แล้วยังแถมทองให้อีกด้วยนะ” “ไม่ จะให้ฉันบอกอีกกี่ครั้ง ว่าฉันไม่มีวันแต่งงานกับลูกชายกำนันแน่” ข้าวหอมตวาดกร้าว วาดจันทร์เห็นท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องจึงรีบคว้าตัวหญิงสาวเดินออกจากบ้านไป “ไปบ้านน้าก่อนดีกว่า” “มึงจะไปไหนไอ้ข้าว ! ” คนที่หัวรั้นอย่างวายุยังคงวิ่งตามออกไปก่อนจะกระชากแขนเรียวไว้แล้วออกแรงฉุดลงไปจากบ้าน “มึงต้องไปกับกู ! ” “ปล่อยกูนะไอ้วายุ กูไม่ไปไหนกับมึงทั้งนั้น” “ใจเย็นก่อนสิวายุ บ้านเมืองมีขื่อมีแปอยู่ ๆ เอ็งจะมาฉุดกันแบบนี้ได้ไง” วาดจันทร์รีบเข้าไปช่วยไว้แต่กลับถูกกำนันบุญมีผลักออกไปจนร่างนั้นล้มลงก้นกระแทกพื้น “มีขื่อมีแปแล้วไงวะ เอ็งก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเกาะนี้ข้าใหญ่สุด” อีกฝ่ายยิ้มกริ่มในขณะที่ย่างสามขุมเข้าไปหา “เอ็งก็ระวังตัวเอาไว้เถอะ แม่หม้ายเนื้อหอมอย่างนี้ ข้าชอบนักแหละ” “อย่าทำอะไรน้าวาดนะกำนัน” ข้าวหอมส่งเสียงร้องห้าม “ข้าไม่ทำมันหรอกถ้าเอ็งยอมไปกับลูกชายข้าดี ๆ ” “ไปกันเถอะข้าว เดี๋ยวกูจะเปลี่ยนโฉมเอ็งให้สวยที่สุด ให้สมกับที่เป็นเมียคนแรกของกูเลย” วายุเอ่ยเสียงลอดไรฟันพลางขยับกายสูดดมเรือนผมสีดำขลับของข้าวหอมอย่างหื่นกระหาย “นี่มึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง จะให้กูบอกอีกกี่ครั้งว่ากูไม่มีทางแต่งงานกับมึง” “จะไม่มีทางได้ไง ตอนนี้ไม่มีแม่มึงมาคุ้มกะลาหัวแล้ว ยังไงกูก็ต้องได้มึงเป็นเมีย ไปกับกูเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูสั่งให้ลูกน้องกูจัดการจับน้าวาดมึงทำเมียแน่” อีกฝ่ายขู่เสียงเข้มพลางบีบข้อมือเล็กไว้แน่นเหมือนจะแตกคามือ “พวกมึงนี่มันเลวทั้งพ่อทั้งลูกจริง ๆ ” “นังข้าว ! ” “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ! ” เสียงทรงอำนาจตวาดกร้าวในขณะที่กำนันบุญมีกำลังจะเงื้อมือฟาดลงบนใบหน้าข้าวหอมต้องหยุดชะงักลงก่อนจะหันไปยังต้นเสียง “มึงเป็นใคร แล้วมาเสือกอะไรด้วยวะ ! ” วายุฉุนจัด แต่ก็ยังจับแขนข้าวหอมเอาไว้แน่น ก่อนที่ร่างงามระหงของใครอีกคนจะถอดแว่นตาสีดำออกเพื่อแนะนำตัว “ฉันชื่อสิตา เป็นน้องสาวของพี่สอางค์ ส่วนนี่คุณพริษฐ์ สามีฉัน” “เราสองคนมารับตัวข้าวหอมไปอยู่ด้วย เห็นทีผมคงต้องขอให้คุณปล่อยตัวหลานของผมซะ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท ออกคำสั่งพลางถอดแว่นสีชาออก เผยให้เห็นดวงตาคมกริบที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่น มือหนาถลกแขนเสื้อขึ้นจนเผยให้เห็นเส้นเลือดปูดโปนเพื่อเตรียมจัดการกับเหตุการณ์ตรงหน้า “กูไม่ปล่อย มึงจะทำไม” วายุท้าทาย “ใจเย็นก่อน” กำนันบุญมีห้ามลูกชายก่อนจะหันไปคุยกับอีกฝ่าย “เมื่อกี้เอ็งบอกว่าเอ็งเป็นน้ามันเหรอวะ” “ใช่ แล้วจะทำไม ปล่อยข้าวหอมมาได้แล้ว” สิตาเอ่ยอยากนึกขัดใจเพราะทั้งเหนื่อยทั้งร้อนแล้วยังมาเจอกับเรื่องบ้า ๆ นี้อีก “ใจจริงข้าเองก็ไม่ได้อยากได้เด็กกะโปโลคนนี้มาเป็นสะใภ้หรอกนะ” “พ่อ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ” ได้ยินแบบนั้นวายุถึงกับโอดครวญ “ไม่รู้แหละ ยังไงผมก็ต้องได้นังข้าวมันเป็นเมีย” “ไม่ หนูไม่ยอมเป็นเมียมันนะน้าสิ” ข้าวหอมรีบขอความช่วยเหลือจากสิตา น้าสาวที่เธอเองก็เพิ่งจะเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก “ได้ยินชัดแล้วนะ งั้นก็ปล่อยข้าวหอมซะ” พริษฐ์ออกคำสั่งอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้หญิงที่เพิ่งจะแตกเนื้อสาวอย่างข้าวหอมเผลอจ้องมองใบหน้าเขาอยู่ครู่ใหญ่ ทั้งจมูกที่โด่งเป็นสันกับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบที่ถูกประดับไว้บนใบหน้านั้นอย่างลงตัว ยอมรับได้อย่างเต็มปากเลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายคนแรกที่เธอเผลอชมอยู่ภายในใจว่าเขาดูดีเสียเหลือเกิน “ข้าปล่อยมันไปแน่ถ้าพวกเอ็งยอมปิดหนี้ให้มัน” กำนันบุญมียื่นข้อเสนอก่อนจะสั่งให้ลูกน้องนำโฉนดที่ดินมา “นี่เป็นที่ดินที่แม่มันเคยเอาไปจำนองไว้กับข้า บวกลบคูณหารทั้งต้นทั้งดอกก็สองแสน เอ็งมีปัญญาจะใช้คืนแทนมันไหมล่ะ” “แค่ที่ดินเท่าคืบกับบ้านเก่า ๆ ผุพังแบบนี้อ่ะนะสองแสน มันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ” สิตาเถียงคอเป็นเอ็น มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนดีเสียเท่าไหร่ “เงินต้นมันก็ไม่กี่หมื่นหรอก แต่นังข้าวมันไม่ยอมส่ง ดอกมันก็ต้องงอกเป็นธรรมดา” “ตกลง ฉันจะใช้หนี้ให้ข้าวเอง” พริษฐ์ตอบตกลงทันทีโดยที่ไม่ลังเล ทำให้สิตาถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “นี่คุณ เงินตั้งสองแสนมันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ” “แต่นี่มันชีวิตหลานทั้งคนเลยนะคุณ ดูก็รู้ว่าคนพวกนี้กำลังใช้กำลังบีบบังคับ รังแกคนไม่มีทางสู้” ชายหนุ่มให้เหตุผล เมื่อเห็นทางหนีทีไล่ ข้าวหอมจึงใช้จังหวะที่วายุเผลอ ยกเท้าถีบไปที่สีข้างเต็มแรงจนอีกฝ่ายต้องปล่อยมือให้หญิงสาวเป็นอิสระ “ไอ้ข้าว กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ! ” “น้าวาด” ข้าวหอมไม่ได้หันไปสนใจเสียงของวายุ แต่กลับรีบคว้าแขนวาดจันทร์เพื่อวิ่งไปหลบหลังที่พึ่งอย่างพริษฐ์ทันที “คุณไม่จำเป็นต้องให้เงินพวกมันหรอกค่ะ ตามสัญญา ถ้าหนูไม่ได้ส่งเงิน กำนันมีสิทธิ์ที่จะยึดบ้านโดยชอบธรรม แต่ไอ้วายุมันกลับมาใช้กำลังรังแกหนู” “ใช่ค่ะ ต่อให้คุณจะใช้หนี้ให้ไอ้ข้าวมัน ยังไงไอ้วายุมันก็คงไม่ยอม” วาดจันทร์เอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นแกก็รีบไปเก็บเสื้อผ้าซะ ฉันจะได้รีบไปจากที่นี่สักที” สิตาดูเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์ในความใจบุญของสามีเท่าไหร่นัก เงินตั้งมากมายขนาดนั้นจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไง “ไปไหนคะ” “ก็กลับกรุงเทพ ฯ ไง แม่ของเธอสั่งไว้ว่าให้เราเดินทางมารับเธอไปอยู่ด้วย” เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากสิตาอย่างสิ้นเชิง “แล้วตอนนี้พี่สอางค์อยู่ที่ไหนล่ะ” “แม่...แม่เสียแล้วล่ะค่ะ” ข้าวหอมก้มหน้าตอบ “นั่นแหละค่ะที่ฉันเป็นห่วง ข้าวมันไม่เหลือใครแล้ว ถ้าปล่อยให้มันอยู่ที่นี่คนเดียว ยังไงคนพวกนี้ก็ไม่ปล่อยมันแน่” วาดจันทร์เสริม พลางปรายตามองที่กำนันด้วยความไม่ไว้ใจ “ถ้าข้าวมันย้ายออกไป ฉันเองก็ว่าจะไปจากที่นี่เหมือนกัน ไหน ๆ ผัวก็ตายแล้วไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” “พวกเอ็งจะไปไหนก็ไป แต่ต้องจ่ายหนี้ข้ามาก่อน” กำนันบุญมีรีบท้วงขึ้นทำให้ข้าวหอมต้องสวนกลับไปในทันที “กำนันก็ยึดบ้านฉันไปสิ ตามสัญญามันต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ” “เอ็งคิดว่าข้าอยากได้บ้านเก่า ๆ ของแกนักหรือไง เงินที่ข้ายอมให้แม่แกกู้ไปน่ะมันมากกว่าราคาบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ” “ตกลง” พริษฐ์ตอบรับในทันทีเพื่อเป็นการตัดบทก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง “ฉันไม่ได้เอาเงินสดมามากมายขนาดนั้น งั้นขอโอนเข้าบัญชีแทนละกัน” “ได้” อีกฝ่ายตอบรับในทันที รีบสั่งให้ลูกน้องบอกเลขบัญชีไป เพียงไม่นานการทำธุรกรรมผ่านมือถือก็เสร็จสิ้นอย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส “เสร็จแล้วก็ส่งโฉนดมา เราจะได้กลับกันเสียที” “ไม่นะพ่อ จะปล่อยไอ้ข้าวไปไม่ได้นะ พ่อก็รู้ว่าผมรักมันมาตั้งนาน” วายุโอดครวญ เกาะแขนบิดาแน่นเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจ “ไอ้นี่ อย่าทำให้เสียเรื่องได้ไหมวะ ผู้หญิงในเกาะมีเป็นร้อยคน เอ็งจะให้ข้าเสียคำพูดรึไง” กำนันหันไปดุลูกชายแล้วจึงยอมส่งโฉนดที่ดินในมือให้พริษฐ์ “ขอบคุณมากนะกำนันที่รักษาคำพูด” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มมุมปาก ยังไม่ทันได้ส่งโฉนดในมือให้ข้าวหอม สิตากลับแย่งมันไปเสียก่อน “ฉันขอเก็บไว้เอง ถ้าแกอยากได้คืนก็ค่อยทำงานชดใช้ทีหลังก็แล้วกัน” “รีบไปเก็บข้าวของเถอะ เดี๋ยวจะมืดค่ำ ขับรถลำบาก” พริษฐ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่างกับสิตาอย่างลิบลับ “หนูต้องขอบคุณคุณน้าทั้งสองมากนะคะที่ช่วยหนูไว้ แต่หนูคงไปกับพวกน้าไม่ได้จริง ๆ ” “ทำไมอีกล่ะ หรือว่าแกอยากไปเป็นเมียมัน” สิตาเริ่มฉุนจัด แค่เสียเวาลาขับรถมาจากกรุงเทพ ฯ มันก็มากพออยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าหลานนอกไส้เล่นตัวแบบนี้เธอก็คงไม่เสียเวลามาแน่ ๆ “หนูเพิ่งเสียแม่ไป หนูคงจะทิ้งบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดไปไม่ลงหรอกค่ะ” “โธ่ ข้าว” วาดจันทร์ช่วยโน้มน้าวอีกคน “ไหน ๆ คุณเขาก็ไถ่ที่คืนมาให้แล้ว เราไปอยู่กับคุณเขาก่อนเถอะ พอตั้งหลักได้แล้วก็ค่อยกลับมาก็ได้” “แล้วน้าวาดล่ะจ๊ะ จะไปอยู่ที่ไหน แล้วอีกอย่าง...ข้าวยังติดหนี้น้าวาดอยู่นะ” “น้าว่าจะกลับไปอยู่บ้านที่เชียงรายแล้วล่ะ ส่วนเรื่องเงินข้าวไม่ต้องเป็นห่วงหรอก น้ายกให้” “แต่...” “โอ๊ย ! จะคร่ำครวญอีกนานไหม จะไปหรือไม่ไป” สิตารีบตัดบทเพราะดวงอาทิตย์เริ่มจะตกดินต่ำลงทุกที “ไปเถอะข้าว ถือว่าน้าขอร้อง” “ก็ได้ค่ะ น้าวาดก็ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ข้าวหอมโผกอดร่ำลาจันทร์วาดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรีบเก็บข้าวของที่จำเป็นพร้อมกับรูปถ่ายของมารดาติดมือไป วายุที่ยังเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่จึงรีบเข้าไปขวางข้าวหอมเอาไว้ “มึงจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะข้าว มึงต้องไปกับกู” “ฉันว่าเราพูดกันเข้าใจดีแล้วนะ” พริษฐ์รีบคว้าคนตัวเล็กมายืนหลบด้านหลังเพื่อหันไปคุยกับวายุให้รู้เรื่อง “หลบไป มึงไม่เกี่ยว” “จะไม่เกี่ยวได้ไง ก็ข้าวเป็นหลานฉัน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ “แต่เท่าที่กูฟัง ข้าวเป็นหลานเมียมึงไม่ใช่เหรอ” “จะหลานสิ หรือหลานฉัน นายก็ถือว่าเป็นคนนอก เพราะฉะนั้นหลบไป ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” “หมดความอดทนแล้วไงวะ ! ” วายุพูดจบก็ยกมือขึ้นเพื่อจะฟาดไปยังใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายแต่พริษฐ์กลับหลบได้ทันก่อนจะออกแรงเตะไปที่กลางอกจนคนต้นเรื่องล้มลงไม่เป็นท่า ทำให้ลูกสมุนที่ตามติดมารีบประคองเอาไว้ “เรากลับกันดีกว่าครับ” “ไม่ กูไม่ไป กูจะเอาไอ้ข้าวไปด้วย” “มึงจะกลับไม่กลับ แค่นี้ข้าก็อายจนจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว” ผู้เป็นพ่อออกคำสั่งพร้อมกับกระชากคอเสื้อลูกชายให้เดินตามกลับบ้านไป เมื่อเหตุการณ์สงบลง ข้าวหอมจึงต้องตามสิตาและพริษฐ์ไปที่เรือซึ่งถูกจอดไว้ที่ท่าก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นฝั่งเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองหลวงตามคำสั่งเสียของสอางค์ทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD