ใครมาช่วย!
ไม่มีใครช่วยทั้งนั้น ก็แค่ขับรถผ่านมา
คิดแบบนั้นแล้วชะงักไปครู่ ต่อให้ไม่มีใครมาเธอก็คิดว่าตนเองเอาตัวรอดได้ ไม่นานก็ขับรถมาจอดลงตรงหน้าบ้าน ใจที่กระหน่ำเต้นค่อยดีขึ้นเมื่อรู้ว่าแคล้วคลาดจากเหตุการณ์ไม่ปกติมาได้
จำไปจนวันตาย ต่อให้มีคนนอนจมกลางเลือดบนถนน เธอก็จะไม่ลงจากรถไปดูเด็ดขาด
ที่พ่อบอกเอาไว้นั่นจริงที่สุด
เดินเข้าบ้านมาพบว่าบิดานั่งรอเธออยู่ ท่านถามพร้อมรอยยิ้มอย่างคนใจดี "กลับมาแล้วหรือลูก"
เด็กสาวมองบิดาบนรถเข็นวีลแชร์ด้วยสายตาสะเทือนใจแล้วฝืนยิ้ม ถามท่านกลับ
"ค่ะ ทำไมพ่อยังไม่นอนอีกละคะ"
“ห่วงหนูน่ะสิ ดึกแล้วไม่เห็นกลับ นี่ว่าจะให้ไอ้แมนไปดูที่ร้านสิ ทำไมกลับดึกนัก”
“เลี้ยงส่งกันน่ะค่ะ กินไปคุยไปดูเวลาอีกทีก็เที่ยงคืนแล้ว แหม...พ่อคะเดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้วนี่นา แอลร้องไห้ด้วยนะคะตอนแยกกันกลับบ้าน ทำยังกับจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นน่ะ”
คนเป็นพ่อฟังลูกเล่าจบ ถามเสียงขรึม
"พ่อขอโทษนะที่ทำให้ลูกไม่ได้เรียนต่อ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรียนน่ะเรียนเมื่อไรตอนไหนก็ได้"
"พ่อเสียดายอนาคตของหนู"
"แต่ข้าวอยากช่วยพ่อนี่คะ"
"จริงๆแล้วพ่อก็มีไอ้แมนคอยช่วยอยู่ ไหนจะตาฉุย ยายหวลอีกคน คนของเราเยอะแยะไป ลูกไม่น่ามาลำบากด้วยเลย"
"นั่นคนงาน จะเหมือนลูกในไส้แบบข้าวได้ยังไงกันคะ"
สงวนถอนหายใจแล้วยิ้มอบอุ่นส่งให้ เด็กสาวเข้ามาคุกเข่าลงกับพื้น โอบรอบเอวบิดา แหงนหน้าบอกท่าน
"ข้าวรักพ่อนะคะ ไม่อยากให้พ่อทำงานหนักอีกแล้ว ต่อไปนี้ข้าวจะทำงานแทนพ่อทุก...อย่างเลยค่ะ" ลากเสียงจนคนเป็นพ่อได้ยินแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ สงวนยกมือขึ้นลูบศรีษะบุตรี ตอบกลับด้วยท่าทีอ่อนโยนแบบทุกครั้ง "ลูกรักของพ่อ"
คุยกันอีกครู่ค่อยพาท่านที่ไม่ยอมพักห้องข้างล่าง เดินเกาะขึ้นบันไดบ้านไปยังชั้นสอง กลับเข้าห้องพักแล้วเดินไปยังห้องของตนเองจากนั้น ขวัญข้าวจัดแจงอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย ลืมเรื่องราวก่อนหน้าไปสิ้น ตื่นแต่เช้าได้อย่างสดชื่นเหมือนอย่างเคย ค่อยออกไปดูคนงานในไร่ วันนี้รถไถที่สงวนติดต่อเอาไว้จะมาไถที่ตรงบริเวณปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เด็กสาวในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวพร้อมหมวกเดินสั่งคนงานเสียงใสแจ๋ว ตะโกนถามตอบกันกับคนงานครู่ใหญ่ค่อยแว่วเสียงเรียกชื่อของเธอดังมาจากทางรั้วกั้นนั่น
"น้องข้าวคะ"
หันขวับไปมอง พอว่าเป็นธนดลจึงส่งยิ้มให้ หนุ่มผิวขาวสะอาดผิดจากคนทำไร่ทั่วไป เข้ามายืนข้างรั้วลวดหนามถามอย่างต้องการชวนคุยมากกว่าจะอยากรู้จริงๆ
"สรุปจะไม่เรียนต่อ เอาจริงหรือคะ"
เด็กสาวตอบรับสั้นๆเท่านั้น "ค่ะ"
