“ได้ครับเอาไว้ว่าง ๆ ค่อยนัดเจอกันนะ แค่นี้ก่อนนะพี่กำลังยุ่ง”
“จุ๊บ ๆ ครับผม”
ฉันไม่รู้ว่าทำไมต้องมาทนยืนฟังคำพูดแสลงหูพวกนี้ด้วยนะ โบ๊ทเหล่ตามองฉันเชิงตั้งคำถามว่าโอเคไหม ฉันเลิกคิ้ว ยิ้มแบบสตรองสื่อว่าเรื่องที่เกี่ยวกับเขาไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเลยสักนิด
“เพื่อนเหรอคะพี่ฟีฟ่า คุยกันน่ารักนะคะ” ยังจะกล้าถามอีกนะเพื่อนโบ๊ทชัดเจนขนาดนี้แล้ว
“เปล่าครับ เด็กในสังกัดผมเองล่ะคุยเล่น ๆ แก้เหงา ระหว่างรอแต่งงานครับ” เขาเอ่ยหน้าตาย เหลือบตามองมาที่ฉันแวบหนึ่ง ขอโทษฉันไม่รู้สึกอะไรค่ะ
“หล่อเลือกได้ก็งี้ละค่ะ แกต้องดีใจรู้ไหมข้าวที่ได้แต่งงานกับหนุ่มสุดฮอตอย่างพี่ฟีฟ่า”
“จ้า...โชคดีที่สุดในโลกเลยล่ะ” ฉันเอ่ยประชด “สรุปฉันเอาชุดนี้นะเดี๋ยวเข้าไปเปลี่ยนก่อน”
“อย่าเพิ่งสิยะถ่ายรูปคู่ให้ฉันก่อน ฉันจะเอาไปโปรโมทร้าน” โบ๊ทรีบรั้งมือฉันไว้ ดึงเข้ามายืนใกล้เขาอีกครั้ง
“เอาสิครับถ่ายที่ไหนดี” ท่าทีสบาย ๆ นั่นทำให้ฉันรู้สึกหมั่นไส้ซะเหลือเกิน
“ตามมาทางนี้เลยค่ะ”
โบ๊ทเดินนำหน้าพวกเราไป จากนั้นเขาจึงผายมือเชิญ “เชิญครับคุณผู้หญิง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าฉันหรอก”
“ได้! ไม่ชอบอย่างนี้ฉันจัดให้” ว่าแล้วก็จับข้อมือฉันกำไว้แน่น กึ่งลากกึ่งดึงไปโดยเร็ว
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะฉันเจ็บ!”
“เงียบ! ไม่งั้นฉันจับเธอจูบตรงนี้แน่” เขาหยุดเดินแล้วหันมาชี้หน้าขู่ ตอนแรกก็ว่าจะทำเป็นเก่งต่อแต่พอเห็นสีหน้าเขาแล้วก็ต้องยอมเพื่อเอาชีวิตรอดไว้ก่อน บทจะเอาจริงก็น่ากลัวซะเหลือเกิน
“ทั้งสองยืนชิดกันหน่อย พี่ฟีฟ่าโอบไหล่ยัยข้าวได้ไหมคะ”
เขารีบยกมือขึ้นโอบไหล่ฉันโดยเร็ว ฉันได้แต่ถอนหายใจรอให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว
“นั่นละค่ะ ยัยข้าวยิ้มหน่อยสิยะ”
“ยิ้มแค่นี้พอป่ะ” ฉันฉีกยิ้มกว้างประชด
“อีบ้า! ประชดเพื่อ” เมื่อเห็นอย่างนั้นนางก็วีนใส่ทันที
“อยากกลับไม่ใช่เหรอ ทนแค่แป๊บเดียวจะตายรึไง” ได้ยินอย่างนั้นฉันจึงหันขวับไปจะกล่าวตอบโต้ แต่ทว่าริมฝีปากเขากลับสัมผัสแก้มฉันเสียก่อน นั่นทำให้สิ่งที่ตั้งใจต้องหยุดชะงัก ยอมยืนนิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจ
“อุ๊ย! ดีมากค่ะพี่ฟีฟ่า” สิ่งที่เกิดขึ้นถูกอกถูกใจช่างภาพซะเหลือเกิน
แชะ!
“เสร็จแล้วใช่ไหมฉันจะได้เปลี่ยนชุดซะที” ฉันเอ่ยหลังจากผละตัวออกมาแล้ว ยกหลังมือขึ้นเช็ดที่แก้มตั้งใจให้เขารู้ว่าฉันรังเกียจการกระทำนั่นแค่ไหน แต่ทว่านั่นมันเป็นการแก้เขินต่างหาก ทำไมจะต้องเขินขนาดนี้ด้วยนะ แค่โดนหอมแก้ม แค่ได้กลิ่นกายที่หอมเร้าใจ แค่โดนจ้องมองด้วยสายตาหื่น ๆ โอ๊ย! ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย
“เสร็จแล้วจ้าเชิญไปเปลี่ยนชุดได้เลยทั้งคู่”
นั่นคือเสียงสวรรค์ที่ทำให้ฉันหลุดพ้นจากวินาทีอันสุดแสนจะอึดอัดนี้เสียที
หลังจากเปลี่ยนชุดแล้วก็ถึงเวลากลับ โบ๊ทเดินมาส่งเราทั้งคู่ถึงหน้าร้าน เมื่อร่ำลากันแล้วก็แยกย้ายกันกลับ ฉันไม่ยอมพูดกับนายฟีฟ่าตั้งแต่เปลี่ยนชุดมาแล้ว อีกฝ่ายคงรู้ตัวว่าฉันไม่พอใจที่เขาทำตัวรุ่มร่ามอย่างนั้น
“เดี๋ยว! ไม่คิดจะคุยกับฉันสักคำเลยเหรอ” เสียงนั่นไม่สามารถหยุดให้ฉันเดินตรงไปที่รถได้
“....”
“เป็นใบ้รึไงกัน จะโกรธอะไรนักหนาแค่หอมแก้มเอง มากกว่านี้ก็ยังเคยทำมาแล้ว”
ฉันไม่ตอบโต้อะไรได้แต่ยกนิ้วกลางให้แล้วขึ้นรถไป
แต่กๆ ๆ ๆ
ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างนี้เนี่ย รถสตาร์ทไม่ติดซะงั้น ลองหลายครั้งแล้วก็เป็นแบบเดิม
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ได้ยินเสียงเคาะกระจกฉันจึงหันไปมอง เป็นนายฟีฟ่านั่นเองที่ชะโงกหน้ามาตรงกระจกรถ แถมยังฉีกยิ้มราวกับต้องการเยาะเย้ย
“มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับคุณผู้หญิง”
“จะไปไหนก็ไปฉันแก้ปัญหาเองได้”
จะทำยังไงดีเนี่ยถ้าเรียกช่างมาซ่อมคงอีกนานกว่าจะได้กลับบ้าน หรือจะยืมรถโบ๊ทกลับก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยให้ช่างมาซ่อม คิดได้อย่างนั้นฉันจึงหยิบกระเป๋าแล้วเปิดประตูรถลงไป
“รถเป็นอะไรอ่ะ” อีกฝ่ายยังคงหน้าด้านยืนอยู่ข้างรถ ทั้งที่เขาควรจะไปตั้งนานแล้ว
“ยังจะมาถามอีกก็เห็นอยู่ว่าสตาร์ทไม่ติด” ฉันเอ่ยอย่างเซ็ง ๆ แล้วเดินผ่านหน้าเขาไป
“กลับกับฉันมะ นี่มันก็ใกล้จะมืดแล้วนะ” อีกฝ่ายยังคงเดินตามหลังมาติด ๆ
“ไม่ดีกว่า ฉันจะยืมรถโบ๊ทกลับบ้าน แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้ช่างมาซ่อม”
“จะไปรบกวนเพื่อนทำไมในเมื่อบ้านเราก็อยู่ข้างกัน จะเล่นตัวไปถึงไหนฉันไม่พาไปปล้ำหรอกน่า” ไม่ว่าเปล่าเขารั้งมือฉันไว้ไม่ให้เดินเข้าไปในร้าน
“ปล่อยฉันนะ!”
“มานี่เลย ถ้าแหกปากอีกแม้แต่คำเดียวฉันจูบแน่”
เอะอะขู่ เอะอะจูบ นายนี่มันเผด็จการชัด ๆ
เขาลากตัวฉันเข้าในรถจนสำเร็จ จากนั้นรีบขับออกไปจากหน้าร้าน ราวกับกลัวว่าฉันจะหนีเขาไปซะอย่างนั้น
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง โทรเรียกช่างแล้วให้เพื่อนเธอช่วยจัดการให้ พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันมาส่งที่นี่เอง” เขาเอ่ยขณะจ้องมองไปยังถนนสายหลัก
“ไม่ต้องมาสั่ง แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาส่ง ฉันนั่งแท็กซี่มาเองได้” ฉันปฏิเสธทุกความหวังดีจากเขา
“ฉันจะมาส่งมีปัญหาอะไรไหม ลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองกำลังท้อง ถ้าลูกเป็นอะไรขึ้นมาล่ะไม่มีปัญญาคิดเองรึไงห๊ะ!” เหตุผลที่เขาเข้ามาวุ่นวายในชีวิตฉัน ก็เพราะลูกเพียงคนเดียวเท่านั้นสินะ
“ถ้าไม่ใช่เพราะลูกนายคงไม่มาวุ่นวายกับชีวิตฉันสินะ” ทำไมฉันจะต้องรู้สึกน้อยใจด้วยนะ เรื่องนี้มันก็ชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แถมฉันยังเป็นคนพูดเองว่าเราจะแต่งงานกันแค่ในนาม
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะลูกฉันถึงได้เป็นห่วงเธอตลอดเวลาอยู่นี่ไงล่ะ”
“ถ้างั้นนายไม่ต้องห่วง เพราะฉันเองก็รักลูกเหมือนกัน ฉันไม่ยอมปล่อยให้ลูกเป็นอะไรไปหรอก เข้าใจนะ” จากนั้นฉันก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จา เอียงหน้ามองริมฟุตบาทข้างทาง นั่นเพราะตอนนี้รถกำลังติด ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก อยากจะเปิดประตูลงไปเสียจริง ๆ
“แล้วตอนนี้ยังแพ้ท้องอยู่ไหม” เขาหันมาถาม
“...”
“นี่เธอ”
“...”
“จะงอนไปถึงไหนเนี่ยไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”
“ใครงอนนาย อุ๊บ!”
เมื่อโดนถามจนรู้สึกรำคาญฉันจึงหันหน้าไปมองเขา แต่ทว่าในวินาทีนั้นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ตั้งแต่ตอนไหน เมื่อใบหน้าเราเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกฝ่ายจึงฉวยโอกาสนี้ประกบจูบทันที
ฉันพยายามผลักแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ แต่ทว่ากลับโดนรวบข้อมือไว้ ดันจนแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะรถ บดเบียดร่างกำยำเข้ามาจนฉันแทบกระดิกตัวไม่ได้
“อื้อ...”
เสียงร้องครางประท้วงในลำคอไม่เป็นผล ลิ้นเรียวยาวรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากอย่างถือวิสาสะ ตักตวงความหอบหวานอย่างชำนิชำนาญ เสียงลมหายใจกระเส่าดังระงมจนได้ยินถนัดหู นี่ฉันกำลังเคลิ้มกับรสจูบเขางั้นเหรอ ไม่จริงใช่ไหม
ทำไมเขาไม่ยอมหยุดเสียทีทั้งที่ฉันเองก็ยอมอ่อนข้อให้แล้ว ความร้อนแรงของรสจูบปลุกให้ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวราวกับโดนวางยาเสียสาวซะอย่างนั้น
“แฮ่กๆ ๆ” ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ
เมื่อตั้งสติได้ฉันก็...
เพี๊ยะ!
“ไอ้คนฉวยโอกาส ไม่อายรถคันข้าง ๆ รึไงกัน ฉันไม่ใช่คนหน้าหนาอย่างนายนะ”
“จะอายทำไมเรื่องของผัวเมีย ว่าแต่มีแรงตบแค่นี้เองเหรอ” เขาแสยะยิ้มท้าทายฉัน
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
ชอบความรุนแรงนักใช่ไหมฉันจัดให้สองครั้งติดเลยทีเดียว
“ฉันไม่ใช่เมียนาย!” ฉันพูดแบบเน้นคำ เพื่อให้เขารู้ตัวว่ากำลังคิดไปเองฝ่ายเดียว
“ยังไม่ใช่อีกงั้นเหรอ หึ ๆ ฉันจะเตือนความจำให้เธอเอง” ว่าแล้วเขาก็รวบตัวฉันเข้าไปกอดอีกครั้ง ไม่สนว่าข้าวของในรถจะกระจุยกระจาย เราจ้องตากันโดยไม่ได้มีความเสน่หาเจือเลยสักนิด แต่ทว่าไม่นานใบหน้าคมกลับโน้มลงมาประกบจูบอีกครั้ง เขาบดจูบอย่างเร่าร้อนสลับซุกไซร้ตามซอกคอ ลงลิ้นเรียวลากเลียอย่างหื่นกระหาย
“ปล่อยนะ อื้อ...อ๊ะ”
ไม่นานก็เลื้อยใบหน้าขึ้นมาประกบจูบอีกครั้ง เขาใช้ความชำนาญปลุกเร้าอารมณ์สวาทให้ฉันอย่างง่ายดาย
ปี๊บๆ ๆ
เสียงแตรรถคันที่อยู่ด้านหลังทำให้เราทั้งคู่ผละตัวออกจากกัน แต่ทว่าสายตาคมคู่นั้นยังคงจับจ้องใบหน้าฉันอยู่ตลอดเวลา ราวกับรู้สึกเสียดายช่วงเวลาที่กำลังเร่าร้อนนี้เหลือเกิน
“แม่ง! จะมาบีบอะไรตอนนี้วะ” เขาจิ๊ปากแล้วบ่นเบา ๆ หันไปสนใจขับรถต่อ
ส่วนฉันได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบกำลังจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง เพราะตอนนี้รู้สึกไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด ความต้องการปะทุขึ้นมาจนไม่สามารถขจัดความคิดไม่ควรพวกนั้นออกไปจากหัวได้ไปเลย ฉันควรโกรธที่เขาเอาเปรียบแต่ทว่ากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ไม่นะขวัญข้าว แค่นี้เธอก็ยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ เธอต้องทำตามคำพูดให้ได้ว่าเขาจะเป็นเพียงพ่อของลูกเท่านั้น