ชายหนุ่มทำได้แค่นึกในใจ...เขาไม่น่าแกล้งจนเลยไปไหนแต่ละทีลำบากชะมัด
รถโดยสารวิ่งเรื่อยๆ แวะจอดรับผู้โดยสารตลอดทาง จนหนุ่มมหาเศรษฐีเริ่มเวียนศีรษะ เนื่องจากรถยนต์กระตุกไปมาบ่อยเกินไป ติดๆ ดับๆ จนมึนไปหมด
“อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วค่ะ” เสียงเปรยๆ ของคนข้างตัวช่วยให้ใบหน้าซีดเซียวของชายหนุ่มดูดีขึ้น เมื่อกำลังจะพ้นความกระอักกระอ่วนทรมานนี่สักที
บ้านหลังใหญ่ล้อมรอบด้วยไม้ยืนต้น ส่วนมากเป็นผลไม้กินได้เสียมากกว่าไม้ต้นที่ให้ร่มเงา เสียงเด็ก! ดังแทรกออกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ชายหนุ่มผินหน้าไปมองเมวิกาเหมือนจะตั้งคำถาม
หญิงสาวคลี่ยิ้มให้ เธอพูดตอบช้าๆ “ฉันเป็นเด็กกำพร้าและโตมาใต้ความดูแลของ ‘บ้านน้ำริน’ นี่แหละค่ะ แปลกใจอะไรเหรอคะ?”
แวซ็องพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ เขาเดินตามเมวิกาโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก แต่รู้สึกสมเพชตัวเองชะมัด...ที่ตัวเองใฝ่ต่ำ!! ขนาดมาสนใจคนไม่มีสกุลรุนชาติ
“พี่เม!”
กลุ่มเด็กน้อยอายุไม่เกิน10ปี วิ่งกรูเข้ามาหาเมวิกา เมื่อมองเห็นเธอเดินฝ่านประตูเข้ามา เสียงของพวกเขาแสดงความยินดีแบบเปิดเผย รอยยิ้มนั่นอีกไร้จริตใด จนเมื่อแม้แต่แวซ็องเองยังรู้สึกตื้อตันไปด้วย รอยยิ้มใสบริสุทธิ์แบบนี้เคยมีใครยิ้มให้เขาบ้าง? ไม่มี!! ไม่เคยมีใครรอบตัวของเขายิ้มแบบนี้สักคน
“พี่เมมีขนมมาฝากพวกหนูไหมคะ?”
เสียงเล็กๆ ร้องถามดังเซ็งแซ่ ดวงตาของแต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“มีสิจ๊ะ พี่จะลืมได้ไง...อาจจะน้อยไปหน่อย เพราะพี่เองก็ไม่ค่อยมีสตางค์ แต่แบ่งได้ทุกคนแน่นอน”
ใบหน้าเล็กๆ เหล่านั้นสลดวูบลง แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบานแฉ่ง เมื่อคำตอบของเมวิกาทำให้หัวใจดวงเล็กๆ มีความหวัง
“ใครอะพี่เม?” ครั้นเมื่อเหลือบเห็นผู้ชายตัวใหญ่ปานยักษ์ เดินตามพี่สาวสุดหวงมาห่างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความไม่พอใจ
“ใช่คนดีไหมคะ? หน้าตาไม่น่าไว้ใจสักนิด”
เสียงวิจารณ์แบบไม่เกรงใจกับใบหน้าที่หงิกงอลง
ชายหนุ่มยิ้มให้พร้อมกับพยายามพูดช้าๆ เพื่อจะได้สื่อสารกันรู้เรื่อง
“เป็นเพื่อนพี่เมของเรา...มาด้วยกัน แต่ถ้าเด็กคนไหนเป็นเด็กดี เดี๋ยวพี่จะไปเหมาขนมมาแจก ร้านขนมหน้าบ้านนี่ก็มีนี่”
สิ้นเสียงพูดของคนแปลกหน้าเด็กๆ มีทีท่าดีขึ้น วัยของพวกเขามีแค่นี้จะไปทันเล่ห์คนตัวโตได้อย่างไร แค่เขาเอาขนมมาล่อ อคติที่เคยมีก็มลายหาย สลายไปเกือบหมด
“มีขนมเยอะพอแล้วค่ะ หากคุณจะให้จริง...ฉันขอเป็นเครื่องเขียนแทนได้ไหมคะ?”
แววตาของเมวิกาเปี่ยมความหวัง และสิ่งที่เธอร้องขอ ขอให้กับคนอื่น ไม่ใช่ขอให้ตัวเอง...
แวซ็องเลยมองเห็นจุดอ่อนของเมวิกาแบบไม่ตั้งใจ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กๆ ตาดำๆ เหล่านี้เมวิกาไม่มีทางปฏิเสธแน่...
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มรับคำเสียงหนักๆ เขาเลยได้รับรอยยิ้มหวานๆ เป็นรางวัล แวซ็องคิดในใจ เมวิกาช่างแปลกคนที่เวลาให้เพื่อหล่อน หล่อนกลับปฏิเสธโดยไม่หยุดคิด...แต่หากสิ่งนั้นเพื่อคนอื่น เธอกลับยินดีที่จะได้รับ...เธอเป็นนางฟ้าหรือไร?
“สมัยฉันยังเด็ก สีที่ระบายบนกระดาษสั้นกุด จนต้องเอามาผูกกับปลายไม้ เพื่อจะได้ใช้จนคุ้ม จนหยดสุดท้าย...แต่ก็ไม่เคยเพียงพอ ฉันได้แต่แอบอิจฉาเด็กคนอื่นๆ คนที่เขามีครบทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะกระเป๋า รองเท้า หรือดินสอ มันเลยเป็นความฝังใจของฉันเอง หากอะไรก็ตามทำให้น้องๆ ของฉันไม่ต้องรู้จักกับความรู้สึกแบบที่ฉันเคยเจอ...ฉันจะทำ แต่ฉันก็ไม่เคยทำได้สักที เมื่อค่าแรงที่ได้รับไม่เคยเพียงพอกับความต้องการ ฉันอยากทำงานได้เงินเดือนเยอะๆ เพื่อจะสนองตอบความต้องการของพวกเขาให้ได้...” เธอหยุดพูดเมื่อก้อนสะอื้นเออคลอในดวงตายามระลึกถึงความหลัง
“น่าเศร้านะคะที่พวกเราเกิดมาขาดมันทุกสิ่ง...แต่สิ่งเดียวที่พวกเราทั้งหมดมีเปี่ยมล้น ‘คือความรัก’ มันเลยทำให้ความอยากที่ฉันเคยมีพอจะข่มใจลงเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง สักวันหนึ่งมันคงเป็นจริงหากฉันไม่ท้อ”
เป็นครั้งแรกที่เมวิกาเปิดใจให้คนแปลกหน้ารับรู้ เมื่อแวซ็องกะเทาะเปลือกอันแข็งแกร่งที่ห่อหุ้มเป็นปราการป้องกันตัวของเมวิกาจนแตกละเอียด เธอจึงเปิดเผยความในใจให้เขาได้รับรู้ เมื่อสิ่งที่เขาทำมีผลกับหัวใจของเธอ...อย่างแรง!!
“อยากให้ฉันช่วยอะไรบอกได้เลยนะ...ฉันพร้อมหากเธอต้องการนะเม”
“ค่ะ...”
แค่เล่ห์มายานิดหน่อย เขาก็เจาะปราการของหญิงสาวเข้าไปได้...จากนี้ไปคือการละเลียดชิมความรู้สึกของ ‘ผู้ชนะ’ สินะ
“ไปเม...เราสองคนไปช่วยกันเติมความยินดีให้พวกเด็กๆ เหล่านี้กันเถอะ”
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา แผนการลวงก็ยังคงดำเนินต่อ...มันเป็นเกมสนุกๆ ของเศรษฐีขี้เบื่อที่ต้องการเอาชนะคนไม่มีทางสู้
เงินไม่กี่สตางค์ที่เสียไป แต่กลับได้ความไว้ใจเข้ามาแทนที่
กองเครื่องเขียนในถุงหิ้ว เปลี่ยนความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างชะงัด
สิ่งของเล็กน้อยที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เมวิกากลับดีใจเสียยิ่งกว่า
“แค่นี้พอแล้วเหรอ?”
ไหนๆ ก็คิดจะเอาสิ่งนี้ล่อ!
แวซ็องไม่รอช้า เขาทำตามแผนเดิมแบบไม่รู้สึกตะขิดตะขวงเลยสักนิด
“มันไม่พอหรอกค่ะ...แต่ฉันเกรงใจคุณ”
เมวิกาตัดสินใจพูดตามตรง เพราะหากจะให้เพียงพอกับความต้องการจริงๆ โดยไม่ต้องแย่งกันมันต้องใช้เงินอีกเยอะและหากต้องเสียไปกับอุปกรณ์เพื่อพัฒนาความรู้เด็กๆ สู้เก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้พวกเขาไม่ดีกว่าเหรอ
“ฉันรู้จักคนมีเงินอยู่หลายคนนะ และหากจะให้เขาอนุเคราะห์น้องๆ ของเธอมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
เหมือนท้องฟ้าเปิดมีลำแสงส่องสว่าง เป็นแสงแห่งความหวัง เป็นแสงเรืองรองที่หากใครได้สัมผัสจะรู้สึกอิ่มเอิบซาบซ่าน เมื่อมันคือความหวังอันยิ่งใหญ่
หวังที่จะได้พบกับอนาคต สามารถรอดพ้นผ่านปากเหยี่ยวปากกาไปได้
เมวิกาคลี่ยิ้มเต็มปาก แววตาของเธอเต้นระริก
“หากที่คุณพูดคือเรื่องจริง ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะขอบคุณกับคุณแบบไหนถึงจะดี” เธอตอบกลับเสียงสั่น
“ไม่ต้องเลยเม ขอแค่เธออย่าถอยหนีไปไกลๆ ฉันอีกก็พอ ขอแค่นี้เธอคงให้ได้นะ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ น้ำเสียงสั่นเครือ
ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะรีบหุบ...เขาจะยิ้มทำไม! “แล้วฉันต้องติดต่อใคร...ต้องทำอะไรบ้างล่ะ”
เมวิกาผุดลุกขึ้นยืน เธอยิ้มเต็มปากและแววตาเต้นระริกพร่างพราว “ไปค่ะ...เมพาคุณไปเอง ครูต้องดีใจแน่ๆ หากมีงบเพิ่มขึ้น น้องๆ จะได้มีทางเลือก”
เกือบหนึ่งชั่วโมงกับการรับรู้รายละเอียด กับขั้นตอนการดำเนินงานแวซ็องพอจะเข้าใจ เขาคงต้องติดต่อคนของน้องชายและให้มันมาเป็นตัวแทนๆ เขาในการมอบเงินบริจาคให้กับบ้านน้ำรินทุกๆ เดือน เดือนละ1แสนบาท
ครูใหญ่พาเด็กๆ มาทำความเคารพแวซ็อง และถ่ายภาพเพื่อเป็นเกียรติกับทางบ้านเด็กกำพร้า ชายหนุ่มยอมทำตามแม้จะรู้สึกขัดใจ เขาไม่เคยมีภาพแบบนี้ปรากฏที่ไหน แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของเมวิกาจึงปฏิเสธไม่ลง และเขามีรูปถ่ายร่วมกับเธอโดยบังเอิญ...โดยไม่รู้ว่ารูปเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้เขาในอนาคต...ปัญหาใหญ่เกินกว่าที่ชายหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลจะควบคุมไว้ได้...
“ฉันจะเอาเอกสารนี่ไปให้เขาเอง เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปเลยไอ้หมอนี่มันรวย”
เขายกยอตัวเองให้เมวิกาฟังและหล่อนก็พาซื่อ สรรเสริญเขายกใหญ่
“เพื่อนคุณเซดริกใจดีจังเลยค่ะ หากฉันมีโอกาสได้เจอกับเขาฉันจะกราบเท้าเขาเลยล่ะค่ะ การทำบุญของเขาวันนี้ต่ออนาคตให้เด็กๆ อีกหลายร้อยคน”
แวซ็องทำหน้าปั้นยากจะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งก็ไม่เชิง หากหล่อนรู้เจตนาของเขา เมวิกาจะเกลียดเขาเพียงใดเล่า เพราะทันทีที่ ‘ฟัน’ หล่อน การทำบุญเอาหน้านี่ก็สิ้นสุดลงเช่นกัน!!
“มันไม่ใช่คนดีอะไรหรอก”
เขาบอกเล่าเป็นเลาๆ