ธนดลว่าแต่ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม "น่าเสียดายเนอะ แต่ก็ดี เหมือนกันถ้าน้องข้าวจะไม่ไปเรียนต่อ"
คราวนี้เด็กสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย "ดียังไงคะ"
"พี่ก็จะได้แวะมาหาน้องข้าวได้บ่อยๆไงคะ"
อีกฝ่ายเริ่มออกอาการเกี้ยวใส่เด็กสาวขึ้นมาแล้ว แต่ขวัญข้าวหาได้มีอาการขวยเขินแต่อย่างใด ยังไม่ทันได้ออกปากอะไรต่อ พลันแว่วเสียงรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อตรงมาที่ทั้งคู่ยืนสนทนากันอยู่
เด็กสาวหันไปมองพบว่าเป็นคันเดียวกับเมื่อคืนนี้ที่มาช่วย ไม่ใช่สิ แค่บังเอิญผ่านมาตอนที่เธอคุยอยู่กับดามเท่านั้น คนขับที่ด้านหลังพวงมาลัยมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาปรายตามองเธอหน่อยเดียว แต่เพียงแค่หน่อยเดียวนั่นก็ทำเอาหัวใจเด็กสาวไหววูบเหมือนเปลวเทียนถูกลมพัดอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ประกายตาคมกล้าของเขาร้ายกาจนัก
นี่เองที่ทำเอาสาวน้อยใหญ่ในจังหวัดต่างพากันกล่าวถึงอย่างหนาหูว่าอยากครอบครองชายหนุ่มอย่างธนากร แม้แต่ธิดารัตน์ เพื่อนของเธอที่ไม่ค่อยสนใจใคร นั่นยังพูดถึงเขาทำนองชื่นชมอยู่เลย
เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นกับธนดล
"เห็นคนงานที่ท้ายสวนบอกว่ารถตัดอ้อยพัง ไปดูมาหรือยังดล"
ธนดลหน้าซีดเผือด ก่อนตอบรับแผ่วเบา "ยังครับพี่กร” แล้วกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกหันไปทางหญิงที่ตนเองมีใจบอกเสียงอ่อย
“พี่ไปก่อนนะคะน้องข้าว"
ขวัญข้าวยิ้มหวานให้ธนดล มองตามหลังชายหนุ่มไป โดยไม่ได้ใส่ใจชายอีกคนที่กำลังมองมาที่เธอ
ธนากรติดจะเป็นคนพูดน้อย เวลาเขานิ่ง รังสีน่าเกรงขามนั่นแผ่ออกมาจากตัวมากเสียจนราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเขาหดตัวลงเหลือเพียงอณูเล็กๆเท่านั้น
เด็กสาวเลื่อนสายตาขึ้นมองเขาบอกตัวเองว่าไม่ต้องไปกลัวเกรงคนพวกนั้น
“คราวหลังไปไหนมาไหนกลางคืน ไม่จำเป็นอย่าลงจากรถอีก เพราะคราวหน้าอาจไม่มีใครผ่านไปเส้นนั้นคอยช่วยเรา”
ใครมาช่วยเธอ เขาก็แค่ผ่านมาเท่านั้น
และคนอย่างนี้มีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนเธอ
ในใจของเด็กสาวคิดอย่างเดือดดาล แต่สิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกไปให้อีกฝ่ายคือยิ้มและพยักหน้าตอบรับเขาเท่านั้น ธนากรมองค้นเข้าไปในดวงตาของขวัญข้าวครู่เดียวจึงจากไป
นางหวลคนที่เลี้ยงดูขวัญข้าวมาตั้งแต่มารดาของเธอเสียและเป็นคนรับใช้คนสนิทของบิดาเข้ามายืนขนาบข้างหลังจากที่อีกฝ่ายลับไปแล้ว
“ท่าทางคนน้องนั่น จะชอบคุณหนูนะคะ” ว่าจบลอบมองเสี้ยวหน้าเด็กสาวแล้วบอกต่อ “แต่หวลว่า... คนพี่น่าสนใจกว่าแยะค่ะ นายธนากรมีอำนาจเต็มสองมือ บารมีก็มากที่สุดในไร่พืชวิวัฒน์พัฒนะการกุลด้วย”