กลิ่นบุหรี่เจือจางในอากาศลอยมาแตะปลายจมูก ฉันถึงกลับนิ่วหน้าด้วยความหงุดหงิด เพราะไม่เคยชอบกลิ่นเหม็นของมันที่ชวนเวียนหัวแบบนี้
พออารมณ์ไม่ดีก็นอนต่อไม่ได้ ฉันลุกขึ้นมานั่งสะลืมสะลือทั้งที่ผมเผ้าไม่ได้เซททรง ตั้งสติได้ก็รีบลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็รีบอาบน้ำ ก่อนถือวิสาสะหยิบเสื้อผ้าเฮียยิมมาใส่
ยังไม่เลิกสูบอีกเหรอ..
ฉันกำหมัดแน่น ก่อนที่จะก้าวเท้าปึงปังเข้าไปหาคนตัวสูงที่ระเบียง แล้วคว้าบุหรี่ที่เจ้าตัวถืออยู่มาถือเอาไว้
“บอกแล้วไงว่าไม่ให้สูบ” ฉันมองเขาตาแข็ง อาบน้ำไม่ได้ทำให้ใจเย็นลงเลยสักนิดเดียว
“ยุ่งไรด้วย” เขาตวัดหางตามอง
“.....”
“ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะได้ไปส่งบ้าน”
“ไม่กลับ”
“ตามใจ”
เขาละสายตาจากการมองวิวด้านนอก ก่อนจะหันหลังพิงระเบียงพร้อมกับหยิบบุหรี่ซองในกระเป๋ากางเกงออกมาสูบ
ใบหน้าคมคายยักคิ้วกวนประสาท พลางคาบบุหรี่ไว้ที่ปากแล้วกระตุกยิ้มเยาะใส่
“บอกว่าเลิกสูบไงวะเฮีย” ฉันที่เพิ่งจะทิ้งบุหรี่ใส่โถเขี่ย ทำท่าจะเข้าไปคว้ามวลที่ปากเขา แต่เจ้าตัวก็คว้าแขนฉันไว้แล้วชูขึ้นสูง จนปลายเท้าฉันต้องเขย่งตาม
“อ้ะ หนูเจ็บนะเฮีย” ร้องเจ็บแล้วเบ้หน้าเมื่อคนตัวสูงกว่าออกแรงบีบข้อมือหนักขึ้น
“บอกว่าอย่ายุ่งไงวะ” เรียวคิ้วเข้มขมวดดุ แต่ฉันก็ยังเชิ่ดปลายคางสู้อยู่ดี
“แล้วถ้าฟีนจะยุ่งล่ะ เฮียจะทำไม”
“ถ้าบอกว่าอย่าเสือก.. จะแทงใจดำเกินไปปะวะ”
ฉันถึงกับสะอึกในลำคอ หน้าถอดสีกับประโยคเมื่อครู่
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าเฮียยิมมันปากหมา แต่ก่อนคบกันก็ขอแล้วว่าบางทีให้ระวังคำพูดบ้าง แต่คราวนี้อาจจะเป็นเพราะเลิกกันแล้ว เขาเลยไม่ได้แคร์คำพูดอะไร
หน็อยไอ้บ้านี่
ฉันก้มหน้าแล้วมองค้อนเขาด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่จะง้างกำปั้น ชกเข้าที่หน้าท้องแข็งของอีกฝ่ายเต็มแรง จนเจ้าตัวร้องจุกยกมือกุมท้องยกใหญ่
“โอ้ย” เฮียยิ้มขมวดคิ้วใส่
“แต่ฟีนจะเสือก”
“.....”
“จะเสือกทุกเรื่องของเฮียเลย ไม่แทงใจดำหรอกค่ะ ไม่รู้หรอว่าก่อนเจอฟีน.. เฮียเจออะไรไปบ้าง”
ฉันเย้ยแล้วใช้นิ้วดันหน้าผากอีกฝ่ายที่บังอาจพูดจาไม่เข้าหู ก่อนจะทำหน้าซึมจ๋อย เพราะยังไม่หายระคายหูจากประโยคเมื่อครู่เลยสักนิดเดียว
หรือเพราะว่าความเป็นห่วงของฉัน มันไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว
“เฮียบอกจะเลิกรักฟีนก็ไม่เห็นเป็นไร..”
“ฟีน”
“แต่อย่าเลิกรักตัวเองได้มั้ย หนูขอร้อง”
เฮียยิมเรียนจบแล้วออกมาทำร้านสักเป็นของตัวเอง เห็นแบบนี้เขาทำงานหนักแล้วรายได้แต่ละเดือนก็มากพอที่จะช่วยส่งเงินให้น้าวรรณใช้ด้วย
เขาเคยเป็นพวกโหมงานไม่หลับไม่นอน จนร่างกายเกือบแย่ก็เลยเริ่มเพลาลงบ้างแล้ว
เราสองคนเคยช่วยกันรีโนเวทร้านนี้จนกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป รวมถึงเหล่าผู้มีชื่อเสียงบนโลกอินเทอร์เน็ตก็เคยเข้ามาใช้บริการแล้ว
คนอื่นอาจจะมองไม่เห็นสิ่งที่เขาทำ แต่ฉันเห็น.. ตั้งแต่วันแรกที่เราได้คบกัน
หลังจากเกิดการทะเลาะแบบพอหอมปากหอมคอ ฉันก็ลุกขึ้นมาทำกะเพราหมูสับจนมันฉุนไปทั่วครัว พร้อมเสิร์ฟไข่ดาวไข่แดงไม่สุกกำลังน่าทานโปะลงบนหน้าข้าวพอดิบพอดี
“ทำอะไร” เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของห้องเดินถือพวกถุงขนมขบเคี้ยวติดมือมาด้วย
นึกว่าหายไปไหนไกล ที่แท้ก็ไปซื้อขนมมาติดห้องนี่เอง
“ทำข้าวเช้าให้เฮียยิมไงคะ”
“ไอ้เข้มซื้อของมาเติมหรอ”
“เปล่าค่ะ ฟีนสั่งให้เขามาส่ง”
“กลับบ้านไปได้แล้ว”
ฉันแสร้งทำหูทวนลม ลอยหน้าลอยตาใส่ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะถอนหายใจยาวพรืด ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจแค่ไหน
พอจัดจานเสร็จฉันก็เงยหน้ามองคนตัวสูง เขาทำหน้าเหมือนอาหารดูไม่ค่อยน่าอร่อย ฉันเลยหรี่ตาแล้วเดินสาวเท้าเข้าไปประชิดตัวเฮียยิม
“อาบน้ำแล้วหรอ..”
คนตัวสูงกว่าหลุบตามองต่ำ ส่วนฉันก็เงยหน้าช้อนสายตาขึ้นมอง ก่อนจะฝังจมูกลงกลางอกกำยำ แล้วสูดดมกลิ่นหอมจากเสื้อเขาฟอดใหญ่
“หอมจัง” ฉันแยกยิ้มหวาน ก่อนที่จะถูกมือหนาดันหน้าผากให้ออกห่าง
“อย่ายั่ว”
“แต่งตัวมิดชิดขนาดนี้ ยั่วยังไงคะ”
“ยั่วโมโห”
พูดจบเฮียยิ้มก็จับไหล่ฉันให้กระเถิบตัวออกห่าง เดินผ่านอาหารที่ฉันทำโดยที่ไม่ได้สนเลยว่าตั้งใจทำให้มากแค่ไหน
“เฮียไม่กินข้าวฝีมือหนูก่อนล่ะคะ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงน้อยใจ พลางเหลือบสายตามองผัดกะเพราตาละห้อย
“กินข้างนอกมาแล้ว” เขาตอบกลับเสียงเรียบ หยิบจับนู่นนี่ในครัว แทบจะไม่ได้สนใจฉันเลยด้วยซ้ำ
“ได้ไงอ่ะ”
“กลับบ้านไปได้แล้ว”
“พูดเป็นอยู่แค่ประโยคเดียวเหรอคะ ไม่อยากเห็นหน้าฟีนขนาดนั้นเลยหรือไง”
ฉันกอดอกทำหน้าแง่งอนขั้นสุดใส่อีกฝ่าย ที่เขาดูไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจสักเท่าไหร่
หนำซ้ำยังถอนหายใจใส่ แล้วเบือนหน้าหนีตอบแบบขอไปทีอีกต่างหาก
คู่สนทนายกมือขึ้นเสยผมด้วยอาการหัวเสีย เขามองมาที่ฉันไม่ละสายตาไปไหน โดยที่ฉันไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังน้ำตาคลอต่อหน้าเขาไปซะแล้ว
“เพราะป๊าใช่มั้ยเฮียถึงบอกเลิกฟีน..”
“.....”
“ถ้าฟีนไม่ได้มีค่าพอให้เฮียสู้ ฟีนจะได้ยอมแพ้เหมือนกัน”