บทที่ ๓ # กราบเท้าผู้ให้กำเนิด

2212 Words
        บทที่ ๓ # กราบเท้าผู้ให้กำเนิด             เฟิงหลุนล่องลอยไปทั่ว ข้ามมิตินั้น ไปสู่มิตินี้ จนกระทั่งกลับเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 22   กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย           จากนั้นดวงจิตของชายหนุ่ม จึงลอยล่องเข้าไปในคอนโดของตนเอง ดวงตาพลันลุกวาบขึ้น เมื่อเห็นว่าร่างของตนนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง โดยร่างกายของเขา ยังคงสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสแล็คขายาวสีดำ เป็นชุดที่เขาใส่ไปเที่ยวผับกับเพื่อน ๆ            เฟิงหลุนมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังห้องนอน ก็พบว่าเวลานี้12.10 น. แล้ว เขาจึงเอื้อมมือไปสัมผัสกับร่างกายของตน แต่ปรากฏว่า มือของเฟิงหลุนทะลุผ่านกายหยาบ หัวใจของชายหนุ่มจึงกระตุกทันที                     ดวงจิตโปร่งใสยกมือเรียวขึ้นมาดูแบบงงงวย ก็เมื่อกี้เขายังสัมผัสใบหน้าแม่ทัพนั่นได้นี่นา แล้วทำไมตอนนี้มือเขาไม่สามารถจับหรือแตะต้องร่างกายของตัวเองได้เลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น           เฟิงหลุนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาก็เห็นเพื่อนและพี่น้องวิ่งเข้ามาในห้องนอนด้วยอาการตื่นตกใจ ใบหน้าซีดเผือด ไม่เท่านั้นเขายังได้ยินเสียงร้องไห้ของปานจะขาดใจ เป็นเสียงของคนคุ้ยเคย หัวใจอันเย็นชาต้องบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด           เมื่อหันไปมองก็พบเป็นว่าป่าป๊ากับหม่าม้าของเขานั่นเอง ท่านทั้งสองกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเศร้าและเสียใจ เมื่อต้องเห็นเต็มสองตาว่า ลูกชายผู้เป็นแก้วตาดวงใจของตนเสียชีวิตแล้ว           เพียงเท่านั้น น้ำตาของชายหนุ่มก็ไหลออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความโศกเศร้าของผู้ให้กำเนิด มันบีบคั้นหัวใจของเขาจนหายใจไม่ออก           “ฮึก เสี่ยวหลุน ทำไมถึงจากหม่าม้าไปเร็วนี้ แล้วหม่าม้าจะอยู่ยังไง ฮึก ฮือ” มารดาของเขา ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นบิดา           นี่เขาตายแล้วงั้นเหรอ ตายได้ยังไง ตั้งแต่ตอนไหน เฟิงหลุนงงงวย ตอนแรกแค่นึกว่าจิตหลุดออกจากร่างกาย แล้วไปท่องเที่ยวในโลกยุคโบราณ จากนั้นคงกลับเข้าร่าง แต่ทว่า… นี่คือ เขาตายจริง ถึงว่า พี่ชายและเพื่อนเขา หน้าตาซีดเผือด และบุพการีต้องร้องไห้จนจะขาดใจแบบนี้           เฟิงหลุนหันหน้าไปมองร่างของตนด้วยสายตาอึ้ง ๆ จากนั้นจึงสังเกตดูรายละเอียดให้ถี่ถ้วน ก็พบว่า ร่างกายสูงโปร่งของเขานอนคว่ำหน้าลงบนเตียงนอน ตัวซีดขาวแข็งทื่อ มือวางแนบกับใบหน้าหล่อเหลา คล้ายนอนหลับไปตามธรรมดา ไร้ร่องรอยการถูกฆาตกรรม           ทุกคนถอยห่างออกมา เมื่อหน่วยกู้ภัยมาถึง เจ้าหน้าที่ทุกคนเข้ามาเก็บรายละเอียด และห่อหุ้มร่างของเขาด้วยผ้าสีขาวล้วน เตรียมนำไปชันสูตรศพที่นิติวิทยาศาสตร์            เฟิงหลุนมองเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก พี่ ๆ ของเขาหน้าเศร้า น้ำตาซึม ดวงตามีรอยช้ำแดงอย่างคนร้องไห้มาอย่างหนัก           ส่วนเพื่อนทั้งสี่คน ต่างก็กอดคอกันร้องไห้ด้วยความเสียใจ เมื่อต่อจากนี้ ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความทรงจำ จะไม่มีเขาไปเที่ยวผับด้วยอีกต่อไปแล้ว           ชายหนุ่มเห็นแบบนั้น น้ำตาก็ซึมออกมาบ้าง แล้วดวงจิตของเฟิงหลุนจึงลอยเข้าไปหาบิดามารดา จากนั้นจึงนั่งลงกับพื้น มือของเขาแตะเบา ๆ บนเท้าของท่านทั้งสอง ก่อนจะก้มกราบเท้าเหี่ยวย่นตามวัยของผู้ให้กำเนิด ด้วยความรักและเทิดทูนสุดหัวใจ           น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นลงมา กระทบกับผิวหนังบริเวณนิ้วโป้งของบิดา จนท่านสะดุ้ง จากนั้นก็มองหาต้นกำเนิดแต่ไม่พบ หัวใจชายชราอุ่นวาบ เมื่อความรู้สึกนั้นบอกกับท่านว่า บุตรชายคนเล็กมาร่ำลา ท่านจึงนิ่งเพื่อรับสัมผัสนั้นเต็มที่           เพราะว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่จะรับรู้ได้           เฟิงหลุนกราบบิดามารดาด้วยความเคารพ เขาเอ่ยคำลากับป้าป๊าและหม่าม้า แม้จะรู้ว่าท่านทั้งสองคงไม่ได้ยินก็ตาม           “หม่าม้า ป่าป๊า เสี่ยวหลุนลาม้ากับป๊าแล้วนะครับ เสี่ยวหลุนดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของม้ากับป๊า แต่บุญของเสี่ยวหลุนคนนี้มีน้อยจึงยังไม่ได้ตอบแทนคุณ ชาติหน้าเสี่ยวหลุนขอเกิดเป็นลูกป่าป๊ากับหม่าม้าอีกนะครับ ขอให้ลูกคนนี้ตอบแทนบ้าง ดูแลตัวเองให้ดี ๆ อย่าคิดมากเรื่องของเสี่ยวหลุนนะครับ ลูกต้องลาแล้ว” เมื่อรู้สึกว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างคอยดึงรั้งตัวเขาอยู่           เฟิงหลุนจึงรู้ทันที ว่ามันคงถึงเวลาที่เขาจะต้องจากโลกนี้ไปแล้ว และตลอดกาล ชายหนุ่มจึงก้มกราบเท้าพ่อแม่อีกรอบ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลอยวูบไปตามแรงดูดอันมหาศาล !   อีกมิติหนึ่ง ในโลกโบราณ ยาม อู่ (11.00-12.59)           บรรดาบ่าวไพร่เมื่อเห็นผู้เป็นนายหลับไปอย่างยาวนาน ก็เริ่มใจไม่ดี หวั่นหวาดว่าอี๋เหนียงอาจจะไม่สบายขึ้นมาจริง ๆ หน่วยกล้าตายอย่างอวิ๋นยี่จึงทำการปลุก           “อี๋เหนียงเจ้าคะ” บ่าวผู้น่ารักปลุกเจ้านายคนงาม           “…..” เฟิงหลุน           “อี๋เหนียง” อวิ๋นยี่           “…..” แต่ปลุกเท่าไหร่ คนหลับกลับไม่ยอมตื่น ทำให้บ่าวไพร่ตกใจแตกตื่นเป็นอย่างมาก            “จูล่ง เจ้ารีบไปตามท่านหมอมาที่เรือนคุณหนูเร็วเข้า” อารามตกใจ ทำให้ลี่จิวเผลอเอ่ยนามเดิมก่อนเป็นอนุภรรยาของท่านแม่ทัพ แต่ไม่มีผู้ใดสนใจในคำพูดนั้น เพราะทุกคนต่างก็ห่วงใยผู้เป็นนาย           “ได้” จูล่งรีบวิ่งออกไปตามหมอมาทันที ช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังโกลาหล กลับมีเรื่องแตกตื่นเพิ่มขึ้นมา นั่นคือ จิ้นไห่ผู้เป็นองครักษ์ของท่านแม่ทัพมาเพื่อส่งข่าว ตามปกติ            แต่แทนที่จะแจ้งแก่พ่อบ้านของจวน กลับตรงดิ่งมาเรือนเล็กของอนุ 9 เมื่อรับรู้ว่า เกอคนงามอยู่ศาลาริมบัว องครักษ์ร่างสูงจึงรีบมาทันที และก็มาเจอเหตุการณ์อันชุลมุนนั้นเข้า           และนั่นยิ่งทำให้บ่าวไพร่ของเฟิงหลุน เกิดอาการวิตกกังวลหนักขึ้นไปอีก จนทุกคนหัวใจสั่นระรัว ทั้งกังวลเรื่องผู้เป็นนายไม่ยอมตื่น ทั้งหวาดกลัวว่าจะถูกเจ้าของจวนลงโทษ ใบหน้าของบ่าวไพร่จึงออกซีดสลับแดง แต่ถึงจะกลัวแค่ไหน ก็ต้องกัดฟัน ทักทายองครักษ์ท่านแม่ทัพอยู่ดี             “ท่านจิ้นไห่” ชิงชิง อวิ๋นยี่ ลี่จิว ต่างก็ประสานมือคาราวะองครักษ์แม่ทัพของจวน พลางก้มหน้าน้อย ๆ แล้วเฝ้ารอคอยว่าคนตัวโตจะเอ่ยอันใด           “อนุ 9 เป็นอันใด ใยพวกเจ้าถึงแตกตื่นนัก” ไม่พูดพล่ามทำเพลงใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อบ่าวตัวน้อยของอนุภรรยาผู้เป็นนายทำการคาราวะตนแล้ว องครักษ์จิ้นไห่จึงทำการเอ่ยถาม เขานั้นมองเห็นความโกลาหลขนาดย่อม ๆ และแน่นอน เขาจะต้องรายงานท่านแม่ทัพ           “อี๋เหนียงนอนหลับไปนาน พวกข้าปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น จูล่งเลยรีบไปตามท่านหมอเจ้าค่ะ ท่านจิ้นไห่มีอันใดหรือเจ้าคะ มาถึงเรือนโม่ลี่ได้” ชิงชิงเอ่ยถามขึ้น           “ข้ามีข่าวมาแจ้ง ถ้าอี๋เหนียงของพวกเจ้าตื่นก็ให้บอกตามที่ข้าแจ้ง ตอนนี้ท่านแม่ทัพนำทัพเข้าสู่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้วถ้าไม่ผิดอันใดนักยามซวี (19.00-20.59 น.) คงถึงวังหลวง” จิ้นไห่เอ่ยพร้อมกับจ้องหน้าสามบ่าวคนสนิทอนุ 9 ไปด้วย           “เจ้าค่ะ” ทั้งสามเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วรับคำพร้อมกัน           “ส่วนเรื่องของอนุ 9 ข้าจะรายงานท่านแม่ทัพตามนี้” จิ้นไห่พูดยังไม่จบ ท่านหมอก็ถูกจูล่งลากมาด้วยความว่องไว           ท่านหมอถึงกับหอบแฮก ๆ กันเลยทีเดียว แต่เมื่อมองเห็นเกอผู้อนุของจวนท่านแม่ทัพนอนหลับตาพริ้ม แต่หน้าซีดก็ตกใจ รีบถลาเข้าหาอย่างรวดเร็ว           “พวกเจ้า อนุ9 เป็นอันใด ใยหน้าซีดนัก” ท่านหมอถามพลางล้วงเข้าไปในย่าม ค้นหาบางอย่าง           “ข้าเองก็ไม่รู้ อี๋เหนียงนอนชมเหลียนฮวา จากนั้นก็บอกว่าง่วงแล้วก็หลับไปอย่างยาวนาน พวกข้าทำการปลุกแต่อี๋เหนียงไม่ขยับตัวเลยเจ้าค่ะท่านหมอ” ชิงชิงเอ่ย น้ำเสียงดูเป็นกังวล           ท่านหมอเลยมาจับชีพจรของเฟิงหลุน พลันสีหน้าร้อนใจของท่านหมอก็ค่อยผ่อนคลายลง เมื่อ เกอผู้น่ารักไม่เป็นอันใดอย่างที่กลัว แม้ว่าชีพจรยังอ่อนแรงอยู่ก็ตาม           “อี๋เหนียงเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ลี่จิวสังเกตุเห็นสีหน้าท่านหมอจึงรีบเอ่ยถามทันที           “ชีพจรของอนุ9อ่อนแรงมาก อาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนน้อย หรือไม่อาจจะมีบางสิ่งคิดไม่ตก ทำให้ดูเหนื่อยล้า จึงเป็นเหตุให้นอนหลับยาวนานเช่นนี้ ข้าจะจัดเทียบตัวยาให้ พวกเจ้าต้มให้อนุ9 ดื่มทุก ๆ 3 ชั่วยาม แล้วร่างกายจะมีกำลังขึ้นมา” ท่านหมอแม้จะกังวลใจที่ชีพจรคนงามอ่อน แต่ในเมื่อร่างกายแข็งแรงจึงไม่น่าวิตกอันใด           “ขอบคุณท่านหมอ” จิ้นไห่มอบถุงเงินให้กับท่านหมอก่อนจะพาไปส่ง บรรดาบ่าวไพร่ต่างคอยปะคับคับประหงมผู้เป็นนายต่อไป                     จากยามอู่ยาวนานมาถึงยามเซิน (11.00-12.59 น.ถึงเวลา15.00-16.59 น.)              เฟิงหลุนจึงตื่นขึ้นมาท่ามกลางความยินดีของบ่าวไพร่ผู้ซื่อสัตย์           “อืมมม” เปลือกตาเริ่มขยุกขยิกแล้วจึงลืมตาขึ้นมา           “อี๋เหนียงตื่นแล้ว” ลี่จิวน้ำตาไหลด้วยความดีใจ บรรดาบ่าวไพร่ที่เป็นกังวล เมื่อเห็นเช่นนั้น จึงโล่งและสบายใจ ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนต่อไป           “ข้าเป็นอันใด ทำไมถึงเวียนหัว” เฟิงหลุนยกนิ้วมือคลึงขมับ           “อี๋เหนียงหลับไปเจ้าค่ะ คงพักผ่อนน้อยอี๋เหนียงจึงนอนไปนาน ท่านหมอจึงจัดเทียบยาให้กับอี๋เหนียงดื่มเจ้าค่ะ” ชิงชิงเอ่ยยิ้ม ๆ           “ข้ายังอยู่ที่ศาลางั้นหรือ” หันไปรอบ ๆ ก็ยังเห็นบึงบัวตามเดิม           “เจ้าค่ะ ริมบึงเหลียนฮวามีลมโชยทำให้อี๋เหนียงหลับสบาย” ชิงชิงเอ่ยขึ้น            “นั่นสิ” เฟิงหลุนยิ้ม ๆ เพราะหลับสบายนี่แหละเขาถึงได้กลับไปเห็นครอบครัวจนกราบเท้าป๊าและหม่าม้า รวมทั้งแม่ทัพหน้านิ่งคนนั้น แววตาของเฟิงหลุนหม่นลงแว๊บเดียว ก่อนที่จะ จ้อกกกกก !           “แหะ” หลับไปนาน มันเลยหิวไง ไม่แปลกหรอก           บ่าวไพร่หน้าตาเหรอหราก้มลงกลั้นหัวเราะจนไหล่สะเทือน เมื่อผู้เป็นนายเกิดท้องร้องขึ้นมา อนุ 9 หน้าแดงด้วยความเขิน           “ข้าหิว” เสียงอ่อย ๆ           “เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบนำสำรับมาให้นะเจ้าคะ” ชิงชิงอมยิ้ม           “รับสำรับที่นี่หรือที่เรือนเจ้าคะ” อวิ๋นยี่ถาม           “ข้าจะทานที่นี่” หน้ายังแดงอยู่           “เจ้าค่ะ” ชิงชิงและอวิ๋นยี่ต่างรีบไปนำสำรับมาให้อี๋เหนียงทาน   ศาลาริมบึงเหลียนฮวา           เฟิงหลุนคีบชิ้นไก่แล้วกัด ‘อื้ม อร่อย’ ปากน้อยจิ้มลิ้มกินนุ่นกินนี่อย่างระรื่นชื่นบาน           บ่าวผู้ซื่อสัตย์มองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู แล้วอมยิ้มชอบใจ ผู้เป็นนายมีความสุขบ่าวอย่างพวกตนก็มีความสุขตามไปด้วย           “อี๋เหนียงเจ้าคะ เมื่อยามอู่ ท่านจิ้นไห่มาแจ้งข่าวของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” อวิ๋นยี่แจ้งข่าว           “หือ” มือที่คีบชิ้นผักชะงักทันที จู่ ๆ ใบหน้าของท่านแม่ทัพพุ่งวาบขึ้นมา ดวงจิตของเขาได้ล่องลอยไปเจอผู้ชายหน้าคมเข้มคนหนึ่ง ดูท่าคงเป็นแม่ทัพอย่างที่อวิ๋นยี่เอ่ยแน่ คิดได้เพียงแค่นั้น ใบหน้าผุดผาดพลันแดงระเรื่อขึ้นมา ท่ามกลางสายตาของบ่าวคนสนิท บ่าวทุกคนก้มหน้าอมยิ้ม เมื่อผู้เป็นนายออกอาการเขินอายเช่นนี้           “มาแจ้งว่าเช่นไร” เมื่อขจัดความเขินออกไปแล้ว จึงถามขึ้น เฟิงหลุนเองชักงง ๆ ที่ตนเขินจริงเขินจัง หัวใจก็เต้นแรงอีกด้วย นี่เขาเป็นแบบนี้ได้ยังไงนะ           “ท่านจิ้นไห่มาแจ้งว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพนำทัพกลับเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ ยามซวีคงเข้าถึงวังหลวง” ชิงชิงเอ่ยต่อ           “หะ มาถึงเมืองหลวงแล้ว ?” ไวแท้           “เจ้าค่ะ” ชิงชิงเอ่ยยิ้ม ๆ           ‘ตาย ๆ หม่าม้า เสี่ยวหลุนคงตายอีกรอบแน่ ๆ’ ความหวาดวิตกอยู่ในใจของเฟิงหลุน กำลังตีกันวุ่น ไม่ใช่ว่าเขาถูกสามี แค่ก แค่ก ท่านแม่ทัพตีด่านของเขาแตกแล้วนะ           รีบเค้นความทรงจำอันเร่งด่วน ก่อนจะพบว่าในความทรงจำอันลางเลือนนั้น เฟิงหลุนคนเก่าได้ร่วมอภิรมย์กับท่านแม่ทัพอยู่ 5 ครั้ง !             ห้าครั้งภายในสองปี OMG !  มันน่าจดจำมาก ๆ คิดแล้วเฟิงหลุนก็อยากร้องไห้ทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD