เดือนเดินออกจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าคลายกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นยังไงบ้าง” ผมถามอย่างกระตือรือร้น ป้าแหวนที่ยืนข้างๆ ก็พยักหน้ารอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ไส้ติ่งค่ะ เดี๋ยวจะย้ายไปห้องผ่าตัด”
เดือนพูดยังไม่ทันขาดคำ เตียงแม่ก็ถูกเข็นออกมา เดือนกับป้าแหวนจับมือกันเดินตามไปทันที ผมเดินตามสองคนนั้นไปติดๆ อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังกลับไปมองไอ้ไนท์ มันมองมาทางผมพอดี
“....” ผมสบสายตากับมันอย่างไม่ตั้งใจ เบือนหน้ากลับมาแทบจะทันที แต่สายตากลัดกลุ้มปนทุกข์ของไอ้ไนท์ยังตราตรึงอยู่ในใจ นึกถึงทีไรใจผมมันก็หวิวตลอด
การผ่าตัดไส้ติ่งของแม่ผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่มีอาการแทรกซ้อน หลังผ่าตัดเสร็จก็ถูกย้ายมาที่ห้องพักฟื้นเพื่อติดตามอาการหลังผ่าตัดอีกที ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่กี่วันก็กลับบ้านได้
ผมให้เดือนกลับบ้านแล้วอาสาอยู่เฝ้าแม่เป็นเพื่อนป้าแหวน แต่ความจริงอาการของแม่ไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น มีแค่ป้าแหวนเฝ้าคนเดียวก็เพียงพอ เดือนมองผมด้วยสายตาคัดค้านแถมยังไล่ให้ผมกลับบ้านไปอาบน้ำด้วยซ้ำ แต่ผมยืนกรานที่จะอยู่ เดือนเลยขี้เกียจพูด ปล่อยผมทำตามที่อยากแล้วตัวเองก็กลับไปพักผ่อนที่บ้าน
“คุณวันไม่ต้องอยู่ก็ได้นะคะ เดี๋ยวป้าดูแลคุณผู้หญิงเอง”
คล้อยหลังเดือนไปแล้วป้าแหวนก็พูดขึ้นมาด้วยความหวังดี คงเห็นด้วยกับเดือนที่บอกให้ผมกลับบ้านไปอาบน้ำพักผ่อน
“ผมจะลงไปหาอะไรกินข้างล่าง ป้าเอาอะไรไหม” ผมไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้ของป้าแหวน
“ไม่เอาค่ะ ในตู้เย็นก็มีของกิน”
“งั้นระหว่างที่ผมอยู่ข้างนอกถ้าป้านึกออกว่าอยากได้อะไรก็โทรหาผมแล้วกัน”
“ได้ค่ะ คุณวันกลับไปกินข้าวที่บ้านก็ได้นะคะ”
“นี่ใจคอจะไล่ผมกลับบ้านอย่างเดียวเลย”
“เปล่าค่ะ ป้าได้ยินว่าคุณวันช่วยดูแลร้านอาหารให้คุณผู้หญิงด้วย คงจะเหนื่อย ป้าแค่อยากให้คุณวันได้พักผ่อน”
“แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับป้า งั้นผมไปก่อนนะ”
ผมยิ้มอย่างเข้าใจความคิดของป้าแหวนก่อนเดินออกมา
ปากก็บอกว่าจะมาหาของกิน แต่พอลงลิฟต์มาที่ชั้นล่างผมก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาเลื่อนหาชื่อไอ้ไนท์ก่อนกดเข้าไปในห้องแชต
ผมกำลังจะพิมพ์แต่ก็ชะงักกลางคันเพราะไม่รู้จะพิมพ์คำว่าอะไร เริ่มไม่แน่ใจว่าควรทักมันไปดีหรือเปล่า นึกถึงครั้งล่าสุดที่เจอกับมันก็ใช่ว่าจะจากกันด้วยดี มันทั้งกัดทั้งต่อยผมแล้วทำไมผมต้องไปห่วงมันด้วย
โธ่โว้ย! ผมยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างไม่สบอารมณ์ เดินออกจากตึก ลัดเลาะไปตามทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างตึกของโรงพยาบาล ก่อนจะเจอร้านกาแฟเล็กๆ ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลไม่ต้องเดินไปไหนไกล ผมแวะเข้าไปโดยไม่เสียเวลาคิด แค่อยากหาอะไรดื่มเพิ่มความสดชื่นและกะว่าจะซื้อไปฝากป้าแหวนสักแก้วด้วย ทันทีที่เข้ามาข้างใน สายตาผมก็ปะทะเข้ากับร่างสูงที่นั่งหันหลังให้ประตูก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแค่เห็นหลังผมก็รู้ทันทีว่าเป็นไอ้ไนท์ หัวใจผมกระตุกอย่างไม่มีสาเหตุ ผมแทบจะยั้งเท้ากลางอากาศแต่ไม่ทัน ได้แต่ชะลอฝีเท้าลงชั่วขณะหนึ่งเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ใบหน้าเรียบเฉย
“รับอะไรดีคะ” พนักงานเอ่ยถามเสียงหวาน ผมมองเมนูที่วางอยู่ ไม่รู้ว่าป้าแหวนชอบกินอะไร ก่อนจะเหลือบเห็นโปรเครื่องดื่มร้อนสองแถมหนึ่ง เอามือจิ้มแบบไม่ต้องคิด
“เอาโปรนี้ครับ”
“ชาน้ำผึ้งมะนาวร้อนนะคะ”
“ครับ”
ไอ้ไนท์หันมาเพราะได้ยินเสียงผม ร้านไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าเป็นคนประสาทสัมผัสไวก็จะรับรู้การเคลื่อนไหวได้ทันที ผมเตรียมใจเผชิญหน้ากับมันตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาในร้านแล้วเลยยังรักษาความสงบบนใบหน้าเอาไว้ได้ เดินมานั่งลงข้างๆ มัน
“....” ไอ้ไนท์หันมามองอย่างแปลกใจ แววตามันเต็มไปด้วยความสับสนปนสงสัย
“กูเห็นมึงหน้าห้องฉุกเฉิน... ใครเป็นอะไรเหรอ”
มันเงียบ ครู่หนึ่งถึงตอบ “พ่อกูเอง วูบตอนจะไปเข้าห้องน้ำ โชคดีที่อาอยู่ใกล้ๆ ไม่งั้นป่านนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”
ผมอึ้งเล็กน้อยแต่ก็พอเดาความสัมพันธ์ของมันกับคนบนเตียงออกเพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้น ผมจ้องใบหน้าหดหู่ของไอ้ไนท์แล้วก็พลอยเครียดไปกับมันด้วย
“ไม่เป็นแล้วล่ะ ถึงมือหมอแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น” ผมพูดดีสุดได้เท่านี้ แต่ก็กลัวว่าจะดีไม่พอจึงยื่นมือไปแตะบ่ามันเบาๆ
“....” ไอ้ไนท์ชำเลืองมองมือผมด้วยสายตาคลุมเครือ
ผมชักมือกลับ จ้องมองแก้วชาน้ำผึ้งมะนาวร้อนตรงหน้านิ่ง แปลกดีเหมือนกันผมอุตส่าห์ห้ามใจไม่ส่งข้อความหามันแต่กลับมานั่งปลอบใจมันอยู่ข้างๆ ถึงจะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นี่เรียกว่าปลอบใจได้หรือเปล่าก็เถอะ
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น” หลังจากเงียบกันไปนาน จู่ๆ ไอ้ไนท์ก็พูดขึ้นมาเสียงเบาแต่เหมือนมันพึมพำกับตัวเองมากกว่า ผมหันไปมอง เห็นมันทำหน้าอมทุกข์ไม่เลิกก็เลื่อนแก้วชาน้ำผึ้งมะนาวร้อนไปให้มัน
“....” ไอ้ไนท์ชำเลืองมองด้วยสายตาเป็นคำถาม ตรงหน้ามันมีกาแฟดำที่ยังดื่มไม่ถึงครึ่งวางอยู่
“กูเลี้ยง จะได้อารมณ์ดี”
“....”
“กูไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือเปล่า แต่ถึงมึงเครียดอยู่แบบนี้ก็ไม่ช่วยให้พ่อมึงอาการดีขึ้นมาหรอก”
“ที่เขาไม่สบาย บางทีอาจจะเป็นเพราะกูก็ได้”
ทำไมมึงพูดแบบนั้นวะ ผมอยากเอ่ยประโยคนั้นออกไปแต่เห็นสีหน้าจริงจังแบบเข้มข้นของมันแล้วก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอ จากท่าทางของไอ้ไนท์เรื่องในครอบครัวมันคงจะซับซ้อนกว่าที่คิด ผมมันคนนอก ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้แค่ปลอบใจมันเบาๆ
“มึงอย่าคิดมากสิวะ”
ผมเอ่ยเบาๆ แต่ไอ้ไนท์ก็ยังจมอยู่ในความคิดตัวเอง
“กูเพิ่งรู้จากน้องชายไม่นานว่าเขาป่วยหนัก จากโรคที่เป็นน่าจะเป็นมาก่อนที่จะเจออาการ กูก็ไม่อยากโทษตัวเองหรอกแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ากูเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาป่วย”
“พ่อมึงป่วยเป็นอะไร”
“เนื้องอกในสมอง”
ผมอึ้งไปชั่วขณะ ยอมรับว่าตกใจถ้าโรคนี้เกิดกับพ่อแม่ผม ผมก็เครียดเหมือนกัน
“แล้วอะไรทำให้มึงคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้พ่อมึงป่วย”
ผมพูดออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง ไอ้ไนท์มองผมด้วยสายตาที่บอกว่าผมเองก็รู้ ...แต่โทษทีผมไม่รู้จริงๆ
มึงพูดมาเถอะอย่าให้กูเดาเลย
“สมัยเรียนกูเคยทะเลาะกับพ่อเพราะสิ่งที่กูเป็น”
ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงโทษตัวเอง
“พ่อกูไม่ยอมรับ ไล่กูออกจากบ้าน แถมยังไม่ให้กูใช้นามสกุลด้วยอีก ตอนนั้นกูไม่ได้แคร์อะไร สนแค่ความสุขของตัวเอง ไล่กู กูก็ไปแค่นั้น กูไม่เข้าใจเลยว่ะ ทั้งที่กูคิดว่าตัดขาดกับเขาแล้วทำไมกูยังต้องมานั่งรู้สึกผิดอยู่แบบนี้ด้วยวะ”
ไอ้ไนท์ร่ายยาวเหยียดเหมือนอัดอั้นตันใจมานาน ผมจับต้นแขนมันแล้วบีบเบาๆ อย่างปลอบใจ การถูกครอบครัวปฏิเสธคงเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก
“มึงใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมาก ลองจิบชาน้ำผึ้งมะนาวดูอร่อยนะ”
ผมยกแก้วชาน้ำผึ้งมะนาวขึ้นจากพื้นโต๊ะส่งให้ไอ้ไนท์เพราะมันไม่ยอมยกแก้วขึ้นดื่มเองสักที คิ้วเรียวเข้มขมวดเล็กน้อย มองแก้วที่ผมประเคนให้ด้วยสายตาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับไปดื่มโดยไม่พูดอะไร
ผมรอให้มันซึมซับรสชาติสักพักก็เอ่ยขึ้น “เป็นไง อร่อยไหม”
“อืม” ตอบแบบไร้อารมณ์สุดขีด ไอ้ไนท์วางแก้วลงด้วยสีหน้านิ่งๆ มันมองแก้วอีกสองใบตรงหน้าผม “โปรสองแถมหนึ่ง?”
“ใช่ ไม่รู้จะสั่งอะไร ก็เลยเอาเมนูโปรโมชั่นนี่แหละ”
“มัวแต่คุยเรื่องกู แล้วมึงล่ะเกิดอะไรขึ้น ทำไมมาอยู่นี่”
“แม่กูผ่าไส้ติ่ง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้พักฟื้นอยู่ ไม่เป็นอะไรมาก แค่รอดูอาการหลังผ่าตัดถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อนก็กลับบ้านได้ มีป้าแม่บ้านอยู่เป็นเพื่อน”
“แล้วมึงมานั่งทำอะไรตรงนี้ ไม่กลับไปเฝ้าแม่หรือไง”
“กูไปแล้วใครจะอยู่กับมึง”
“....”
ผมไม่ได้จะเอาซึ้ง แค่พูดกวนประสาทมันเฉยๆ แต่ไอ้ไนท์กลับชะงักงันราวกับว่าผมไปกระตุ้นจุดอ่อนไหวมันยังไงยังงั้น เห็นมันนิ่งแบบนั้นผมก็เริ่มทำตัวไม่ถูก รู้สึกมือไม้เก้งก้างขึ้นมากะทันหัน
“กู... กูหมายถึงกูไม่รีบ แม่กูมีคนคอยดูแลอยู่แล้ว กูจะอยู่หรือไม่อยู่เฝ้าก็ไม่ต่างอะไร”
“เข้าใจ แต่ก็ขอบใจนะ”
“....”