“บ้านเรากำลังจะล้มละลาย ที่ซุกหัวนอนกำลังจะไม่มี พวกแกก็โตๆกันแล้ว แยกย้ายกันไปหาที่อยู่ไหมได้เลย”
กรองทองเอ่ยขึ้นในขณะที่เดินลงบันไดมาจากชั้นสองของบ้านพร้อมกับสะพายกระเป๋าใบโปรดที่ภายในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่งลงมาด้วย
แล้วเธอก็เดินเข้ามาหย่อนก้นนั่งลงตรงหน้าลูกทั้งสองที่กำลังจะเริ่มกินอาหารเย็นกัน
ที่เธอเดินลงมาเวลานี้ก็เพื่อแจ้งให้คนทั้งสองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกทราบถึงการจะต้องเสียบ้านไป
“หมายความว่ายังไงครับ”
ชนัดพลลูกชายคนโตของบ้านที่กำลังตักข้าวใส่จานส่งให้ผู้เป็นน้องสาวอย่างช่อพิกุลเอ่ยถามผู้เป็นแม่กลับอย่างไม่เข้าใจนัก
ด้วยผู้เป็นแม่ไม่เคยทำธุรกิจอะไรนอกจากกินเงินจากมรดกที่พ่อทิ้งไว้ให้ก่อนจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แล้วจะเกิดการล้มละลายได้อย่างไรกัน
“หมายความตามที่พูดออกไปไงล่ะ”
สายตาหวานที่ยังคงสวยไม่เปลี่ยนแม้จะอายุปาไปเลขห้าแล้วเหยียดมองไปยังบุตรชาย
มือบางก็หยิบคว้าเอาหมูทอดชิ้นโตมาจากจานกับข้าวแล้วป้อนใส่ปากของตัวเองแก้หิว
“คุณพ่อทิ้งมรดกไว้ตั้งเยอะแยะ คุณแม่ใช้หมดแล้วงั้นเหรอครับ”
ชนัดพลเรียบเรียงคำพูดของผู้เป็นแม่ได้ก็เริ่มเข้าใจว่าการล้มละลายสำหรับผู้เป็นแม่คืออะไร
เขาเริ่มมีน้ำโหใส่คนเป็นอย่างไม่อาจจะเก็บอารมณ์เอาไว้ได้ เพราะว่าเงินนั้นที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้มันไม่ควรหมดไปแบบนี้
“ใช่”
กรองทองตอบออกไปอย่างไม่แคร์ใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะเงินก้อนโตที่มีหลายล้านของสามีที่ตายไปนั้นเธอใช้หมดแล้ว
“หนูพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง คุณแม่เอาไปใช้หนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวหนูจะทำงานหาเงินมาให้อีก”
ช่อพิกุลที่รู้ดีว่าผู้เป็นแม่นำเงินไปทำอะไรจนหมดแต่เธอเลือกที่จะไม่พูด แต่จะให้เงินไปอีกเพื่อแก้ปัญหานี้ไปก่อน ด้วยเธอรักผู้เป็นแม่มาก แม้ท่านแทบจะไม่เคยเลี้ยงดูมาเลยก็ตาม
และอีกอย่างเธอไม่อยากให้แม่กับพี่ชายต้องมาทะเลาะกัน เพราะพี่ชายของเธอไม่ได้ยอมอะไรง่ายๆเหมือนเธอ
“หนี้เป็นสิบๆล้านแกใช้ไหวเหรอ”
กรองทองที่พอได้ยินถึงเงินก็ตาพองขึ้นมาด้วยความดีใจ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าลูกสาวเพิ่งจะเรียนจบมาเมื่อวานยังไม่มีงานทำเธอก็แทบจะไม่สนใจ
เพราะเงินเก็บของเด็กนักเรียนมันจะไปมีสักกี่บาท จะพอค่าแท็กซี่ที่จะนั่งออกไปตอนค่ำนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้
“เดี๋ยวผมจะช่วยน้องอีกแรง แต่คุณแม่ต้องสัญญาว่าเมื่อใช้หนี้หมดจะต้องโอนบ้านหลังนี้ให้ผมกับน้อง”
ชนัดพลพยายามใจเย็นให้มากที่สุดเพื่อเจรจากับผู้เป็นแม่ ด้วยเขารักบ้านหลังนี้มากเพราะบ้านหลังนี้เป็นเหมือนตัวแทนของผู้เป็นพ่อ
และเขาก็รู้ว่าน้องสาวก็รักบ้านหลังนี้มากเหมือนกัน เขาก็อยากจะสู้เพื่อน้องไม่อยากจะเสียบ้านไป
“ก็แค่บ้านเก่าๆ ฉันก็ไม่ได้อยากได้นักหรอก”
เมื่อมีตัวช่วยในการหาเงินเพิ่ม กรองทองก็ตาโตขึ้นมาอีกครั้ง และตกลงออกไปตามที่ลูกๆขอเธอมา
เพราะว่าบ้านหลังนี้เธอก็ไม่ได้อยากได้นักหรอก แต่ที่เธออยากได้คือเงินและเงินเท่านั้น
“ไม่อยากได้ก็เลยทำแบบนี้นะเหรอครับ เอาบ้านที่ซุกหัวนอนทุกวันไปแลกเงินเพื่อเอาไปเล่นการพนัน”
ชนัดพลอดไม่ได้ที่จะพ่นคำร้ายใส่ผู้เป็นแม่เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่เป็นพวกหิวแต่เงิน และเป็นผีการพนันเข้าสิงไม่เลิกสักที
ตั้งแต่พ่อยังไม่เสียชีวิตผู้เป็นแม่ก็มีนิสัยแบบนี้มาตลอด จนผ่านมาสิบห้าปีแล้วแม่ของเขาก็ยังมีนิสัยแบบเดิมๆแก้ไม่หาย
จนถึงตอนนี้หนักข้อขึ้นทุกทีจนถึงขั้นเอาบ้านที่ใช้ซุกหัวนอนทุกวันไปแลกเงินเพื่อเล่นการพนัน
เขาพยายามจะไม่สนใจ และไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยมานานแล้ว แต่วันนี้มันอดไม่ได้จริงๆด้วยบ้านหลังนี้คือสิ่งที่เขากับน้องรักกันมาก
“อย่ามาปากมากเหมือนพ่อแกนะไอ้นัด”
กรองทองเงื้อมือขึ้นสูงคล้ายจะเหวี่ยงไปที่ใบหน้าของผู้เป็นลูกอย่างชนัดพลเพื่อตบสั่งสอนที่กล้ามาต่อว่าเธอ
“การลงทุนของแม่ก็คือการเล่นพนัน เลิกเถอะครับก่อนที่เราจะไม่เหลืออะไรกันจริงๆ”
เขาพยายามที่จะไม่พูดอะไรที่มันตรงเกินไปออกมาเพราะรู้ว่ามันทำร้ายจิตใจของคนฟังอย่างช่อพิกุลผู้เป็นน้อง
แต่เขาก็อดไม่ได้เพราะผู้เป็นแม่ไม่เคยสำนึกผิดอะไรเลย ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุให้ไปเล่นการพนันหนักขึ้นอีก
“ฉันไม่เลิก นั้นมันคือชีวิตของฉัน”
กรองทองตวาดใส่ลูกๆของเธอเสียงดังลั่นบ้านก่อนจะลุกขึ้นยืน พร้อมกับรวบกระเป๋าขึ้นมาถือเตรียมตัวจะออกไปนอกบ้าน
“อย่าให้ผมกับน้องต้องแจ้งความจับแม่ตัวเองเลยครับ ผมขอละครับ”
เมื่อพูดจาดีๆด้วยไม่ได้ผล ชนัดพลก็ขู่ออกไปเพื่อหวังให้ผู้เป็นแม่เกรงกลัวและเลิกเล่นการพนันขึ้นมาบ้าง
“ไปขอกับพ่อแกนู้น มันเป็นคนดีคงให้แกได้ แต่ฉันไม่ใช่”
กรองทองที่โดนผีพนันเข้าสิงจนไม่อาจเลิกจากมันได้รีบเดินก้าวเดินฉับๆออกจากบ้านไป
“แม่”
ชนัดพลรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่หวังจะวิ่งตามผู้เป็นแม่ไปเพื่อจะคุยกันให้รู้เรื่องมากกว่านี้
“พอเถอะค่ะพี่นัด”
ช่อพิกุลรีบห้ามผู้เป็นพี่ชายเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวใหญ่โต เพราะยังไงเสียแม่ของเธอก็เลิกเล่นการพนันไม่ได้
“เฮ้อ”
ชนัดพลยอมนั่งลงตามเดิมเพราะไม่อยากจะทำให้ผู้เป็นน้องสาวลำบากใจไปมากกว่านี้
และนั้นก็ผู้เป็นแม่เขาก็ควรจะระงับอารมณ์เอาไว้บ้าง ไม่ควรทำอะไรที่เกินกว่าเหตุ
“นิดยังไม่มีงานทำเลย เราจะใช้หนี้สิบล้านกันไหวเหรอคะ”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่ดูจะอารมณ์เย็นลงช่อพิกุลก็เอ่ยถึงหนี้สินก้อนโตนั้น เพราะมันมากมายเหลือเกินจนเธอหวั่นใจว่าจะหาเงินมากขนาดนั้นไม่ได้
“ต้องไหวซิ ยังไงพี่ก็ไม่ปล่อยให้บ้านของพ่อต้องไปอยู่ในมือของคนอื่นหรอกนะ”
ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยตอบกลับอย่างมั่นอกมั่นใจว่าเขานั้นจะรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้ได้แน่นอน
แต่ภายในใจกลับแอบหวั่นใจไม่น้อย เพราะเขาเองก็มีรายได้แค่เดือนละไม่กี่บาท แค่รายจ่ายประจำวันก็มากมายพอตัวอยู่แล้ว จะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ยังคิดไม่ออกเลย
“หนูจะรีบหางานทำให้ได้เร็วที่สุดนะคะ”
ช่อพิกุลเห็นผู้เป็นพี่มั่นอกมั่นใจเธอก็เลยมีความมั่นอกมั่นใจขึ้นมาบ้าง แม้จะยังไม่มีงานทำก็ตาม
แต่เธอจะรีบหางานทำให้ได้เร็วที่สุดแล้วก็รีบนำเงินมาช่วยคนเป็นพี่ปลดหนี้ให้กับผู้เป็นแม่
“เอาไว้ค่อยคิดเรื่องนั้น กินข้าวกันก่อนดีกว่า กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
ชนัดพลเห็นว่าน้องนั้นเพิ่งจะกลับเข้าบ้านมาเหนื่อยๆหลังจากที่เพิ่งจะเก็บของออกมาจากหอพักย้ายกลับมาที่บ้านก็เลยไม่อยากคุยเรื่องเครียดๆกันนาน เขาเลยหันมาชวนผู้เป็นน้องสาวกินข้าวแทนการพูดคุย
“ค่ะ”
หญิงสาวที่เป็นคนว่านอนสอนง่ายมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อพี่ชายสั่งอะไรเธอก็ทำตาม และไม่พูดถึงเรื่องปลดหนี้นั้นกันอีก
เพราะก็ต่างรู้หน้าที่ของตัวเองกันแล้วว่าจะต้องหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อบ้านหลังนี้ที่เธอและพี่รักมากๆ
“น่าสนใจ ค่าตอบแทนก็สูงลิบเลย แต่น่าเสียดายอยู่ไกลไปหน่อย”
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่รู้ว่าบ้านที่ตัวเองอยู่กำลังจะถูกยึด ช่อพิกุลที่เพิ่งเรียนจบพยาบาลก็ออกหางานทำทันที
เธอมาหารุ่นพี่ที่เป็นพยาบาลคนหนึ่งที่ค่อนข้างสนิทสนมด้วย เพื่อถามหางานที่มีค่าตอบแทนสูงๆเพื่อให้เธอได้หมดหนี้ไวๆ
และก็มีงานอย่างที่เธอตามหามารออยู่จริงๆ แต่ทว่างานนั้นต้องเดินทางไปอยู่กับคนไข้ไกลถึงเชียงใหม่
“แค่เชียงใหม่เอง แค่นี้คุ้มจะตายไป นี่ถ้าพี่ไม่ติดว่ามีครอบครัวนะ พี่ไปเองแล้ว ไม่มาบอกนิดหรอกนะ”
จิดาภาพูดไปเสียดายไปให้ช่อพิกุลได้ฟัง ด้วยงานไปดูแลคนไข้คนนี้ค่าตอบแทนสูงลิบแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน
แต่เธอนั้นรับงานเองไม่ได้ เพราะต้องอยู่ดูแลลูกๆที่กำลังอยู่ในวัยเรียนทางกรุงเทพ
“อืม”
ช่อพิกุลคิดอย่างหนักไปกับตัวเลขค่าจ้างและก็การที่ต้องเดินทางไกล เพราะพี่ชายของเธอต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ
“เอาไง งานดีเงินดีแบบนี้คนเขาแย่งกันอยู่นะ ชักช้าอดไม่รู้ด้วยนะ”
จิดาภาที่เห็นว่าทั้งงานทั้งเงินดีก็ยิ่งเชียร์ให้หญิงสาวตรงหน้าไปทำ เพราะอยากให้หญิงสาวที่เธอรักเหมือนน้องได้ดี
ด้วยก็พอจะรู้ว่าช่อพิกุลนั้นมีฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก เงินจากการทำงานก้อนนี้ก็น่าจะพอช่วยได้
“ไปก็ได้ค่ะ แต่นิดขอเวลาเตรียมตัวสักวันสองวัน”
ช่อพิกุลตัดสินใจไปเพราะเห็นว่าค่าตอบแทนนั้นสูงดี และถ้าเธอทำงานนั้นได้นาน เธอก็อาจจะหมดหนี้เร็วขึ้น
บ้านหลังนั้นก็ยังจะคงเป็นของเธอกับพี่ต่อไป ไม่ถูกยึดไปกับการเสียพนันของผู้เป็นแม่
“งั้นเดี๋ยวพี่ติดต่อพี่กิ๊บเขากลับไปก่อน จองเอาไว้ก่อน”
จิดาภายิ้มดีใจไปกับหญิงสาวตรงหน้าด้วยที่ยอมรับงานดีๆแบบนี้ แล้วก็รีบจัดการติดต่อกลับไปยังเลขาหน้าห้องของคุณหมอพายัพที่หางานมาให้
“ขอบคุณนะคะ”
ช่อพิกุลพอคุยรายละเอียดอะไรเรียบร้อยแล้วก็รีบขอตัวกลับ เพื่อจะไปคุยกับผู้เป็นพี่ชายอีกที
เธอหวังว่าผู้เป็นพี่ชายจะเข้าใจและยอมให้เธอไปทำงานง่ายๆ คงไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก
เพราะถ้าเธอแค่ชักช้าไปนิด งานที่เงินดีระดับหลักแสนบาทต่อเดือนไม่รวมเงินพิเศษอื่นๆคงได้หลุดมือไปแน่ๆ