ผั๊วะ!
“ป๊าอย่า” เมื่อจับตัวนายฟีฟ่าได้ป๊าก็ซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าเต็มแรง
“มึงต่อยลูกกูทำไมวะ!”
“ก็ลูกชายมึงทำลูกสาวกูท้อง มึงได้ยินไหม”
เฮียกรเริ่มขำไม่ออกหันขวับไปมองหน้าลูกชายตัวเอง “มันเป็นอย่างที่เขาพูดไหม”
“ผม...ผมไม่รู้ว่าขวัญข้าวท้อง เพิ่งรู้ก็ตอนนี้ล่ะป๊า” เขาว่าพลางส่งสายตามองมาที่ฉันราวกับต่อว่าที่ไม่ยอมบอกเขาด้วยตัวเอง
“แล้วแกมั่นใจใช่ไหมว่าเด็กในท้องเป็นลูกแก”
“อ้าว! ทำไมพูดจาหมาไม่แดกอย่างนี้วะ ลูกสาวกูไม่ได้มั่วเหมือนลูกชายมึงนะเว้ย” ป๊าเริ่มไม่พอใจอีกครั้งจะทะยานตัวเข้าไปหาเรื่อง แต่ฉันกับน้องยังคงรั้งตัวไว้ได้ทันการ
ฉันเองก็ลุ้นว่านายนั่นจะตอบยังไง หากเขาบอกไม่ใช่หรือไม่แน่ใจฉันจะเกลียดผู้ชายคนนี้ไปตลอดชีวิต ไม่มีทางจะญาติดีกันแน่นอน
“ผมมั่นใจว่าเด็กในท้องเป็นลูกผมครับป๊า ผมจะรับผิดชอบขวัญข้าวกับลูกด้วยการแต่งงานครับ” เขาตอบเต็มเสียงอย่างไม่ลังเลจนฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
นี่ฉันหูฝาดหรือเปล่า นายนั่นบอกว่าจะรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับฉันงั้นเหรอ ไม่มีทาง! ฉันไม่ยอมแต่งงานกับนายเด็ดขาด กำลังจะอ้าปากปฏิเสธไปแต่ทว่าป๊ากลับชิงตัดหน้าก่อน
“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฉันไม่ยอมให้ลูกสาวเสียตัวฟรี ๆ หรอก”
“ป๊า! หนูไม่แต่งก็บอกแล้วไงว่าจะเลี้ยงลูกเอง เราสองคนไม่ได้รักกันแต่งไปก็ต้องเลิกกันอยู่ดี” ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ตอนแรกเข้าใจว่าจะมาด่าไม่นึกว่าป๊าจะเห็นดีเห็นงามด้วย
“ไม่ได้! ยังไงหนูข้าวก็ต้องแต่งเพราะฉันไม่มีทางให้หลานตกเป็นของไอ้ป้อเพียงฝ่ายเดียวแน่ แต่งแล้วหนูข้าวต้องย้ายมาอยู่บ้านฉันทันที” เฮียกรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ไม่ได้แต่งแล้วไอ้ฟีฟ่ามันต้องย้ายเข้ามาอยู่บ้านกู”
“ต้องมาอยู่บ้านกูสิวะเป็นสะใภ้ต้องมาอยู่บ้านผัวถูกต้องแล้ว”
“ไม่ได้! ลูกมึงต้องมาอยู่บ้านกู” ป๊าเถียงกลับ
“ลูกมึงต้องมาอยู่บ้านกูสิวะ”
“พอได้แล้วครับ! เรื่องนี้ผมกับข้าวขอคุยกันเองทุกคนแยกย้ายกลับไปก่อน” นายฟีฟ่ายุติการวิวาทด้วยการจูงมือฉันออกจากตรงนั้น
“นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย ไม่ไป!!” ฉันพยายามแกะมือเขาออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่าย ๆ
“เฮ้ย! มึงจะพาลูกสาวกูไปไหนวะ” ป๊าตะโกนตามหลังมา
“ตามมาเถอะน่าถ้าไม่ทำอย่างนี้มีหวังได้ทะเลาะกันทั้งคืนแน่” เขาหันมาถลึงตาใส่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จนฉันต้องเม้มปากแน่นยอมรับเหตุผลที่เข้าท่านั่นอย่างจำยอม
