รอยแมวข่วน

1887 Words
ตะวัน | ผมขับรถออกจากคอนโดไอ้ไนท์ด้วยอารมณ์ที่โคตรจะเกรี้ยวกราด แม่งเอ๊ย! ผมตบพวงมาลัยระบายอารมณ์ขณะขับรถ นึกย้อนกลับไปไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพามันมาส่งห้อง หลังจากที่ผมได้กุญแจรถซึ่งไอ้ไนท์ก็ลีลาจัดกว่าจะคืน ผมก็ตั้งใจกลับเลยแต่ดันเจอรุ่นพี่ที่จบไปแล้วโดยบังเอิญก็เลยเข้าไปทักทายพูดคุยตามปกติ แต่ไม่คิดว่าการรั้งอยู่ที่ร้านมันตอนนั้นจะทำให้ผมต้องมาลงเอยแบบนี้ อันที่จริงผมจะกลับทันทีที่คุยกับรุ่นพี่เสร็จก็ได้แต่ดันได้ยินว่าที่ร้านมันมีเรื่อง ต่อมอยากรู้ (เสือก) ก็ทำงาน แอบตามไปดูอยู่ห่างๆ แล้วพอเห็นมันโดนกระป๋องน้ำอัดลมหรือเบียร์ไม่รู้อัดหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามไถ่ ผมพยายามห้ามตัวเองแล้วนะแต่ขามันขยับไปเองรู้ตัวอีกทีก็อยู่หน้าไอ้ไนท์แล้ว ต่อจากนั้นผมก็ถูกมันปั่นหัวเล่นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกกัดถูกต่อย ต้องมาเจ็บตัวแบบไม่มีเหตุผล มันใช่เหรอวะ... ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดปุดๆ กว่าจะถึงห้องก็เกือบตีสาม แม่ง... ไม่น่าเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับไอ้ไนท์เลยว่ะ สะเหล่อไม่เข้าเรื่อง ผมยืนทึ้งผมหน้ากระจกอย่างกับคนบ้า หลังอาบน้ำเสร็จก็คร่ำครวญกับตัวเองรอบหนึ่งก่อนจะปิดไฟแล้วเดินมาที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าใส่หมอนอย่างเหนื่อยล้า ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พลิกตัวขึ้นมานอนหงาย ตาเหม่อมองเพดานสลัวอย่างไร้จุดหมาย ผมนอนไม่หลับ... แม้บรรยากาศในห้องจะดีน่านอนขนาดไหน แอร์เย็นฉ่ำ ตัวเบาสบาย รอบด้านเงียบสงบเอื้อต่อการนอนมากแต่สมองผมกลับหยุดคิดเรื่องไอ้ไนท์ไม่ได้เลย ท่าทางของมันทำให้ผมรู้สึกค้างคาใจ ผมยกมือขึ้นแตะแก้มข้างที่โดนไอ้ไนท์กัด รอยฟันยังอยู่ ผมลูบคลำอย่างใจลอยแล้วช่วงล่างดันแข็งขึ้นมา “เฮ้ย!” ผมอุทานอย่างตกใจ พรวดพราดขึ้นนั่ง ถลกผ้าห่มออกดูอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะมีอารมณ์จริงๆ เชี่ยแล้ว... หรือกูเปิดแอร์เย็นเกินไปวะมันก็เลยแข็ง ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองแต่มันก็ฟังไม่ขึ้น สุดท้ายก็ได้แต่ยอมรับอย่างสิ้นหวังว่าที่ผมของขึ้นเป็นเพราะคิดถึงไอ้ไนท์ นี่กูผิดปกติหรือเปล่าวะ ผมเริ่มไม่แน่ใจตัวเองแล้ว... แต่เพื่อไม่ให้ถลำลึกไปไกลกว่านี้ ผมเลือกที่จะข่มกลั้น เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเล่นเกมเพราะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมหายฟุ้งซ่านได้โดยที่ไม่ต้องช่วยตัวเอง ผมหลับไปตอนเกือบเช้า ตื่นอีกทีก็เกือบเที่ยง งานเงินร้านเริ้นอะไรลืมหมด ผมนั่งสัปหงกอยู่บนเตียงครู่หนึ่งก็ต้องดึงสติกลับมา ลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกแต่แวะกินข้าวร้านใกล้ๆ หอพักก่อน กว่าความคิดจะฟื้นเต็มที่ก็หลังจากข้าวมื้อแรกตกถึงท้องนั่นล่ะ ผมทักเข้าไปในกลุ่มไลน์ของร้าน ถามก่อนว่ามีปัญหาอะไรไหม ถ้าไม่มีผมจะได้ไม่ต้องรีบมาก ยังไงซะต่อให้ผมไม่อยู่ ร้านก็เปิดของมันเองได้อยู่แล้ว ยกเว้นแต่ว่ามีคนขาด ผมไล่ดูแล้วไม่มีใครลางาน ข้อความที่พนักงานตอบกลับมาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างโอเคผมก็โล่งใจ ผมเข้าร้านตอนบ่ายโมงแล้วก็อยู่ช่วยงานจนร้านปิด