ชาน้ำผึ้งมะนาวของน้อง

1651 Words
เดือนเดินออกจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าคลายกังวลอย่างเห็นได้ชัด “เป็นยังไงบ้าง” ผมถามอย่างกระตือรือร้น ป้าแหวนที่ยืนข้างๆ ก็พยักหน้ารอฟังอย่างใจจดใจจ่อ “ไส้ติ่งค่ะ เดี๋ยวจะย้ายไปห้องผ่าตัด” เดือนพูดยังไม่ทันขาดคำ เตียงแม่ก็ถูกเข็นออกมา เดือนกับป้าแหวนจับมือกันเดินตามไปทันที ผมเดินตามสองคนนั้นไปติดๆ อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังกลับไปมองไอ้ไนท์ มันมองมาทางผมพอดี “....” ผมสบสายตากับมันอย่างไม่ตั้งใจ เบือนหน้ากลับมาแทบจะทันที แต่สายตากลัดกลุ้มปนทุกข์ของไอ้ไนท์ยังตราตรึงอยู่ในใจ นึกถึงทีไรใจผมมันก็หวิวตลอด การผ่าตัดไส้ติ่งของแม่ผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่มีอาการแทรกซ้อน หลังผ่าตัดเสร็จก็ถูกย้ายมาที่ห้องพักฟื้นเพื่อติดตามอาการหลังผ่าตัดอีกที ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่กี่วันก็กลับบ้านได้ ผมให้เดือนกลับบ้านแล้วอาสาอยู่เฝ้าแม่เป็นเพื่อนป้าแหวน แต่ความจริงอาการของแม่ไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น มีแค่ป้าแหวนเฝ้าคนเดียวก็เพียงพอ เดือนมองผมด้วยสายตาคัดค้านแถมยังไล่ให้ผมกลับบ้านไปอาบน้ำด้วยซ้ำ แต่ผมยืนกรานที่จะอยู่ เดือนเลยขี้เกียจพูด ปล่อยผมทำตามที่อยากแล้วตัวเองก็กลับไปพักผ่อนที่บ้าน “คุณวันไม่ต้องอยู่ก็ได้นะคะ เดี๋ยวป้าดูแลคุณผู้หญิงเอง” คล้อยหลังเดือนไปแล้วป้าแหวนก็พูดขึ้นมาด้วยความหวังดี คงเห็นด้วยกับเดือนที่บอกให้ผมกลับบ้านไปอาบน้ำพักผ่อน “ผมจะลงไปหาอะไรกินข้างล่าง ป้าเอาอะไรไหม” ผมไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้ของป้าแหวน “ไม่เอาค่ะ ในตู้เย็นก็มีของกิน” “งั้นระหว่างที่ผมอยู่ข้างนอกถ้าป้านึกออกว่าอยากได้อะไรก็โทรหาผมแล้วกัน” “ได้ค่ะ คุณวันกลับไปกินข้าวที่บ้านก็ได้นะคะ” “นี่ใจคอจะไล่ผมกลับบ้านอย่างเดียวเลย” “เปล่าค่ะ ป้าได้ยินว่าคุณวันช่วยดูแลร้านอาหารให้คุณผู้หญิงด้วย คงจะเหนื่อย ป้าแค่อยากให้คุณวันได้พักผ่อน” “แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับป้า งั้นผมไปก่อนนะ” ผมยิ้มอย่างเข้าใจความคิดของป้าแหวนก่อนเดินออกมา ปากก็บอกว่าจะมาหาของกิน แต่พอลงลิฟต์มาที่ชั้นล่างผมก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาเลื่อนหาชื่อไอ้ไนท์ก่อนกดเข้าไปในห้องแชต ผมกำลังจะพิมพ์แต่ก็ชะงักกลางคันเพราะไม่รู้จะพิมพ์คำว่าอะไร เริ่มไม่แน่ใจว่าควรทักมันไปดีหรือเปล่า นึกถึงครั้งล่าสุดที่เจอกับมันก็ใช่ว่าจะจากกันด้วยดี มันทั้งกัดทั้งต่อยผมแล้วทำไมผมต้องไปห่วงมันด้วย โธ่โว้ย! ผมยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างไม่สบอารมณ์ เดินออกจากตึก ลัดเลาะไปตามทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างตึกของโรงพยาบาล ก่อนจะเจอร้านกาแฟเล็กๆ ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลไม่ต้องเดินไปไหนไกล ผมแวะเข้าไปโดยไม่เสียเวลาคิด แค่อยากหาอะไรดื่มเพิ่มความสดชื่นและกะว่าจะซื้อไปฝากป้าแหวนสักแก้วด้วย ทันทีที่เข้ามาข้างใน สายตาผมก็ปะทะเข้ากับร่างสูงที่นั่งหันหลังให้ประตูก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแค่เห็นหลังผมก็รู้ทันทีว่าเป็นไอ้ไนท์ หัวใจผมกระตุกอย่างไม่มีสาเหตุ ผมแทบจะยั้งเท้ากลางอากาศแต่ไม่ทัน ได้แต่ชะลอฝีเท้าลงชั่วขณะหนึ่งเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ใบหน้าเรียบเฉย “รับอะไรดีคะ” พนักงานเอ่ยถามเสียงหวาน ผมมองเมนูที่วางอยู่ ไม่รู้ว่าป้าแหวนชอบกินอะไร ก่อนจะเหลือบเห็นโปรเครื่องดื่มร้อนสองแถมหนึ่ง เอามือจิ้มแบบไม่ต้องคิด “เอาโปรนี้ครับ” “ชาน้ำผึ้งมะนาวร้อนนะคะ” “ครับ” ไอ้ไนท์หันมาเพราะได้ยินเสียงผม ร้านไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าเป็นคนประสาทสัมผัสไวก็จะรับรู้การเคลื่อนไหวได้ทันที ผมเตรียมใจเผชิญหน้ากับมันตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาในร้านแล้วเลยยังรักษาความสงบบนใบหน้าเอาไว้ได้ เดินมานั่งลงข้างๆ มัน “....” ไอ้ไนท์หันมามองอย่างแปลกใจ แววตามันเต็มไปด้วยความสับสนปนสงสัย “กูเห็นมึงหน้าห้องฉุกเฉิน... ใครเป็นอะไรเหรอ” มันเงียบ ครู่หนึ่งถึงตอบ “พ่อกูเอง วูบตอนจะไปเข้าห้องน้ำ โชคดีที่อาอยู่ใกล้ๆ ไม่งั้นป่านนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง” ผมอึ้งเล็กน้อยแต่ก็พอเดาความสัมพันธ์ของมันกับคนบนเตียงออกเพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้น ผมจ้องใบหน้าหดหู่ของไอ้ไนท์แล้วก็พลอยเครียดไปกับมันด้วย “ไม่เป็นแล้วล่ะ ถึงมือหมอแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น” ผมพูดดีสุดได้เท่านี้ แต่ก็กลัวว่าจะดีไม่พอจึงยื่นมือไปแตะบ่ามันเบาๆ “....” ไอ้ไนท์ชำเลืองมองมือผมด้วยสายตาคลุมเครือ ผมชักมือกลับ จ้องมองแก้วชาน้ำผึ้งมะนาวร้อนตรงหน้านิ่ง แปลกดีเหมือนกันผมอุตส่าห์ห้ามใจไม่ส่งข้อความหามันแต่กลับมานั่งปลอบใจมันอยู่ข้างๆ ถึงจะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นี่เรียกว่าปลอบใจได้หรือเปล่าก็เถอะ “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น” หลังจากเงียบกันไปนาน จู่ๆ ไอ้ไนท์ก็พูดขึ้นมาเสียงเบาแต่เหมือนมันพึมพำกับตัวเองมากกว่า ผมหันไปมอง เห็นมันทำหน้าอมทุกข์ไม่เลิกก็เลื่อนแก้วชาน้ำผึ้งมะนาวร้อนไปให้มัน “....” ไอ้ไนท์ชำเลืองมองด้วยสายตาเป็นคำถาม ตรงหน้ามันมีกาแฟดำที่ยังดื่มไม่ถึงครึ่งวางอยู่ “กูเลี้ยง จะได้อารมณ์ดี” “....” “กูไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือเปล่า แต่ถึงมึงเครียดอยู่แบบนี้ก็ไม่ช่วยให้พ่อมึงอาการดีขึ้นมาหรอก” “ที่เขาไม่สบาย บางทีอาจจะเป็นเพราะกูก็ได้” ทำไมมึงพูดแบบนั้นวะ ผมอยากเอ่ยประโยคนั้นออกไปแต่เห็นสีหน้าจริงจังแบบเข้มข้นของมันแล้วก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอ จากท่าทางของไอ้ไนท์เรื่องในครอบครัวมันคงจะซับซ้อนกว่าที่คิด ผมมันคนนอก ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้แค่ปลอบใจมันเบาๆ “มึงอย่าคิดมากสิวะ” ผมเอ่ยเบาๆ แต่ไอ้ไนท์ก็ยังจมอยู่ในความคิดตัวเอง “กูเพิ่งรู้จากน้องชายไม่นานว่าเขาป่วยหนัก จากโรคที่เป็นน่าจะเป็นมาก่อนที่จะเจออาการ กูก็ไม่อยากโทษตัวเองหรอกแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ากูเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาป่วย” “พ่อมึงป่วยเป็นอะไร” “เนื้องอกในสมอง” ผมอึ้งไปชั่วขณะ ยอมรับว่าตกใจถ้าโรคนี้เกิดกับพ่อแม่ผม ผมก็เครียดเหมือนกัน “แล้วอะไรทำให้มึงคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้พ่อมึงป่วย” ผมพูดออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง ไอ้ไนท์มองผมด้วยสายตาที่บอกว่าผมเองก็รู้ ...แต่โทษทีผมไม่รู้จริงๆ มึงพูดมาเถอะอย่าให้กูเดาเลย “สมัยเรียนกูเคยทะเลาะกับพ่อเพราะสิ่งที่กูเป็น” ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงโทษตัวเอง “พ่อกูไม่ยอมรับ ไล่กูออกจากบ้าน แถมยังไม่ให้กูใช้นามสกุลด้วยอีก ตอนนั้นกูไม่ได้แคร์อะไร สนแค่ความสุขของตัวเอง ไล่กู กูก็ไปแค่นั้น กูไม่เข้าใจเลยว่ะ ทั้งที่กูคิดว่าตัดขาดกับเขาแล้วทำไมกูยังต้องมานั่งรู้สึกผิดอยู่แบบนี้ด้วยวะ” ไอ้ไนท์ร่ายยาวเหยียดเหมือนอัดอั้นตันใจมานาน ผมจับต้นแขนมันแล้วบีบเบาๆ อย่างปลอบใจ การถูกครอบครัวปฏิเสธคงเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก “มึงใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมาก ลองจิบชาน้ำผึ้งมะนาวดูอร่อยนะ” ผมยกแก้วชาน้ำผึ้งมะนาวขึ้นจากพื้นโต๊ะส่งให้ไอ้ไนท์เพราะมันไม่ยอมยกแก้วขึ้นดื่มเองสักที คิ้วเรียวเข้มขมวดเล็กน้อย มองแก้วที่ผมประเคนให้ด้วยสายตาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับไปดื่มโดยไม่พูดอะไร ผมรอให้มันซึมซับรสชาติสักพักก็เอ่ยขึ้น “เป็นไง อร่อยไหม” “อืม” ตอบแบบไร้อารมณ์สุดขีด ไอ้ไนท์วางแก้วลงด้วยสีหน้านิ่งๆ มันมองแก้วอีกสองใบตรงหน้าผม “โปรสองแถมหนึ่ง?” “ใช่ ไม่รู้จะสั่งอะไร ก็เลยเอาเมนูโปรโมชั่นนี่แหละ” “มัวแต่คุยเรื่องกู แล้วมึงล่ะเกิดอะไรขึ้น ทำไมมาอยู่นี่” “แม่กูผ่าไส้ติ่ง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้พักฟื้นอยู่ ไม่เป็นอะไรมาก แค่รอดูอาการหลังผ่าตัดถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อนก็กลับบ้านได้ มีป้าแม่บ้านอยู่เป็นเพื่อน” “แล้วมึงมานั่งทำอะไรตรงนี้ ไม่กลับไปเฝ้าแม่หรือไง” “กูไปแล้วใครจะอยู่กับมึง” “....” ผมไม่ได้จะเอาซึ้ง แค่พูดกวนประสาทมันเฉยๆ แต่ไอ้ไนท์กลับชะงักงันราวกับว่าผมไปกระตุ้นจุดอ่อนไหวมันยังไงยังงั้น เห็นมันนิ่งแบบนั้นผมก็เริ่มทำตัวไม่ถูก รู้สึกมือไม้เก้งก้างขึ้นมากะทันหัน “กู... กูหมายถึงกูไม่รีบ แม่กูมีคนคอยดูแลอยู่แล้ว กูจะอยู่หรือไม่อยู่เฝ้าก็ไม่ต่างอะไร” “เข้าใจ แต่ก็ขอบใจนะ” “....”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD