EP 10

1149 Words
“เฮ้อ! ถ้าพวกเราแพ้จริงๆ และต้องปิดตลาดจริงๆ ก็คงจะเสียดายแย่น้อ ผู้คนที่เคยมาเที่ยวมาซื้อของหนาตาขึ้นกว่าเมื่อก่อน ก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว พวกพี่ก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรแล้วล่ะ เงินที่ขายร้านได้ก็เอาไปใช้หนี้สินหมดเกลี้ยง แทบไม่เหลือไว้ใช้เลย จะได้ไปหรืออยู่ก็ขึ้นกับน้าจรนี่ล่ะนะ” พิมพ์ภิษาไม่กล้าต่ออะไรอีก นอกจากกวาดลานหน้าร้านอย่างเดิม ส่วนมรนั้นก็เดินกลับไปจัดตู้ต่อ เพราะต้องเร่งทำก่อนตลาดเปิด วันธรรมดานั้นสายได้ แต่ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ลูกค้าจะมาเยอะและเป็นช่วงทำเงินของคนทั้งตลาด “พี่ไวน์! พวกเรามาแล้ว เอาโจ๊กหน้าตลาดมาฝากด้วย มากินก่อนสิจ๊ะ ที่เหลือเราทำเองจ้ะ” เสียงน้องสาวคนเล็กดังมาจากหลังร้าน ขณะจอดรถเครื่องคู่ใจเก่าแก่ที่น้องใช้ขับไปโรงเรียน สักพักก็มีเสียงปิ๊กอัพคันเก่า มีลัดดากับลูกคนกลางนั่งมา พิมพ์ภิษาไม่ได้สนใจกับถุงโจ๊กที่น้องวางไว้บนเคาน์เตอร์นัก เพราะอยากช่วยจัดข้าวของไว้สำหรับขายก่อน “ดี้ไปติดเตาเลยจ้ะ เดี๋ยวพี่จัดผลไม้เข้าตู้เอง” หน้าที่ขายน้ำปั่นนั้นเป็นของเธอ ส่วนน้องรับผิดชอบขนมจีบ ซาลาเปา ซึ่งจะต้องห่อไป นึ่งไป ขายไป จะได้สดๆ ร้อนๆ น่ากิน ส่วนของในร้านใครว่างก็จะช่วยกันขาย สายๆ ลัดดาก็จะมาช่วย แต่บางวันก็มาไม่ได้ เพราะต้องคอยดูแลขจรที่พักนี้ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่ “ไวน์ๆ เอาน้ำแตงโมปั่นให้ยายแก้วจ้า” ยายเข่งร้านข้างๆ ขายขนมขบเคี้ยวหาได้ยากยิ่งในสมัยนี้ตะโกนมาใส่ “ว๊าย! พี่ไวน์มีคนประเดิมแล้ว ดียิ้มหวานๆ สิ จะได้แบบพี่ไวน์บ้าง” น้องคนเล็กวุ่นกับการเช็ดขวดเหล้าไวน์อยู่ในร้าน ตะโกนมาหาพี่คนกลาง ที่วุ่นอยู่หน้าเตาและจัดตู้ให้สวยงาม สามพี่น้องแม้จะคนละแม่ หรือในความคิดของพิมพ์ภิษาอาจจะคนละพ่อด้วยนั้น ต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน ประหนึ่งเป็นพี่น้องคลานตามกันมาก็ไม่ปาน แถมร้านค้าข้างๆ ก็รักสามสาวไม่น้อย เพราะต่างมีน้ำใจคอยช่วยเรียกลูกค้า หรือคอยช่วยขายในเวลาที่ร้านของทั้งสามปลอดจากลูกค้า โดยเฉพาะยายเข่งจะรักพิมพ์ภิษาเป็นพิเศษ เพราะโต๊ะตั้งน้ำปั่นอยู่ฝั่งร้านยายพอดี เลยได้ช่วยทำนั่นนี่ให้เสมอๆ   รถแลนด์โรเวอร์ เอส ยู วี สปอร์ตสีขาว แล่นเข้าไปจอดใต้ต้นส้มโอท้ายสวน ลึกจากท่าน้ำหลายร้อยเมตร เพราะที่ดินส่วนจะสร้างเป็นโรงแรมได้โดยไม่มีปัญหากับชาวบ้านร้านตลาดนั้น เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าติดแม่น้ำมีเพียงสี่สิบเมตร เจ้าของโครงการเลยอยากจะขยายให้กว้างขึ้นอีก ด้วยการบอกเลิกสัญญาเช่ามาแล้วหลายเดือน แต่ไม่อาจเข้ามาทำงานได้ เพราะจะลงมือเอาจริงๆ เมื่อไหร่ ก็มักมีผู้คนมาประท้วงอยู่เรื่อย นั่นสร้างความรำคาญให้เจ้าของ และทีมงานไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีใครอยากใช้ความรุนแรง แม้จะสามารถทำได้ในพริบตา หากผู้มีอำนาจสั่งการลงมาทันทีก็ตามที “คุณเบียร์จะให้ทำยังไงต่อดีครับ” หัวหน้าสถาปนิกวัยห้าสิบหันไปถามเจ้านายหนุ่ม มีแว่นกันแดดยี่ห้อดังบดบังสายตาเอาไว้ แม้จะเป็นชายด้วยกัน แต่พอมองใบหน้าคมเข้มกับหุ่นสูงร้อยแปดสิบสองทีไร ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้สักที ว่าเจ้านายคนนี้ไม่หล่อ ไม่ดูดีเลย “เดินหน้าต่อเต็มสตีมเลย เราเอาความเจริญมาสู่ท้องถิ่น พวกพ่อค้าแม่ค้าไม่กี่คน จะมาขวางไว้ได้ไม่นานหรอก อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ดินเป็นของเรา จะทำอะไรยังไงก็ได้” น้ำเสียงอันทรงอำนาจนั้น สั่งออกไปโดยไม่ต้องคิดนาน นั่นทำให้สถาปนิกถึงกับคิ้วผู้โบว์ เพราะเป็นคนมาทำงานใกล้ชิดกับชาวบ้านร้านตลาด มากกว่าเจ้านายที่เพิ่งจะแหย่เท้าเข้ามานับครั้งได้ เลยไม่รู้ว่าจะไปต่อรองกับคนในตลาดยังไง “แล้วน้าขจรล่ะครับ เราจะทำยังไงดี” นี่ก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ยิ่งสำหรับสถาปนิกผู้ดูแลโครงการ แม้ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงจะต้องไปจัดการกับหัวโจก แต่ก็คงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ เพราะขจรยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ขายที่มาโดยตลอด “ผมกำลังส่งคนเจรจาฝีปากดีไปหา คิดว่าคงจะได้ผลในไม่ช้า” “แล้วถ้าไม่ล่ะครับ” คฑาธรหันกลับมาหาคนข้างๆ ที่ดูเหมือนจะกังวลกับอุปสรรคใหญ่ไม่น้อย เขาก้าวยาวๆ ผ่านต้นส้มโอต้นแล้วต้นเล่าอย่างรวดเร็ว จนมาหยุดยืนอยู่ลานกว้างหน้าแม่น้ำ มีโต๊ะพับสูงเท่าเข่า กางบนเสื่อทอผืนใหญ่ มีเบาะสี่เหลี่ยมวางไว้ มีลูกค้าหลายสิบคนนั่งกินอาหารอยู่อย่างเป็นสุขใจ ในยามบ่ายแก่ๆ กำลังแดดร่มลมตก “ไว้คอยดูก็แล้วกัน แต่พี่ปี๊บไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ถ้าผมจะทำก็ไม่มีใครมาขวางได้” เขาเดินอ้อมสนามไปยืนอยู่ท่าน้ำ ผู้คนมาเที่ยวตลาดหนาตาในวันหยุด ส่วนวันธรรมดาบอกได้คำเดียวว่า เกือบจะกลายเป็นตลาดร้างด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้ จะรอทำเงินแค่เสาร์อาทิตย์ทำไม สู้ไปหาทำเลค้าขายใหม่จะดีกว่า หรือไม่ก็เข้ามาจับจองพื้นที่ในโรงแรม ที่เขาจะจัดไว้ให้เช่าในราคากันเองก็น่าจะเข้าท่ากว่า “แล้วนี่คุณเบียร์จะไปไหนครับ” หนุ่มใหญ่ผู้กำม้วนกระดาษยาวในมือ หันไปถามเจ้านาย ที่ยืนหันหน้าไปหาตลาดชุมชนเก่าแก่ด้วยใบหน้าเจือยิ้มน้อยๆ ก่อนหันมาตอบ “ไปหาอะไรกินข้างในกันครับ ผมอยากรู้ว่ามีใครพูดอะไรถึงเรายังไงบ้าง” ว่าแล้วช่วงขายาวๆ ก็ก้าวฉับๆ ไปตามทางเดินเข้าเขตตลาด กินความยาวหน้าริมน้ำไปเป็นกิโลเมตร และเขาก็ต้องการเนื้อที่เพิ่มอีกเพียงร้อยกว่าเมตรเท่านั้น มันจะทำลายวิวทิวทัศน์หรือวิถีชาวบ้านอะไรนักหนา อีกทั้งตลาดอีกฟากก็ยังอยู่ครบ ไม่มีอะไรสูญหายไปเลยด้วยซ้ำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD