ตัดมาที่พิทยาที่ขับรถพาคนตัวเล็กมาถึงบ้าน ชายหนุ่มกุลีกุจอเปิดประตูรถให้สาวเจ้าและจับจูงมือคนตัวเล็กให้เดินเข้าบ้านไปด้วยกัน
@บ้านบริรักษ์คุณากร
"มากันแล้ว ไปล้างมือล้างไม้แล้วค่อยมากินข้าวดีมั๊ยลุก" คุณนายพิชญาเอ่ยยิ้ม ๆ
คนตัวเล็กยกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสองของบ้านด้วยใบหน้าอิดโรย
"หนูขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ รู้สึกเพลีย ๆ ค่ะ อยากอาบน้ำก่อนดีกว่า" ปารดีเอ่ยขึ้น
"เอาซิลูก อาบน้ำสระผมเสียด้วยเลย ที่โรง'บาลสัมผัสคนไข้ ไม่รู้เชื้อโรคอะไรบ้าง นี่เราเดี๋ยวก็เข้าเวรควงเวรอยู่อย่างนี้มันก็มีเพลียกันบ้างแหละลูก" คุณพัฒนาเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจบริบท
"ไปซิ เดี๋ยวพี่อาบด้วย" พิทยาพูดขึ้น ส่วนสามคนฟังได้แต่หันขวับทันควัน
"……" คุณพัฒนา คุณพิชญา และปารดี เงียบแต่ใช้สายตามองแรง
"เอ่อ…แหะ ๆ ผมหมายถึง ต่างคนต่างอาบคนละห้องครับ ผมก็มาจากโรง'บาลเหมือนกันนิ่" พิทยาพูดแก้ต่างให้ตัวเองยิ้ม ๆ
"ก็ไปซิ ไม่เห็นได้ว่าอะไรนิ" คุณพัฒนาเอ่ยขึ้น
จากนั้นสองหนุ่มสาวจึงพากันขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน
(ต่อไปนี้เป็นบทกระซิบกระซาบของสองตายายนะคะ)
"คุณยายพิชญาคิดว่าไงเหรอ” คุณพัฒนากล่าวลอย ๆ
"คิดเรื่องอะไรล่ะคุณตา" คุณยายพิชญาแกล้งถามอย่างไม่รู้ไม่ชี้กลับไป
"หึ่ มันจะเป็นอย่างงี้ไปถึงอีกเมื่อไรนะคุณ ผมล่ะขัดใจมันจริงจริ๊งเลยไอ้ลูกชายคนนี้" คุณพัฒนาบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสา
"ปล่อย ๆ เค้าไปเถอะคุณ ถึงเวลาเค้าก็จัดการชีวิตเค้าเองแหละ แค่ได้ตัวแม่หนูปริมมาอยู่ด้วยนี่ก็ดีโข ดีกว่าให้ไปอยู่ที่คอนโดตามลำพังเสียอีก นี่ถ้าแม่เค้าจะอยู่กับป้าเค้าตลอด ให้ยายหนูปริมอยู่ที่นี่ตลอดเลยฉันก็ไม่ติดนะคุณ ถ้ายังไม่มีงานแต่งก็ให้อยู่ในฐานะหลานสาวไปก่อนก็ได้" คุณพิชญากล่าวราบเรียบ
"คุณคิดว่างั้นเหรอ สมมตินะ สมมติว่าพ่อพิทยาไม่ได้ลงเอยกับหนูปริม คุณยังจะให้หนูปริมอยู่ที่นี่อีกมั๊ย" คุณพัฒนาถามอย่างหยั่งรู้ความคิดภรรยาคู่ชีวิต
"คุณตาอย่าพูดในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ตาพิทน่ะไม่ใช่ง่าย ๆ นะคะ ลูกฉันคนนี้ฉันเลี้ยงมากับมือทำไมมจะไม่รู้นิสัยใจคอล่ะคะ ถ้าไม่รักไม่หมายมั่นปั้นมือละก็ แม้แต่หน้ายังมองเลยค่ะ"
สักพักสองหนุ่มสาวก็เดินลงมาจากชั้นบน
"จุ๊ จุ๊ จุ๊ มานู่นแล้ว เดี๋ยวเค้าจะรู้ว่าพูดเรื่องของเค้าอยู่" คุณพัฒนาจุ๊ปาก ส่วนผู้เป็นภรรยาได้แต่พยักหน้าอย่างรู้กัน
"มากันแล้ว มากินข้าวกันลูกมะ วันนี้มีของโปรดหนูด้วย อกไก่ตุ๋น และนี่แกงจืดแตงกวายัดไส้ แล้วก็น้ำพริกผักต้ม น่ากินมั๊ย คุณยายทำสุดฝีมือเลยนะ" คุณยายพิชญาแนะนำเมนูอาหารอย่างเอาใจ
"ขอบคุณค่ะคุณยาย หนูต้องอ้วนแน่ ๆ เลยค่ะ อาหารน่ากินมาก" ปารดีพูดพร้อมกับกวาดสายตามองอาหารตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
"หึหึ กินเข้าไปเยอะ ๆ เถอะ ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอก คุณหมอดูซูบไปนะครับ ไหนจะอดนอน ไหนจะเครียดกับเคสอีก ใช้สมองเยอะ" เป็นพิทยาที่พูดขึ้น มือก็ตักนี่ตักนั่นให้สาวเจ้าพัลวัล ส่วนคนตัวเล็กก็กินเอ้ากินเอาจนอิ่มและมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเพื่อย่อยอาหาร สักพักจึงขอไปอ่านประวัติคนไข้ข้างบนห้อง
ทางด้านพิทยาเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเข้าห้องไปแล้วจึงเปิดประเด็นขึ้นมา
"พ่อครับ แม่ครับ ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังครับ"
"ว่ามาซิ/อือ แม่รอฟังอยู่" คุณพัฒนาเอ่ยราบเรียบ ตามด้วยคุณพิชญา
"คือผมทราบมาจากนายดามว่า ลุงชัย ลุงเขยของน้องปริมคือคนที่ถูกสั่งมาให้ยิงป๊าเขตแดนแต่บังเอิญลูกน้องของท่านมารับกระสุนแทนซึ่งก็คือพ่อของต้นข้าวสามีของน้องนุชลูกสาวคนเล็กของป๊าเขตแดนครับ นี่อาจจะเป็นสาเหตที่ทำให้ลุงชัยเกิดอาการเครียดมาจนถึงทุกวันนี้และเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อนในที่สุด"
"แล้วป้าของหนูปริมรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่าล่ะ" คุณพัฒนาซักขึ้นบ้าง
"ผมไม่ทราบและไม่มีใครทราบครับ แต่เท่าที่สังเกตผมเดาว่าทุกคนน่าจะทราบครับ เพราะแกหลุดปากว่าลุงชัยเค้าได้ใช้กรรมของเค้าแล้ว ก็เลยเดาว่าแกน่าจะรู้" พิทยากล่าวต่อ
"แล้วทางครอบครัวของน้องเขยนายดามรู้หรือยังล่ะ" คุณพิชญาซักขึ้นบ้าง
"ครอบครัวของนายต้นข้าวน่ะเหรอครับ คงทราบแล้วครับ แต่ก็ไม่อะไร เพราะต่างฝ่ายต่างก็สูญเสียเหมือนกัน ไม่ผูกพยาบาทกันแล้ว" พิทยากล่าวตามที่ได้รับข้อมูลมา
"แล้วเรื่องพ่อของหนูปริมนี่ว่ายังไงบ้างหละลุก" คุณพัฒนาเปิดประเด็น
"อืม เท่าที่ทราบมันเป็นเรื่องที่พัวพันกันกับเรื่องคดีการตายของพ่อของนายต้นข้าวน่ะครับ มือปืนน่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับคดีก่อนนี้ครับ"
"น่าสงสารป้าของหนูปริมนะ คงกระอักกระอ่วนใจแย่ นี่หรือเปล่าที่แม่ของหนูปริมไม่ยอมทิ้งพี่สาว ครบเจ็ดวันแล้วก็ยังไม่กลับมาเลย" คุณพิชญาออกความเห็นบ้าง
"คงใช่แหละครับคุณแม่ ผมก็ได้แต่หวังว่าให้ปาฏิหาริย์มีจริงครับ" พิทยาพูดจบก็ถอนหายใจยาวโดยไม่ระแคระคายเลยว่ามีใครอีกคนที่แอบมาได้ยินโดยบังเอิญ
ปารดีพาร์ท
น้องปริมรู้สึกกระหายน้ำหลังจากอ่านประวัติคนไข้จนตาพร่ามัวไปหมด จึงเดินลงมาที่ชั้นล่างเพื่อจะมาหยิบน้ำดื่มแต่บังเอิญได้ยินเรื่องบางเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับครอบครัวของน้องปริมอยู่จึงอดที่จะหยุดฟังไม่ได้ ฟังแล้วสับสนไปหมด รู้แต่เพียงว่าน้องปริมเสียโอกาสที่จะมีพ่อกับเค้าบ้างเพราะคนพวกนี้ คนที่มาพรากพ่อออกไปจากน้องปริม แล้วแม่ล่ะ ทำไมแม่ถึงพาน้องปริมหนีพ่อมา น้องปริมสับสนไปหมดแล้ว ไม่มีสมาธิที่จะอ่านตำราแพทย์อีกเลย น้องปริมจึงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเงียบ ๆ แลปิดไฟนอนแต่ไม่อาจหลับตาลงได้เลยจนเป็นเวลาร่วมชั่วโมงแล้วความรู้สึกของน้องปริมก็ดับวูบไปเมื่อไรไม่รู้