บทที่ ๒ # ทะลุมิติมาเพื่อลูบหน้าท่านแม่ทัพ
“อี๋เหนียงเจ้าคะ ไปนั่งที่ศาลาริมบึงเหลียนฮวาดีไหมเจ้าคะ ตรงนั้นลมโชย น่าจะสดชื่นเจ้าคะ” อวิ๋นยี่แนะนำ มีดอกบัวเหรอ ก็ดีนะ เพราะเขาชอบอยู่แล้ว ฝักบัวอร่อยดี ว่าแล้วก็อยากแล้วสิ
“ก็ดีนะ งั้นไปกันเถิด” เฟิงหลุนลุกขึ้น สามบ่าวผู้น่ารัก รีบจัดเตรียมข้าวของ ชิงชิงเตรียมกู่ฉิน อวิ๋นยี่เตรียมชากับขนม ลี่จิวเดินตามผู้เป็นนายไปริมบัว โดยมีจูล่งเดินตามมาด้วย
ริมบึงเหลียนฮวา มีกอบัวสีสันละลานตา ต่างส่งกลิ่นหอมละมุนลอยมาให้ชื่นใจ นำพาความภิรมย์มาสู่ชายหนุ่มผู้หลงยุค ถึงกับเคลิ้มไปเลยทีเดียว ในโลกโน้น เขาไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวนั่นนี่สักเท่าไหร่ เพราะทำแต่งาน และห่วงเรื่องโบนัสด้วย
ยิ่งช่วงที่เขาอยู่นั้น มีการแพร่ระบาดของโรคร้าย อย่างโควิด 19 สายพันธ์ต่าง ๆ รวมทั้งการทำงานของภาครัฐที่ล้มเหลว ทำให้การท่องเที่ยวจำต้องงดไปโดยปริยาย การมาอยู่ในโลกโบราณแบบนี้ จึงถือว่าดีที่สุด เพราะไม่ต้องห่วงและกังวล ว่าวันนี้กูจะติดโควิดไหม กูเป็นรึยัง เพื่อนบ้านกู เขาเป็นโควิดไหม ทุกอย่างระแวงไปหมด
แต่โลกนี้ ไม่จำเป็นจะต้องวิตกกังวลแบบนั้นแล้ว มันช่างดีจริง ๆ ชายหนุ่มปลื้มใจที่สุด
ลมเย็น ๆ โชยมาทำให้หัวใจสงบนิ่ง เมื่อดวงตาคู่สวยมองไปรอบ ๆ บึง ชายหนุ่มผู้มาไกลยิ่งถูกใจมากขึ้น จึงนั่งลงบนตั่งตัวใหญ่ อันที่จริงควรเป็นเตียงนะเพราะใหญ่มาก นอนสองคนได้สบาย โดยไม่ต้องเบียดกัน
เฟิงหลุนเอนกายนอนลงบนตั่ง จากนั้นก็จิบน้ำชาดอกโม่ลี่ฮวา หรือชาดอกมะลิ ยิ่งจิบความหอมละมุนของดอกโม่ลี่ก็ตลบอบอวลในช่องปาก ชายหนุ่มยิ่งเคลิบเคลิ้ม
ในโลกโน้นไม่มีหรอกจะมามีชีวิตแบบสุนทรีทุกอย่างต่างก็รีบเร่ง และเห็นแก่ตัว จึงไม่มีอารมณ์มาผ่อนคลายกับบรรยากาศแบบนี้แน่นอน
เมื่อมีความสบายใจไร้ซึ่งความทุกข์ ใบหน้าของเฟิงหลุนในยามนี้จึงมีชีวิตชีวา ดูน่ามองและยวนใจ ปกติเกอผู้นี้ก็งดงามอยู่แล้ว แม้ไม่ถึงกับล่มบ้านล่มเมือง แต่ดวงหน้านั้นนวลเนียนเหมือนพระจันทร์ทรงกลด เจิดจรัสแผ่รัศมีความงามและอบอุ่นออกมา
เมื่อใครหลายคนได้เห็นใบหน้าเนียนผุดผาด ต่างก็ไม่อาจถอนตัวและถอนสายตาไปจากเกอคนนี้ไปได้ หมายถึงเฟิงหลุนคนใหม่นะ คนเก่าแม้จะงดงามแต่ทว่ามีแววตาเรียบนิ่ง ว่านอนสอนง่าย ไม่มีแววตาแห่งความมีชีวิตชีวาแบบนี้ จึงทำให้ถูกเมินบ่อยครั้งบางครั้งจึงได้แต่นึกน้อยใจในชะตากรรมของตน
แต่ทว่า…ความงดงามดุจสวรรค์ปั้นแต่งของเฟิงหลุนในวันนี้ ทำให้บรรดาบ่าวไพร่ผู้ตามนายของตนมาที่ศาลาริมบัว ต่างเผลอไผลจ้องมองอย่างตกตะลึง จนลืมหายใจกันเลย
วันนี้อี๋เหนียงของพวกตนดูงดงามดั่งเทพเซียน ถ้าท่านแม่ทัพได้เห็นใบหน้างามตอนนี้ ท่านคงไปไหนไม่รอดเป็นแน่ บรรดาคนสนิทของเฟิงหลุนคิด นัยน์ตาแวววาว ใบหน้าแดงระเรื่อ
“ลมโชยดีจัง แถมมีกลิ่นหอมของดอกบัวอีกด้วย ข้าชอบจัง” คนงามเอ่ยยิ้ม ๆ
“เจ้าค่ะ ที่นี่อี๋เหนียงชื่นชอบมาก” ลี่จิวชอบใจเมื่อเห็นผู้เป็นนายมีความสุข
“ข้าง่วง อยากจะนอนแล้ว” พูดจบก็เอนกายลงนอน กินอิ่มแล้ว หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนเป็นธรรมดา
จากนั้นเฟิงหลุนก็หลับไป ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นและดอกบัวหลากสีสันทั้งตูมและบาน
เวลาผ่านไป เฟิงหลุนคงหลับอยู่ โดยมีบรรดาบ่าวไพร่ที่รักและซื่อสัตย์อยู่ข้าง ๆ คอยพัดวีและไล่แมลงให้
รวมทั้งบรรเลิงกู่ฉิน เพื่อขับกล่อมผู้เป็นนายให้นิทราอย่างมีความสุข ดังนั้น จิตของคนยุคอนาคตจึงลอยล่องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีหยุดพัก
จนกระทั่งไปพบเจอผู้ชายคนหนึ่ง มีรูปร่างใหญ่โตหน้าตาหล่อเหลาคมสัน ใบหน้าคร้ามเต็มไปด้วยหนวดเครา ดูดิบเถื่อนและถมึงทึง ที่สุด
ชายร่างสูงใหญ่คนนั้น ขี่ม้านำขบวนกองทหารนับหมื่นนาย ดูน่าเกรงขามและพรั่นพรึง ดูแล้วน่าจะกลับเมืองหลวง เพราะเหล่าทหารหาญต่างกู่ก้องร้องด้วยความยินดี ทุกคนมีความสุขเหลือเกิน คงเพราะได้รับชัยชนะและกลับบ้านเพื่อพบเจอลูกเมียพี่น้องกระมัง
เหล่าทหารหาญแซ่ซ้องสรรเสริญแม่ทัพของตนไม่ขาดปาก ว่าเก่งกล้าสามารถและเฉลียวฉลาดยิ่ง ทำให้กองทัพนำชัยชนะมาสู่เมืองหลวงได้เช่นนี้
เฟิงหลุนลอยเข้าไปใกล้ ๆ ชายหนุ่มร่างใหญ่ เขาคงเป็นหัวหน้า หรืออีกทีน่าจะเป็นแม่ทัพคนเก่งที่เหล่าทหารยกย่องนั่นแหละ ร่างโปร่งใสลอยเข้าไปอย่างเผลอตัว จนใบหน้าทั้งคู่ชนกัน ต่างคนต่างชะงัก และท่านแม่ทัพรูปงามพลันกระพริบตาปริบ ๆ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณอย่างสงสัย
หนุ่มหลงยุคตกใจจนหัวใจสั่น เมื่อเขาเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นชัดเจน จนสัมผัสกับลมหายใจอุ่นร้อน ใบหน้าขาวใสของเฟิงหลุนก็ขึ้นสีอย่างไม่รู้ตัว
ฝ่ายแม่ทัพร่างใหญ่ หลังจากชะงักไป เพราะรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างมาชนจมูกของตน แม้จะมองไปทั่วก็ยังไม่พบสิ่งใด แล้วลมหายใจอุ่น ๆ รวมทั้งกลิ่นหอมของดอกโม่ลี่ฮวาได้รวยระรินเข้าไปในจมูกของตน
หยางอี้กวาดสายตาไปรอบบริเวณอีกครั้ง แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติยิ่งทำให้สงสัยยิ่ง ไม่พบเจอสิ่งใด แล้วกลิ่นหอมนี้มาจากไหนกัน ทำไมเมื่อได้กลิ่นกลับพาใจให้หวั่นไหวยิ่งนัก
แม่ทัพหนุ่มยกมือมากุมหน้าอก เมื่อหัวใจแกร่งเต้นแรงขึ้นมา โดยมีสายตาของเฟิงหลุนมองแม่ทัพหน้าโหดอย่างไม่กระพริบตา ‘ผู้ชายคนนี้จะเป็นแม่ทัพหยางอี้ไหมอะ จะใช่สามีกูเปล่าวะ’
แค่ก ! แค่ก ! เอิ่ม...สามีของเฟิงหลุนคนเก่าไหมนะ ว่าแต่ทำไมเขามาโผล่ที่นี่กัน ก็นอนอยู่ศาลาริมบัวนั่นนี่นา แล้วจึงเคียงคอเล็กน้อย มองดูแม่ทัพตัวใหญ่อีกรอบ
‘ถ้าลูบแล้วมันจะเป็นยังไงนะ จะนุ่มมือบ้างปะนี่’ คิดได้แบบนั้น การกระทำจึงไวด้วยความเร็วแสง ชายหนุ่มจากศตวรรษที่ 22 จึงยงมือลูบใบหน้าแกร่งทันที
ทันทีที่มือนุ่มแตะใบหน้า คนกระทำถึงกับร้อนวูบวาบ ฝ่ายคนนั่งหลังม้าคนถูกบางสิ่งลูบไล้ใบหน้า ก็ชะงักเป็นครั้งที่ 2 รอบนี้จึงดึงบังเ**ยนม้าให้หยุด ทำให้ขบวนทหารหาญต้องหยุดตาม
พลางมองหน้ากันด้วยความมึนงงว่าเกิดเหตุใด แม่ทัพของตนจึงหยุดม้าหรือมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเช่นนั้นหรืออย่างไร ต่างคนต่างระแวดระวัง สายตากวาดมองไปทั่ว
แม่ทัพใหญ่หยางอี้ มองหามือผู้ลูบไล้ใบหน้าของตนแต่กลับไม่พบ ทำให้ยิ่งร้อนรนอยู่ในอก ดวงตาคมกล้าส่องประกายสีทองเจิดจ้าขึ้นมา
ทำให้เฟิงหลุนชะงักค้าง เผลอมองตาของอีกคนเข้าไปข้างใน เห็นแววตาสั่นไหวอยู่ในนั้น หัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นมาอีกรอบชายหนุ่มจากยุคอนาคต จึงยุติการลูบใบหน้าของอีกคนก่อนจะถอนหายใจ จากนั้นจึงถอยห่าง ล่องลอยจากไป ไกลแสนไกล พร้อมกับกลิ่นหอมของดอกโม่ลี่ ได้ลอยตามลมหายไปด้วยเช่นกัน !
หยางอี้เมื่อรับรู้ว่ามือนุ่มหอมกรุ่นที่จับใบหน้าของตนได้หายไปแล้ว หัวใจก็ร้าวรานแปลก ๆ อย่างไม่เข้าใจ ว่าเหตุใด ตนนั้นถึงเป็นเช่นนี้
“พวกเจ้าได้กลิ่นดอกโม่ลี่บ้างหรือไม่” ท่านแม่ทัพเอ่ยกับจิ้นไห่และซินเทียน ผู้เป็นองครักษ์ของตน
ผู้ถูกกล่าวถึงชะงัก แล้วมองมองตากันก่อนส่ายหน้า พร้อมกับรายงานผู้เป็นนาย
“ไม่ขอรับ…พวกข้าไม่ได้กลิ่นเลยขอรับ” จิ้นไห่ตอบ
“แล้วกลิ่นโม่ลี่ฮวามาจากที่ใด” พึมพำกับตนเอง
“นายท่านได้กลิ่นดอกโม่ลี่หรือขอรับ” ซินเทียนถามบ้าง
“อืม” ผู้เป็นนายตอบเบา ๆ แต่คนทั้งคู่กลับได้ยินเพราะมีวรยุทธ์ขั้นสูง
“ที่นี่ไม่ปรากฏว่ามีดอกโม่ลี่นะขอรับ” จิ้นไห่เอ่ยอีกรอบ
“แต่ที่เรือนอนุ 9 ปลูกไว้มากอยู่นะขอรับ บางทีอนุ 9 อาจให้ถุงหอมแก่นายท่านมาก็ได้นะขอรับ” ซินเทียนคาดเดาในส่วนที่ใกล้เคียงกับความจริง
“อนุ 9 ไม่ได้ให้ถุงหอมแก่ข้า” ผู้เป็นนายเอ่ย องครักษ์ทั้งสองมองตากันอีกรอบ แล้วท่านแม่ทัพได้กลิ่นมาจากไหน พวกตนไม่เห็นจะได้กลิ่นอันใดเลย
เห็นสีหน้าฉงนงงงวยขององครักษ์ข้างกาย ท่านแม่ทัพก็ถอนหายใจ แต่เมื่อหันมองขบวนทหารทางด้านหลัง
ท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เป็นต้องกระพริบตา เพราะลืมไปว่าตนเป็นคนหยุดบังเ**ยนม้า ทำให้เหล่าทหารหาญพลอยชะงักไปด้วย แม่ทัพหยางอี้เลยกระทุ้งท้องม้าเบา ๆ เพื่อให้อาชาตัวโตเดินต่อไป เพราะอีกไม่กี่ชั่วราตรีกาล จะเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว
เหล่าทหารเมื่อเห็นผู้เป็นนายออกเดินทางต่อก็ดีใจที่จะได้กลับถึงบ้านเสียที ต่างก็กู่ก้องด้วยความสุขล้นในหัวใจ
บรรดาลูกเมีย และครอบครัว คงดีในเป็นอย่างมาก เมื่อคนเป็นที่รักจะกลับเข้าสู่อ้อมกอดแล้ว แม้บางครอบครัวจะเสียใจ เมื่อนายทหารบางคนเสียชีวิตในหน้าที่ แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ภาคภูมิใจ เพราะได้เสียสละเพื่อบ้านเมืองของตน