เคลียร์บัญชี เคลียร์ร้านเสร็จก็หอบเงินสดใส่รถ พูดเหมือนเยอะแต่ที่จริงแค่ไม่กี่หมื่น ขับรถกลับมานอนบ้านตามที่ตกลงกับแม่เอาไว้ว่าหยุดเสาร์อาทิตย์นี้จะกลับมากินข้าวที่บ้าน แต่กว่าผมจะเคลียร์งานที่ร้านเสร็จและกลับถึงบ้านก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว มีแต่เสาไฟโซล่าเซลล์หน้าบ้านเท่านั้นแหละที่ส่องสว่างรอผมอยู่ คนอื่นนอนกันหมดแล้ว ผมไม่ได้บีบแตร์เรียกให้คนมาเปิดประตูเพราะรู้ว่าดึกแล้ว ไม่อยากรบกวนด้วย เปล่าหรอกที่จริงประตูรั้วบ้านผมติดตั้งระบบสแกนลายนิ้วมือ แค่ทาบนิ้วที่เคยลงทะเบียนไว้มันก็เปิดให้แล้ว ทว่าตอนที่ผมกำลังจะทาบนิ้วลงบนจอสแกนประตูรั้วก็เปิดออก พร้อมกับไฟหน้ารถสว่างจ้าแยงเต็มสองตา ผมยกมือขึ้นป้องตาอย่างงุนงงที่มีรถวิ่งออกจากบ้านเอาเวลานี้ แต่สมาชิกในบ้านก็ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านอยู่แล้ว รถวิ่งเข้าออกกลางดึกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร รถวิ่งผ่านรั้วออกมาครึ่งคันกระจกก็เลื่อนลง เสียงพี่สาวตะโกนออกมา “ตะวัน” “เดือน ไปไหน...” ผมมองเข้าไปในรถ ถึงจะสลัวแต่ก็สามารถมองเห็นคนที่อยู่เบาะหลัง ภาพแม่นั่งพิงไหล่ป้าแม่บ้านดูไม่ปกติ “เกิดอะไรขึ้น!?” “แม่ปวดท้อง กำลังจะพาไปโรงบาล” เดือนพูดอย่างรีบๆ ปิดกระจกแล้วขับรถออกไปทันที ผมเกาหัวแกรกๆ มองประตูรั้วเลื่อนปิดอัตโนมัติกับไฟท้ายรถเดือนที่วิ่งหายไปจากสายตาอย่างตั้งตัวไม่ทันก่อนจะตัดสินใจขับรถตามเดือนไปโรงพยาบาลเพราะเข้าบ้านตอนนี้ก็คงไม่สบายใจอยู่ดี โรงพยาบาล หน้าห้องฉุกเฉิน “แม่เป็นไงบ้าง” ผมถามเดือนที่ยืนกอดอกหน้าเครียดอยู่กับแม่บ้านชื่อป้าแหวน “หมอยังไม่ออกมาเลย” เดือนส่ายหน้า แล้วมองเข้าไปในประตูกระจกที่ปิดอยู่ “แล้วทำไมจู่ๆ แม่ปวดท้อง กินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่า?” “ไม่นะคะ ป้าทำอาหารปกติค่ะ” ป้าแหวนตอบ พลางทำหน้าครุ่นคิด “แต่คุณผู้หญิงบ่นว่าปวดท้องมาได้สักพักแล้วค่ะ เป็นๆ หายๆ แต่ครั้งนี้คุณผู้หญิงน่าจะปวดมากจนทนไม่ไหว” “อือ” เดือนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของป้าแหวนก่อนจะพึมพำเบาๆ “ขออย่าให้เป็นอะไรมากเลย” ระหว่างที่เราสามคนยืนเครียดกันอยู่ รถฉุกเฉินก็วิ่งเข้ามาจอดหน้าทางเข้าตึกดังเอี๊ยดจนต้องหันไปดู เตียงถูกเข็นลงมาอย่างรวดเร็วตรงเข้าห้องฉุกเฉินทันที ผมเห็นหน้าคนบนเตียงแวบเดียวแต่แค่แวบสั้นๆ นั่นแหละทำให้ผมนึกถึงคุณลุงที่นั่งกินข้าวกับน้องไอ้ไนท์และบีบีขึ้นมา คนเดียวกันหรือเปล่าวะ หรือว่าผมจำคนผิด ผมครุ่นคิดอย่างไม่แน่ใจ “ญาติรอข้างนอกก่อนนะคะ” พยาบาลบอกน้าผู้หญิงที่เดินตามเตียงคนป่วยมาติดๆ น้าผู้หญิงชะงัก มองตามบานประตูกระจกที่ดีดตัวปิดด้วยสายตาร้อนรนใจแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม พยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วเดินไปยืนหลบมุมอยู่คนเดียว ชั่วครู่เสียงประกาศเรียกพบญาติคนไข้ก็ดังขึ้น ชื่อที่ประกาศเป็นชื่อแม่ผมเอง... ผมละสายตาจากคุณน้าคนนั้นมาทางเดือน “เดี๋ยวพี่ไปคุยเอง แกรอนี่แหละ แล้วก็ส่งข่าวพ่อด้วย” พูดเสร็จพี่สาวผมก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่ออกมายืนรออยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน หลังจากถามไถ่จนแน่ใจว่าเป็นญาติคนไข้แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาเดือนเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมมองตามจนประตูดีดตัวปิด แล้วผ่อนลมหายใจได้แต่ภาวนาอย่าให้แม่เป็นอะไรมาก ระหว่างรอผมเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพ่อ แต่ไม่รับสาย... ผมก็เลยพิมพ์ข้อความทิ้งเอาไว้ในไลน์เดี๋ยวพ่อเห็นแล้วก็คงโทรกลับมาเอง “คุณวัน... ป้าเพิ่งสังเกต นั่นหน้าไปโดนอะไรมาคะ” “อาครับ พ่อเป็นยังไงบ้าง” เสียงเรียกดังขึ้น ผมหันไปมองเพราะรู้สึกคุ้นหู เห็นไอ้ไนท์เดินเข้าไปคุยกับคุณน้าคนนั้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอมันที่โรงพยาบาล แล้วเมื่อกี้มันพูดว่าพ่อ? หรือว่าคนที่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินจะเป็น... ขณะที่ผมกำลังคิดไอ้ไนท์ก็ตวัดสายตามาทางผมทำให้เราทั้งคู่สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ มันคงรู้ตัวว่าถูกใครสักคนมองอยู่ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นผม เพราะในแววตามันเต็มไปด้วยอาการประหลาดใจ “คุณวันคะ?” “ครับ” เสียงเรียกของป้าแหวนที่ค่อนข้างมีน้ำหนักกว่าปกติทำให้ผมหันกลับมามอง เลิ่กลั่กไม่รู้ตัว ป้าแหวนมองผมแล้วก็มองไปทางคนที่ผมมองก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือไอ้ไนท์ “ใครเหรอคะ คนรู้จักเหรอ” “เอ่อ ครับ... จะว่ารู้จักก็ได้ แต่ไม่ได้สนิทอะไร” ผมตอบป้าแหวนแล้วก็แอบๆ มองไปทางไอ้ไนท์ เพราะคิดว่ามันต้องได้ยินผมกับป้าแหวนคุยกันเนื่องจากระยะที่ผมกับมันยืนอยู่ไม่ได้ไกลกันมาก ทว่าไอ้ไนท์ไม่ได้สนใจผมแล้ว มันพูดกับคนที่มันเรียกว่า ‘อา’ ต่อราวกับว่าผมไม่มีตัวตนในสายตามัน เห็นแบบนั้นผมก็ดึงสายตากลับมา มุ่งความสนใจไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน รอเดือนออกมาอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าแม่เป็นอะไรกันแน่ “ไม่เข้าไปคุยกับเขาหน่อยเหรอคะคุณวัน ท่าทางคนที่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินจะอาการหนักนะคะ ดูๆ แล้วน่าจะหนักกว่าคุณผู้หญิงของป้าอีก” ป้าแหวนกระซิบกระซาบคอยส่งสายตาไปทางไอ้ไนท์เป็นระยะ “ไม่หรอก มันไม่ได้สำคัญกับผมขนาดนั้น” ป้าแหวนทำหน้าเหมือนมีปัญหากับคำพูดของผมสักที่ ผมเองหลังจากพูดออกไปก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนผมกำลังประชดใครอยู่ ความจริงสำคัญไม่สำคัญก็ไม่เห็นเกี่ยว... ถูกผมตัดบทป้าแหวนก็ไม่เซ้าซี้เรื่องไอ้ไนท์ต่อ แต่เหมือนรอเฉยๆ แล้วป้าจะเหงา เงียบได้แป๊บเดียวก็พูดขึ้นมาอีก “ว่าแต่หน้าไปโดนอะไรมา ยังไม่ตอบป้าเลยค่ะ อย่าบอกนะคะว่าไปมีเรื่องกับใครมา” “เปล่า ผมไม่ได้มีเรื่อง” “แล้วไปได้แผลมาจากไหนคะ” “แผลที่ไหนก็แค่...” ผมอ้ำอึ้ง สบสายตาเฉียบคมของป้าแหวนอย่างไม่รู้จะตอบยังไงดี “...โดนแมวข่วน” ผมกลั้นใจตอบอย่างขอไปที “แมวที่ไหนคะ ท่าทางมือหนักน่าดู” ป้าแหวนเพ่งมองรอยช้ำตรงมุมปากผมอย่างจับผิดแกมล้อเลียน พอเห็นผมหน้าตึงป้าแหวนก็ยิ้มอ่อน มองผมอย่างเอ็นดูทำอย่างกับผมเป็นเด็กๆ “ป้าก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าคุณวันจะเกิดเรื่องขึ้น แต่ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้วค่ะ” ผมคลายสีหน้า มองป้าแหวนด้วยสายตาที่อ่อนลง “ป้าสบายใจได้ ผมไม่มีปัญหาแน่นอน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD