หลังจากแยกย้ายกันในคืนนั้นแล้ว เราทั้งคู่ต่างก็ไปทำความเข้าใจกับครอบครัวจนทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี โชคดีที่ทุกคนต่างก็ยอมรับการตัดสินใจของเรา นั่นเพื่อหลานตัวน้อยที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลก โดยเฉพาะป๊าที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจเพราะท่านยอมลดทิฐิเพราะอยากให้หลานมีพ่อเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ชีวิตฉันก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ทว่ากลับมีบางอย่างที่ต้องทำใจนั่นคือการต้องพบเจอกับนายฟีฟ่าบ่อยขึ้น เพื่อจัดการเรื่องงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ฉันรู้สึกว่านายฟีฟ่าเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น จากที่นาน ๆ จะเห็นหน้ากลับเห็นเกือบทุกวัน ได้ยินเสียงทุกวันไม่เคยขาด ทำทีโทรมาปรึกษาเรื่องงานแต่ง แล้วก็ตบท้ายด้วยการกวนประสาทจนฉันต้องด่าให้ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักราวกับถูกใจมาก สงสัยจะเป็นโรคจิตชอบถูกด่ากระมัง
ตอนนี้ฉันกำลังขับรถไปที่ร้านเวดดิ้งของอีโบ๊ท โดยนัดหมายกับนายฟีฟ่าให้ไปเจอกันที่นั่นห้าโมงเย็น ใจจริงว่าจะตัดชุดใส่เองให้สมกับเป็นดีไซเนอร์มือทอง แต่ติดตรงเวลากระชั้นชิดเลยตัดสินใจอุดหนุนร้านเพื่อนแทน มันเปิดร้านเวดดิ้งมาได้สองปีแล้ว กิจการกำลังไปได้สวย มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่หยุดหย่อน นั่นเพราะมันเป็นคนที่ใส่ใจทุกรายละเอียดมาก งานเนี้ยบทุกฝีเข็มเลยทีเดียว
“สวัสดีค่ะพี่แอม” เมื่อเดินเข้าไปในร้านฉันก็เอ่ยทักทายพี่แอมซึ่งเป็นลูกจ้างของทางร้าน
“สวัสดีค่ะคุณข้าว ว่าแต่เจ้าบ่าวไม่มาด้วยกันเหรอคะ” พนักงานสาวสวยถาม
“กำลังเดินทางมาค่ะ”
“งั้นเชิญนั่งดื่มน้ำส้มคั้นเย็น ๆ รอก่อนนะคะ คุณโบ๊ทกำลังคุยกับลูกค้าอีกรายในห้อง”
“ค่ะพี่”
ฉันเดินไปนั่งรอที่โซฟาจากนั้นพี่แอมก็ยกแก้วน้ำส้มคั้นมาวางที่โต๊ะกระจกตรงหน้า ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานฉันเดินทางมาแค่แป๊บเดียวก็ถึง แต่สำหรับนายนั่นฉันไม่รู้ว่าเขาทำงานที่ไหนหรอก และไม่อยากรู้ให้รกสมองด้วย
“โทษทีที่ให้รอนานพอดีรถติดน่ะ” นั่งรอไม่นานเขาก็เดินเข้ามาในร้าน สวมชุดพนักงานออฟฟิศเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลกแลดูภูมิฐาน แถมยังเซทผมซะเท่เชียว หากไม่อคติเขาก็เป็นผู้ชายที่หล่อมากคนหนึ่งเลยล่ะ
“จะบอกทำไมต่างคนต่างมา ฉันไม่ได้รอนายสักหน่อย” มองหน้าเขาแวบหนึ่งแล้วทำเป็นเมิน ยกแก้วน้ำส้มคั้นมาจิบอย่างสบาย ๆ
“จะแต่งงานกันอยู่แล้วไม่คิดจะญาติดีกันบ้างเลยเหรอ” เขาว่าพลางเดินเข้ามานั่งข้างฉัน ทำเป็นบิดขี้เกียจแล้วเลื้อยมือมาโอบไหล่อย่างถือวิสาสะ
“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันบอกแล้วไงว่าเราจะแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้น” ฉันจ้องตาขวาง พยายามแกะมือตุ๊กแกนั่นออกแต่กลับไม่เป็นผล
“เล่นละครหน่อยไม่ได้รึไง วันนี้มาลองชุดนะครับคุณผู้หญิง เดี๋ยวก็ไม่สมบทบาทหรอก” เขายิ้มมุมปาก ยักคิ้วให้กวน ๆ เห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ซะเหลือเกิน
“ไม่จำเป็นต้องถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้ เพราะนี่ร้านโบ๊ทเพื่อนฉันเองย่ะ”
“แล้วไงใครแคร์ น้องโบ๊ทจะได้รู้ว่าเราแต่งงานกันเพราะรักยังไงล่ะ”
“พูดเป็นเรื่องตลกไปได้ ใคร ๆ ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่ามาหัวหมอไปหน่อยเลย”
“มากันแล้วเหรอเจ้าบ่าวเจ้าสาว สวัสดีค่ะพี่ฟีฟ่า” โบ๊ทเดินยิ้มมาหาเราหลังจากคุยกับลูกค้าเสร็จแล้ว
นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นนายฟีฟ่ากำลังโอบไหล่ฉัน จนเริ่มหมั่นไส้มันไปอีกคน ตอนแรกชอบเขามากไม่ใช่เหรอควรจะร้องไห้เสียใจสิถึงจะถูก
“สวัสดีครับน้องโบ๊ทคนสวย รบกวนด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะพี่ฟีฟ่าขา จะจัดชุดที่เลิศที่สุดในร้านให้เลยค่ะ”
“อย่ามัวแต่โม้รีบพาไปลองชุดสิยะ เสียเวลาทำมาหากิน”
“ค่ะคุณแม่ ตามมาทางนี้เลยค่ะ” ว่าแล้วโบ๊ทก็ผายมือเชิญเราทั้งคู่ไปดูชุดที่แขวนอยู่อีกมุม
ในร้านมีชุดให้เลือกค่อนข้างเยอะ ดีไซน์สวย ๆ ทั้งนั้นจนเลือกไม่ถูก ฉันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นเจ้าสาวว่าตื่นเต้นมากแค่ไหน แม้รู้อยู่แก่ใจว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี
“เห็นแกบอกว่าจะจัดแบบจีนใช่ไหม” เมื่อมาถึงแล้วโบ๊ทก็เดินไปหยิบชุดกี่เพ้าสีแดงมาให้ ดีไซน์เรียบหรูปักลวดลายสวยงาม ฝีมือตัดเย็บประณีตเลยทีเดียว “อ่ะ”
“สวยอ่ะแก ฝีมือดีไม่เคยตกเลยนะยะ” ฉันรับชุดนั้นมาแล้วทาบบนตัว ยิ้มตลอดเวลาราวกับมีความสุขมากที่ได้เห็นชุดนี้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องไปดูชุดอื่นให้เสียเวลา ในเมื่อได้ของดีถูกใจแล้ว
“แน่นอนเพิ่งเสร็จเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง ไม่นึกว่าแกจะได้เจิมเป็นคนแรกเลย งั้นเข้าไปลองในห้องก่อน เดี๋ยวฉันจัดการหาชุดให้พี่ฟีฟ่าก่อน”
“โอเค ๆ” ฉันแสดงท่าทีดี๊ด๊าจนลืมไปเลยว่าเขาอยู่ตรงนั้นด้วย เมื่อหันไปมองหน้าก็พบว่าอีกฝ่ายยิ้มอยู่ก่อนแล้ว ฉันจึงหุบยิ้มลงทันทีเปลี่ยนเป็นเบะปากแล้วเข้าไปในห้องลองเสื้อ
ขณะกำลังเปลี่ยนชุดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเพื่อนสาวพูดจาแทะเล็มว่าที่เจ้าบ่าวของฉัน สรุปว่าที่มันไล่ฉันเข้ามาในห้องนี้เพื่อต้องการได้อยู่กับเขาสองต่อสองสินะ อิเพื่อนฉลาดแกมโกง ฮ่าๆ ๆ
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วฉันก็ยืนส่องกระจกบานใหญ่ เอี้ยวตัวซ้ายขวามองดูความเรียบร้อย ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะพอดีไม่คับไม่หลวม ความยาวของชายกระโปรงก็อยู่ในช่วงกำลังดี ราวกับโบ๊ทตัดชุดนี้ไว้เพื่อฉันโดยเฉพาะซะอย่างนั้น
“เป็นไงบ้างแกโอเคมะ” ฉันเดินออกไปก็พบว่าตอนนี้นายฟีฟ่าได้เปลี่ยนชุดแล้วเหมือนกัน เขายืนอยู่ตรงหน้าสวมชุดคอจีนสีแดงลวดลายเดียวกับชุดที่ฉันสวมใส่อยู่ ยืนจ้องมองมาแทบไม่กะพริบตา จะจ้องอะไรนักหนาก็ไม่รู้
“สวยมากแก!! สวยจนฉันแทบจะร้องไห้ภูมิใจกับผลงานของตัวเองจริง ๆ” โบ๊ทเดินวนรอบตัวฉันด้วยความภาคภูมิใจกับผลงานของตัวเอง “พี่ฟีฟ่าว่าไงคะเจ้าสาวสวยไหม”
“สวยมาก” เขาเอ่ยเบาเสียงราวกับกำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิดอะไรบางอย่าง
“ฉันสวยอยู่แล้วย่ะไม่จำเป็นต้องชมให้เสียเวลา" ฉันตอบกลับเสียงดังทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย
“ใครบอกว่าฉันชมเธอฉันชมชุดต่างหาก น้องโบ๊ททำชุดสวยมากเลยนะครับ เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะมาใช้บริการอีกแน่นอน”
พูดอย่างนี้หมายความว่าไง? นายจะแต่งงานอีกรอบงั้นเหรอ พูดจาไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด เพื่อนสาวฉันเองก็ยิ้มแหย ๆ หรี่ตามองมาที่ฉัน
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับน้องโบ๊ท ผมแค่ล้อเล่นเองน่า คงไม่มีใครคิดอยากจะแต่งงานหลายรอบหรอกจริงไหม” เขาจ้องมองมาราวกับตั้งใจถามฉันโดยตรง
“นายถามฉันงั้นเหรอ” ฉันเลิกคิ้วถามกลับ
“ก็ไม่รู้สินะคิดเอาเอง” คนพูดทำลอยหน้าลอยตาอย่างน่าหมั่นไส้
“ถ้างั้นฉันจะตอบให้นายฟังชัด ๆ เพราะได้แต่งงานกับนายเป็นคนแรกยังไงล่ะถึงได้คิดอยากจะแต่งอีกครั้งชัดเจนไหม” ฉันพูดเพราะอยากอาชนะแค่นั้นเอง ใจจริงไม่เคยคิดอยากจะแต่งงานด้วยซ้ำ
“แล้วคิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้นเหรอยัยตัวแสบ คนอย่างฉันไม่ยอมให้ใครมาหยามศักดิ์ศรีได้ง่าย ๆ หรอกนะรู้ไว้ด้วย” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาก็ทำหน้าซีเรียสทันที
“แล้วคิดว่าฉันจะยอมทนอยู่กับคนอย่างนายไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ” เราก้าวเท้าเข้ามาเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ก็ลองดูแล้วกันว่าคนอย่างฉันจะกำราบเธอให้อยู่หมัดได้ไหม”
“ไม่มีทาง! คนอย่างนายมันก็แค่ผู้ชายไม่เอาไหน ทำตัวเจ้าชู้ไปวัน ๆ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าป๊าฉันไม่ยอมแต่งงานกับนายหรอก”
“พอได้แล้ว! จะทะเลาะกันไปทำไมเนี่ยอีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกันแล้วนะคะ” โบ๊ทเดินเข้ามาแทรกตรงกลาง ในขณะนั้นเองเจ้ามือถือของนายฟีฟ่าที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น เขาจึงรีบเดินไปรับสาย
Rrrr….
“ฮัลโหลครับน้องจอย”
ได้ยินอย่างนั้นใบหูฉันก็กระดิกทันที ตอนแรกนึกว่าชื่อนี้เป็นแค่ชื่อที่เขามโนขึ้นมาตอนเมาเท่านั้น ไม่นึกว่าคนชื่อจอยจะมีตัวตนจริง ๆ
“พี่มาทำธุระครับผม”