นายฟีฟ่าลากตัวฉันมาจนถึงสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ค่ำมืดอย่างนี้แทบไม่มีคนเลยด้วยซ้ำ บรรยากาศวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ยังดีที่มีเสาไฟส่องสว่างข้างทางอยู่เป็นระยะ พอให้อุ่นใจได้บ้าง
“จะปล่อยฉันได้หรือยังเนี่ย” เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นจามจุรีริมหนองน้ำแล้วฉันจึงเริ่มแกะมือเขาออก
“จะเอายังไงว่ามา” เขายอมปล่อย ยืนกอดอกมองหน้าฉันอย่างเอาเรื่อง
“ไม่เอายังไง ตามที่ฉันพูดยังไงก็ไม่มีทางแต่งกับนายแน่นอน”
“ทำอย่างกับฉันอยากแต่งกับเธอนักล่ะยัยตัวแสบ”
“ไม่อยากแต่งแล้วทำไมต้องพูดอย่างนั้นด้วยล่ะ ชอบสร้างภาพให้ตัวเองดูดีหรือไง ถ้าไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง ต่างคนต่างอยู่เพราะถึงยังไงบ้านเราก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ชัดเจนไหม” ทำไมรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องโกหก
“ถึงไม่อยากแต่งแต่ฉันก็มีความรับผิดชอบพอ ยังไงซะตอนนี้เธอก็ท้องลูกของฉันแล้ว ฉันไม่มีทางยอมปล่อยเธอไปง่าย ๆ หรอก” น้ำเสียงเขาจริงจังจนรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
“คิดเหรอว่าฉันจะยอมนายง่าย ๆ”
“แล้วคิดเหรอว่าฉันจะยอมง่าย ๆ เหมือนกัน ถ้าไม่เห็นแก่หน้าป๊าม๊าก็นึกถึงลูกบ้าง โตขึ้นมาแล้วไม่มีพ่อเหมือนคนอื่นจะรู้สึกยังไง ถ้าลูกเป็นเด็กมีปัญหารู้ไว้ด้วยนั่นเป็นเพราะเธอคนเดียว”
“ฉันจะเลี้ยงเขาให้ดี ไม่ให้เป็นเด็กขาดความอบอุ่น”
“ทำไมดื้อจังวะ เกิดมาเคยยอมใครบ้างไหมเธออ่ะ”
“นี่ล่ะตัวตนของฉันนายเองก็รู้ เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก” กำลังจะหมุนตัวเดินกลับไป แต่ทว่าเขากลับรั้งมือฉันดึงเข้าไปสวมกอดไว้แน่น ซบใบหน้าคมลงที่ซอกคอแล้วค้างไว้อย่างนั้น
ตึกตึก! ตึกตึก!
ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงอย่างนี้นะ นายต้องการเล่นตลกอะไรกับฉันอีกงั้นเหรอ
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” เมื่อได้สติฉันก็พยายามดันตัวเขาออก แต่ทว่าอ้อมกอดนั้นช่างแน่นหนาเสียเหลือเกิน
“เธอไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ แล้วทำไมหัวใจเธอเต้นแรงอย่างนี้ล่ะ ตื่นเต้นหรือไงที่โดนฉันกอด” เขาเอ่ยด้วยโทนเสียงนุ่มละมุนหู สร้างความประหลาดใจให้ฉันเป็นที่สุด
นายจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย
“คะ...ใครตื่นเต้น รังเกียจต่างหากล่ะ ปล่อยฉันได้แล้วไอ้บ้า เดี๋ยวยามก็คิดว่าเป็นเด็กวัยรุ่นใจแตกมาพลอดรักกันหรอก” น้ำเสียงฉันอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะไม่เคยโดนผู้ชายกอดอย่างนี้มาก่อน ทำไมถึงได้รู้สึกอบอุ่นอย่างนี้ ราวกับมีใครสักคนที่พร้อมจะปกป้องเราได้ทุกเมื่อประมาณนั้น
