“น้องมินไม่รับโทรศัพท์เหรอ?”
เสียงนุ่มทุ้มก้มกระซิบถาม เมื่อเห็นโทรศัพท์ของหญิงสาวหน้าจอสว่างอยู่นาน แม้เจ้าหล่อนจะคว่ำหน้ามือถือลงกับโต๊ะก็ตาม
เขาก้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นดอกพีโอนีจากน้ำหอมที่แต้มไว้ที่ชีพจรหลังกกหู ฉวยโอกาสพูดชิดติดใบหูแล้วกดจูบหนัก ๆ ลงที่ใบหูเล็ก นิ้วมือไล้ไปตามไหล่เรียบเนียน แม้เสื้อผ้าจะมิดชิดไม่ได้วาบหวิว แต่ฝ่ามือของเขาก็ซอกซอนเข้าไปจนสัมผัสความนุ่มเรียบเนียนนั้น
“พี่กายอยากให้มินรับเหรอคะ”
เธอขยับตัวออกห่างเขาอย่างพอประมาณ ไม่เชิงปฏิเสธหรือเล่นตัว ปรายดวงตาหวานสบกับเขาอย่างเต็มไปด้วยความเสน่หา
แบบนี้ไงถึงได้มีแต่คนทักทายผู้หญิงอย่างมินตราไม่หยุดหย่อน
เหมือนจะง่ายแต่กลับยาก
เพียงพริบตาก็ขยับห่างออกไปอีกแล้ว
ชายหนุ่มรู้สึกร้อนไปทั้งตัว
“ไม่อยากสักวินาทีเดียว พี่อยากให้มินอยู่กับพี่”
“งั้นมินก็ไม่รับหรอกค่ะ มินเองก็อยากอยู่...คุยกับพี่กายมากกว่า” แม้พูดแบบนั้นทว่าเธอกลับขยับห่างจากคนที่นั่งอยู่บนที่เท้าแขนอีกนิด แต่มีหรือที่เขาจะสะทกสะท้าน ชายหนุ่มคิดว่าเธอขยับให้เขานั่งก็สิ้นเรื่อง
คนตรงหน้าหน้าตาดี หากแต่ไม่ได้ทำให้ร่างกายเย็นเฉียบของมินตราเร่าร้อนขึ้นสักนิด
“น้องมินเรียนอยู่สาขาไหน คงไม่ใช่วิศวะหรอกใช่ไหม”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะคะ”
“สวยขนาดนี้ถ้าเดินในคณะพี่ก็ต้องเคยเห็นสิ คงไม่ปล่อยให้รอดจนถึงวันนี้หรอก” ปลายนิ้วแตะเข้าที่เอวอย่างจาบจ้วงก่อนจะบีบเบา ๆ
ริมฝีปากที่กำลังก้มจิบพันช์สีสวยในแก้ว เม้มแน่นอย่างไม่ชอบใจก่อนจะขยับยิ้มหวาน
“แล้วพี่กายคิดว่ามินเรียนคณะไหนถึงจะเหมาะกับมินคะ”
“ถ้าทายถูกจะได้จูบรึเปล่า”
“ก็อาจจะ...เอ๊ะ!...”
ชายหนุ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกนิดจนแทบจะจูบเธอ แต่ยอมถอยออกไป ดวงตากลมโตที่มองเขาตอนนี้ไม่มีท่าทีของความหวาดกลัว มีแต่พร้อมจะเล่นกับไฟ ปลายนิ้วชี้ของเธอแตะที่อกข้างซ้ายที่ยอดนมของเขาพอดิบพอดี ยิ่งทำให้ชายหนุ่มอยากได้เธอมากขึ้นไปอีก
“บริหาร...” เขาโน้มเข้าใกล้อีก
เธอก็ขยับห่างออกอีกหน่อย
“ไม่ใช่ค่ะ”
“บัญชี การตลาด การโรงแรม หรือว่าครุ...”
“ก็ยังไม่ใช่อยู่ดีค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ เพียงแค่เสี้ยววิมือที่ถือแก้วพันช์ก็กำแน่น เมื่อคนตรงหน้าจู่โจมกดจูบเร่าร้อนลงที่ริมฝีปากของมินตราโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาเบียดเข้ามาชิดแล้วเคล้าคลึงริมฝีปากที่อ้ากว้างเพราะความตกใจ กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งทั่วริมฝีปากด้วยความจาบจ้วงและหยาบคาย คลุกเคล้าลิ้นร้อนจนเธอหอบหายใจ ลูบไล้ฝ่ามือหนาไปทั่วสรรพางค์ร่างบีบเคล้นจนเธอสั่นระริกไม่อาจต้านแรงชายหนุ่มตรงหน้าได้แม้แต่น้อย กว่าจะถอนตัวออกไปมินตราก็แทบจะหมดแรงต้าน
ร่างกายเธอมัน...
“อื้อ...”
“พี่ทายไม่ถูกก็ไม่เป็นไร แต่พี่เรียนอยู่โยธายังไงมินก็ทายถูกอยู่แล้ว พี่เลยให้รางวัล”
ชายหนุ่มกดจูบลงอีกครั้ง แต่กลับไม่สังเกตเลยว่าใบหน้าหวานเปลี่ยนเป็นคล้ำลง ดวงตาเหม่อลอยไม่มีสติสักนิดเมื่อคิดถึงคนที่เรียนสาขาวิศวกรรมโยธาที่เธอรู้จัก
ก่อนเรียวปากที่ถูกบดจูบจะพึมพำออกมา เมื่อผู้ชายที่เพิ่งคิดถึงปรากฏตรงหน้าและกำลังยกแก้วทักทายเธอ
“ขุน...”
“ไง” คำทักทายของเขาเบาหากแต่มินตรากลับรู้สึกว่ามันดังกลบเสียงดนตรีจนหมด
“ใครเหรอมิน”
เสียงบีตของดนตรีรุนแรงรุกเร้ามากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่หัวใจของเธอกำลังเต้นระรัวรึเปล่า ปลายนิ้วเล็กเกาะโซฟาแน่น เธอขยับตัวออกห่างจากคนข้างกาย เสแสร้งปั้นยิ้มทักทายราวกับคนไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น
ขุนพลเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ผ่านมาในชีวิตเธอ
ก็แค่...ผู้ชายทั่วไป
แต่ทำไมถึงมักโผล่มาช่วยตอนเธอเดือดร้อนเสมอนะ นั่นมันทำให้เธอรู้สึกดีกับเขามากกว่าคนที่ผ่านมานอนด้วยกัน
“อยากให้ช่วยไหม ดูเหมือนเธอจะอึดอัดนิดหน่อยนะ”
ขนอ่อนที่ท้ายทอยของมินตราลุกเกรียวเมื่อหูข้างซ้ายถูกกระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เธอไม่รู้ว่าตัวเองเหม่อลอยจนอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เธอตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาก้มลงแนบแก้วเย็นเฉียบเข้าที่แก้มของเธอ เท่านั้นเซลล์ประสาทในร่างกายก็พากันตื่นตัวสั่นระริก
“พี่กายนี่ขุนเพื่อนมินเองค่ะ เพื่อนมินมาแล้ว คงคุยกับพี่กายต่อไม่ได้แล้วละค่ะ”
“อะไรวะ!” สีหน้าไม่พอใจแทบแสดงออกมาในทันที
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนหยามจนตัวเย็น เขามองชายหนุ่มผมสีเข้มที่เลิกคิ้วให้อย่างไม่พอใจ แม้จะคุ้นหน้าไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นหนึ่งในน้องสาขา ความมืดสลัวทำให้มองผ่านไป
อาการเสียหน้าหากแต่ไม่ต้องการที่จะตอแยให้แพ้หนักกว่าเดิม เขาเลยลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งสบถคำหยาบคายใส่หญิงสาวอย่างไม่ไว้หน้า
“กูก็ไม่อยากได้นักหรอกร่านฉิบหาย!”
สิ้นเสียงนั้นเสียงหัวเราะแผ่วก็หลุดออกจากปากของมินตรา ขุนพลเหลือบมองเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวเหยียดยิ้มสดใส ปฏิกิริยานั้นอยู่ในสายตาขุนพลทั้งหมด เขาไม่ได้ใจร้อนหากแต่เสียงเข้มไร้ความเคารพตามที่ควรจะเป็นกลับเรียกรุ่นพี่เอาไว้
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิวะ”
ก่อนจะใช้ปลายเท้าเขี่ยแก้วเหล้าที่ดูท่าไม่ใช่ของหญิงสาว แล้วบอกด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “เอาแก้วมึงกลับไปด้วย ไหน ๆ ก็หมาแล้วเอาถาดข้าวมึงไปด้วย”
“ไอ้...กูรุ่นพี่มึงนะ”
“แล้ว...”
“พี่กายคะ!!! มินขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ อย่ามีเรื่องกันเลยค่ะ” หญิงสาวเรียกเขาไว้ก่อน เมื่อร่างสูงของคนทั้งสองทำท่าจะกระโจนเข้าหากัน เธอหันไปหยิกขุนพลด้วยความหมั่นไส้ในความกวนประสาท
“อย่าสิขุน”
“ดูมันดิรีบวิ่งหางจุกตูดไปเลย” ขุนพลแสยะยิ้มเมื่ออีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้นอกจากหงุดหงิด เพราะถ้าไม่อยากโดนโยนออกจากที่นี่ก็อย่าคิดเริ่มมีเรื่องเด็ดขาด
หลังจากมองตามร่างสูงจนลับตา เขาหันมาสบดวงตากลมที่จ้องมองตัวเองอยู่ แววตาใสซื่อแต่พาให้เร่าร้อนยามสบตา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ปลายเท้าของขุนพลเริ่มสืบเข้าหาเธอทีละก้าว
เมื่อเธอทรุดตัวนั่งเขาก็นั่งตามเธอ
หากแต่ดวงตายังตรึงไว้ที่ใบหน้าเธอไม่ยอมให้หญิงสาวได้หลบตา
มินตรามองเขาอย่างไม่เข้าใจ หากแต่รู้สึกถึงความหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ
“ขุนมักจะมาช่วยเราเสมอเลยเนาะ คืนนี้เราเลี้ยงเหล้าแล้วกัน...แต่ทำไมมองแบบนั้น” ปลายเสียงของหญิงสาวสั่นเล็กน้อย เมื่อใบหน้าของขุนพลใกล้เข้ามาทุกที
“ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธเธอ แล้วก็โกรธไม่ลงด้วย ไม่รู้ทำไม...”