ช่วงเย็นคุณหมอแสนดีกลับมาถึงบ้านก็มาปรึกษาพ่อกำนันว่ามีทางผู้ใหญ่อยากให้เธอประกวดนางงามระดับจังหวัด
“ผู้ใหญ่นี่มันเป็นใครวะเอ็งรู้มั้ย”
“น่าจะภรรยาท่านผู้ว่าจ้ะพ่อ แต่เอาจริงหนูไม่อยากประกวดหรอกนะไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ไม่กล้าปฏิเสธอาจารย์หมอพ่อไปคุยให้ทีสิจ้ะ”
“ก็ถ้าเมียผู้ว่าท่านอยากให้เอ็งประกวดก็ลงสิวะ ไหนบอกพ่อว่าไม่มีชุดว่ายน้ำไงถ้างั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั่ง”
พ่อกำนันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ที่เขาไม่เคยให้ลูกสาวลงประกวดเพราะว่ามันต้องแต่งตัวโป๊โชว์เนื้อหนัง ซึ่งถ้าไม่มีก็ไม่ว่าอะไร
“พ่ออ่ะทีงี้ไม่หวงลูกเลย”
“เอ็งอ่ะโตแล้วอีกอย่างเค้าให้แต่งเรียบร้อยเดินสวยๆแค่นั้น เพราะฉะนั้นก็ทำไปเถอะเป็นหน้าเป็นตาแก่อำเภอเราด้วย แต่ถ้ามีให้ใส่ชุดโป๊เมื่อไหร่เอ็งต้องลาออกทันทีเลยนะโว้ย ข้าไม่ให้เอ็งใส่แน่นอน”
พ่อกำนันเอ่ยออกมาเสียงจริงจัง คุณหมอแสนดีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจก่อนจะตัดสินใจว่าจะลงประกวดตามที่ทุกคนร้องขอ จากนั้นเธอก็กลับไปที่ห้องนอนหยิบโทรศัพท์มากดโทรไปหาชายหนุ่มทันทีเพื่อบอกข่าวเกี่ยวกับการลงประกวดของเธอ
(ว่าไงคะคุณหมอคนสวย คิดถึงพี่ล่ะสิ)
“แสนดีแค่จะบอกว่าพ่อกำนันอนุญาตให้ประกวดนางงามของจังหวัดแล้วค่ะ”
(อะไรนะ! ทำไมพ่อกำนันยอมง่ายขนาดนั้นอ่ะ พี่ไม่ยอมนะห้ามประกวดเด็ดขาด)
“ไม่ได้หรอกค่ะแสนดีต้องทำเพราะมีคนขอมา ยิ่งเป็นอาจารย์หมอด้วยยังไงแสนดีปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะ แต่พ่อกำนันบอกว่าถ้าได้ใส่ชุดโป๊เปลือยมีโชว์เนื้อหนังให้ลาออกจากการประกวดทันทีจ้ะ”
สารวัตรภาคินได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าพ่อกำนันจะไม่หวงลูกสาวอย่างที่ปากพูดซะแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยังพอรับไหวเพราะฉะนั้นเขาจะไปเฝ้าไม่ให้คาดสายตาเลย
(ก็ได้พี่ยอมก็ได้ แต่ว่าตอนแข่งพี่จะไปเฝ้าเผื่อว่าพวกหนุ่มๆที่ไหนมาใกล้พี่จะจัดการให้หมดเลย คิดถึงจังเลยค่ะทำอะไรอยู่นะ)
เขาเอ่ยออกมาก่อนจะเอ่ยเสียงออดอ้อนหญิงสาวต่อ เธอยิ้มกว้างออกมาก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน
“คุยโทรศัพท์กับพี่ภาคินค่ะ”
(คิดถึงกันบ้างมั้ย พี่คิดถึงแสนดีจะแย่ไม่ได้เจอกันแค่แป๊บเดียวใจพี่จะขาดแล้ว)
“เพิ่งแยกกันไม่นานนี่เองแสนดีไม่เชื่อหรอกค่ะ วางก่อนนะคะจะไปช่วยแม่ทำกับข้าว เจอกันค่ะ”
เธอยิ้มออกมาก่อนจะกดวางสายทันที เพราะถ้าเขาหยอดอะไรขึ้นมาอีกเดี๋ยวเธอจะเขินอายไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เอาเถอะหยอดวันละนิดเท่านั้นก็พอเพราะดูท่าทางหญิงสาวน่าจะมีใจอยู่ไม่น้อย
‘ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้เขาเข้าหามากขนาดนี้ ถือว่าเป็นคนที่มีโอกาสสูงแหละ…’
ช่วงค่ำสารวัตรภาคินและผู้กองแสนรักนัดเจอกันที่หน้าทางเข้าอุทยานโดยมีหัวหน้าจัดเตรียมอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้
“ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลยิงพลุนะครับ ทางเราจะส่งเจ้าหน้าที่ติดตามไป”
“ได้ครับยังไงพักผ่อนเถอะ ผมว่าเอาอยู่ผู้กองเค้าน่าจะเชี่ยวชาญป่าพอสมควร ยังไงผมจะติดต่อไปนะครับ”
“ได้เลยครับยังไงผมจะสแตนบายรอ”
ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันก่อนจะพากันขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในป่าจนสุดทาง จากนั้นก็จอดรถทิ้งไว้ใต้ต้นไม้เปิดไฟฉายเดินเท้าเปล่าต่อไปด้วยกันอีกเป็นกิโล ตลอดทางทั้งสองคนก็บันทึกพิกัดทางเดินไว้และทำสัญลักษณ์ไปด้วย
“นายว่าเรามาถูกทางมั้ย”
สารวัตรภาคินหยิบแผนที่มาลองเปิดดู แต่ดูจากพอกัดที่บันทึกไว้ก็น่าจะมาถูกทางนะ ผู้กองแสนรักหันไปมองโดยรอบก่อนจะจำได้ว่าต้องเดินเลาะลำธารขึ้นไปอีก
“น่าจะเดินเลาะทางนี้ไปนะ อีกเกือบกิโลถ้ามาถูกต้องจะเจอต้นไม้พะยูงต้นใหญ่เก่าแก่ที่สุดในอุทยาน”
“งั้นลองไปดู”
ทั้งสองคนเดินทางไปตามทางที่คิดว่าถูกต้องเดินไปบันทึกข้อมูลไปจนในที่สุดก็เจอต้นไม้พะยูงอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีซึ่งทั้งสองคนหันไปมองกันอย่างดีใจก่อนจะถ่ายรูปบันทึกภาพไว้แล้วช่วยกันดูแผนที่อีกครั้ง
“อันนี้ฉันว่าต้องไปทางขวา”
“แป๊บนะเหมือนฉันได้ยินเสียง…”
สารวัตรภาคินเงียบไปก่อนจะพยายามฟังเสียงอย่างตั้งใจ เขาหันไปมองหน้าเพื่อนก่อนจะพยักหน้าแล้วพากันเดินไปทางซ้ายซึ่งใช้เวลานานพอสมควร
“เสียงเริ่มชัดขึ้นนะ แยกกันไปดีมั้ย”
“ดีิเดี๋ยวฉันไปทางขวา นายไปซ้ายแล้วกัน”
“โอเคได้!”
ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปคนละทาง ผู้กองแสนรักเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อตอนนี้พวกมันกำลังตัดไม้กันอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มากดบันทึกภาพเอาไว้โดยรอบ แสดงว่าพวกมันค่อนข้างที่จะเข้ามาลึกมากจนเจ้าหน้าที่ไม่คิดว่าจะเจอ
“ได้หลักฐานชิ้นดีเลย แต่ว่ายังไงก็ไม่รู้ตัวการ”
ทางด้านของสารวัตรภาคินเขาเดินวนไปทางซ้ายเห็นเหมือนเป็นโกดังอะไรบางอย่างก็วิ่งเข้าไปดู และแน่นอนว่ามีต้นไม้ผิดกฎหมายเยอะมากที่เพิ่งตัดมากำลังรอส่งออกชายแดน เขารีบวิ่งไปหาที่หลบเพราะดูเหมือนว่ามีคนเข้ามาข้างใน
“พวกเอ็งเตรียมขนขึ้นรถเลยนะเว้ย คืนนี้จะส่งไปชายแดน รับรองว่าพวกตำรวจมันไม่รู้ทันเราหรอก โง่จะตายก็แค่ปล่อยข่าวว่าจะส่งอีกสองวันมันก็เชื่อแล้วล่ะ ฮ่าๆ”
“ไปทางใหม่ใช่มั้ยพี่”
“เออสิวะ ทางมันอาจจะลาดชันหน่อยพวกเอ็งต้องขับให้ดีและต้องทำเวลาด้วย”
“ได้ครับลูกพี่”
สารวัตรภาคินมองพวกนั้นก่อนจะเงียบไปอย่างคิดหนัก นี่พวกมันจะขนส่งกันในคืนนี้ซึ่งตามที่ได้รับรายงานมามันคืออีกสองวันข้างหน้า
“โดนปั่นหัวแล้วไง เอาไงดี”
เขาหลบอยู่นานจนแน่ใจว่าพวกมันออกไปกันแล้วก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกและประจวบเหมาะกับผู้กองแสนดีเดินมาเจอกันพอดี
“พวกมันกำลังตัดไม้พะยูงอยู่อีกฝั่ง”
“มันจะส่งของคืนนี้ เราถูกมันปั่นหัวแล้ว”
ทั้งสองคนทำหน้าอย่างกังวล เพราะถ้าต้นไม้ล็อตนี้หลุดไปน่าจะเสียหายหลายล้านบาท และถ้ายังปล่อยให้พวกมันตัดอยู่เรื่อยๆแบบนี้อุทยานได้กลายเป็นป่าร้างแน่
“เอาไงดีสารวัตร… เรากลับไปไม่ทันแน่นอน”
เขาเงียบไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อคิดอะไรดีๆออก
“แก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อนแล้วกัน..”
“ยังไง…”