“แล้วไงใครแคร์ เราเป็นผัวเมียกันแล้วไม่เห็นจะสนใจอะไรเลย รู้ไหมทำไมฉันถึงกอดเธออย่างนี้”
“เพราะนายเป็นคนลามกยังไงล่ะ ชอบหาเศษหาเลยกับผู้หญิงไปทั่ว”
“นั่นเป็นนิสัยฉันส่วนนึง แต่ที่กอดเพราะอยากให้เธอรู้ว่าการมีใครคอยอยู่ข้าง ๆ ให้กำลังใจกันและกันมันดีกว่าการต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เธออาจจะกอดลูกได้ทุกวันทุกเวลาเมื่อลูกต้องการ ลูกได้รับความอบอุ่นจากเธอไม่เคยขาด แล้วเธอล่ะจะมีใครคอยกอดให้ความอบอุ่นใ ห้กำลังใจอย่างนี้บ้าง เธอก็รู้ว่าการเลี้ยงลูกมันเหนื่อย ยกตัวอย่างม๊าของเธอหรือม๊าของฉันสิ ถ้าไม่มีป๊ามาช่วยท่านคงจะเหนื่อยมากแน่ ๆ” ฉันเพิ่งรู้ว่าเขาสามารถพูดโน้มน้าวคนอื่นได้ดีอย่างนี้ ดีจนฉันเริ่มคล้อยตามแล้ว
พูดจบเขาก็คลายอ้อมกอดผละตัวออกมายืนจ้องหน้าฉันแทน
“...” ฉันยังไม่กล่าวอะไรออกไปเพราะกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ
“แต่งงานกันนะเพื่อลูกของเรา เพื่อครอบครัวเราจะได้เป็นดองกัน เธอไม่อยากเห็นป๊าของเราดีกันงั้นเหรอ”
“ก็...อยาก” ทำไมฉันจะต้องยอมศิโรราบให้เขาด้วยนะ แค่สายตาคมที่ส่งมาให้ทำไมมันมีอำนาจมากมายขนาดนั้น
“งั้นแต่งงานกันเพื่อครอบครัวของเรา ฉันสัญญาว่าจะทำตัวเป็นพ่อและเป็นสามีที่ดี”
“ฉันยอมแต่งก็ได้ แต่นายจะมีสถานะเป็นแค่พ่อของลูกเท่านั้น”
“หมายความว่าไง?” เขาขมวดคิ้วมองฉันด้วยความฉงน
“เราจะแต่งงานกันแค่ในนาม เพื่อให้ครอบครัวเราสบายใจ ส่วนฉันกับนายจะเป็นแค่คนรู้จักกันเหมือนเดิม ห้ามนายล่วงเกินฉันเด็ดขาด”
“อ้าว! ทำไมพูดอย่างนั้นแล้วจะแต่งไปทำไม” เขาโวยวายเสียงดัง
“แสดงว่านายแต่งงานเพราะเรื่องอย่างว่างั้นเหรอ”
“เปล๊า!! ถ้างั้นเอาตามที่เธอต้องการละกัน แต่ฉันก็มีข้อแม้เหมือนกัน”
“ว่ามา”
“เราต้องไปซื้อเรือนหอหลังใหม่แล้วย้ายไปอยู่ด้วยกัน เพราะถ้าอยู่บ้านหลังใดหลังหนึ่ง มีหวังป๊าเธอกับป๊าฉันได้ทะเลาะกันหนักขึ้นแน่ ๆ”
“ก็ได้ฉันตกลง ส่วนบ้านที่จะซื้อใหม่ให้ตกเป็นสมบัติของลูกโอเคไหม”
“นั่นล่ะสิ่งที่ฉันจะพูดต่อ งั้นกลับกันตอนนี้เลยหรือว่าเธอจะอยู่พลอดรักกับฉันต่อ” ว่าแล้วก็ยิ้มกวน ๆ น่าตบสักฉาดสองฉาดให้หายซ่า
“เชิญอยู่พลอดรักกับผีเถอะฉันไปแล้ว”
ฉันรีบเดินนำหน้าไปแต่ทว่ายังคงเว้นระยะห่างไว้เพียงเล็กน้อย นั่นเพราะรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ทางครอบครัวจะสนับสนุนหรือไม่ แต่ฉันกับเขาจะต้องทำให้มันผ่านพ้นไปด้วยดีให้ได้ เพราะมันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้