ตอนที่ 4 เพื่อนบ้าน

1659 Words
“อ้าว! งั้นเหรอสงสัยกูให้ผิดอัน แหะๆ” เมื่อรู้ว่าเป็นความผิดของตัวเองพี่ต๋องก็ยิ้มแหย ๆ ยกมือขึ้นเกาหลังคอแก้เขิน “แล้วเมื่อคืนพี่ฟีฟ่ากับเพื่อนหนูเอ่อ...” “ไม่ใช่อย่างที่แกคิด ฉันกับไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนี้ไม่มีทางทำเรื่องอย่างนั้นเด็ดขาด” ใครจะยอมล่ะไม่มีทาง “เป็นอย่างที่น้องน้ำคิดนั่นล่ะครับ พี่กับข้าวเรามีอะไรกันแล้ว” เขาเอ่ยเต็มเสียงอย่างภาคภูมิใจ ใช่สิ! ได้เปิดบริสุทธิ์ฉันแล้วนี่นา “ฮือๆ ๆ ๆ แกอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะเว้ยฉันอาย” ในเมื่อพยานและหลักฐานมัดตัวแน่นหนาฉันก็นั่งร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่สนแล้วว่าใครจะมองยังไง เหมือนชีวิตนี้มันหมดสิ้นหนทางแล้ว “ข้าวแกใจเย็น ๆ ก่อนดิ ฉันไม่บอกใครแน่นอนแล้วเรื่องพี่ฟีฟ่าจะเอายังไง แกจะให้พี่เขาฟรี ๆ งั้นเหรอ” ยัยน้ำเดินเข้ามากอดปลอบใจฉัน “ฉันไม่ให้มันเอาฟรี ๆ หรอก” ฉันรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา จากนั้นจับผ้าห่มคลุมที่เนินอกไว้แน่น ๆ แล้วยกขาถีบไปที่ท้อง จนอีกฝ่ายกระเด็นตกเตียงลงไปนอนอยู่บนพื้น “เชี่ย! ตีนหนักฉิบหาย” “ถือว่าหายกันแล้ว ถ้าเรื่องนี้มีใครรู้ฉันจะเป็นคนฆ่านายด้วยมือของฉันเอง รีบออกไปเดี๋ยวนี้เลยไอ้สารเลว! ไอ้ชาติหมา ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน” “อย่าลามปามถึงพ่อแม่ฉันนะยัยตัวแสบ” “แล้วไงพ่อแม่นายไม่ใช่พ่อแม่ฉันสักหน่อย” “สงสัยอยากโดนดีมั้งเนี่ย” เขาทำท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่องฉันแต่พี่ต๋องรีบรั้งตัวไว้ได้ทันเวลา “ไอ้ฟ่ามึงใจเย็น ๆ ออกไปกับกูเดี๋ยวนี้” “ปล่อยดิวะกูจะจัดการยัยบ้านี่ก่อน” “เข้ามาเลยไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไอ้เหี้ย ไอ้ชิงหมาเกิด” ฉันเองก็ไม่ยอมแพ้ยังคงก่นด่าเขาเพื่อความสะใจ “ฝากไว้ก่อนเถอะได้เห็นดีกันแน่” เขาชี้หน้าตะโกนเข้ามาเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะถูกพี่ต๋องลากตัวออกไป เมื่ออยู่ในห้องสองคนกับยัยน้ำฉันก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง “ฮือๆ ๆ ๆ ฉันจะทำยังไงดีแก พรหมจรรย์ที่ฉันรักษาไว้ได้ขาดสะบั้นลงในพริบตาแล้ว เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียวเลย” ฉันกอดยัยน้ำร้องไห้ร้องห่มเสียงดังราวจะขาดใจเสียให้ได้ “ใจเย็น ๆ ฉันมั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่มีใครรู้แน่นอน ส่วนพี่ฟีฟ่าปล่อยให้พี่ต๋องจัดการเขาเป็นเพื่อนรักกันยังไงก็ต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้มึงได้” “ฉันไม่ได้อยากให้มันรับผิดชอบเว้ย แค่อยากให้เรื่องวันนี้มันจบลงโดยไม่มีใครพูดถึงอีก ฉันยอมเสียศักดิ์ศรีดีกว่าต้องไปให้คนอย่างนายนั่นรับผิดชอบ” “เออ...ฉันเข้าใจว่าแกหวงชีวิตโสดมาก แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะเว้ยจะให้เขาฟรี ๆ งั้นเหรอ” “ใช่! แค่ครั้งเดียวถือว่าทำทานให้สัตว์ไป แกห้ามเล่าเรื่องนี้ให้อีโบ๊ทฟังนะเว้ย แกก็รู้ว่ามันเก็บความลับไม่อยู่” “เออ ๆ ฉันไม่บอกมันแน่ไว้ใจได้ แกรีบอาบน้ำใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะจะได้รีบกลับบ้าน” “อื้ม ขอบใจมากแล้วนี่แกจะกลับแล้วเหรอ” “ก็ใช่น่ะสิกำลังจะกลับพอดีเลยแวะมาหาแกก่อน แล้วก็เจอแจ๊คพอตเข้าให้ซะงั้น” “ถ้างั้นแกรีบกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันก็จะกลับเหมือนกัน” “จะดีเหรอฉันกลัวว่าแกจะคิดสั้นน่ะสิ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแกจะออกไปจากห้องก็แล้วกัน” “คนอย่างฉันเนี่ยนะจะฆ่าตัวตายเพราะผู้ชาย ไม่มีทางย่ะเรื่องแค่นี้จิ๊บ ๆ” “อีห่าแล้วเมื่อกี้ใครร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือดกันยะ” “ก็แค่นั้นล่ะทุกอย่างมันจบลงแล้ว ถ้ามัวแต่ร้องไห้ชีวิตก็ไปต่อไม่ได้สิยะ ฉันทำใจได้แล้วช่างแม่ง” “เออ...เห็นอย่างนี้ฉันก็สบายใจขึ้น งั้นฉันกลับละนะถึงบ้านแล้วโทรหาด้วย” “อือๆ เดี๋ยวโทรหา” เมื่อยัยน้ำเดินออกไปจากห้องแล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนหมดเพราะนับจากนี้ฉันจะไม่เสียน้ำตาให้กับเรื่องบ้า ๆ นี้อีกแล้ว o:::::o o:::::o o::::o ขับรถมาเกือบครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ถึงบ้านเสียที บ้านปูนสองชั้นซึ่งปลูกในหมู่บ้านจัดสรรย่านชานเมือง ตั้งแต่จำความได้ฉันก็เติบโตขึ้นในบ้านหลังนี้แล้ว มันมาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อกับแม่เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มสาว เพิ่งผ่อนหมดเมื่อห้าปีที่แล้วนี่เอง เมื่อหมดภาระเรื่องบ้านครอบครัวฉันก็เริ่มมีงานเก็บมากขึ้น ตอนนี้พ่อมีโครงการจะซื้อบ้านไว้อีกหลัง เผื่อในอนาคตเมื่อฉันกับน้องเป็นฝั่งเป็นฝาจะได้ไม่อยู่กันอย่างคับแคบจนเกินไป ลงจากรถแล้วกำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน ก็ได้ยินเสียงอันไม่พึงประสงค์ดังมาจากข้างบ้าน ใช่แล้ว! บ้านหลังที่ว่าคือบ้านนายฟีฟ่านั่นเอง “มึงรดน้ำต้นไม้ยังไงให้น้ำกระเซ็นมาถูกต้นไม้บ้านกูวะ” “ไอ้ห่าแค่น้ำกระเซ็นมึงก็มาหาเรื่องกูเหรอวะ ปัญญาอ่อนว่ะ” “มึงนั่นล่ะปัญญาอ่อน! นี่บ้านกูกูมีสิทธิ์จะว่ามึง แต่มึงไม่มีสิทธิ์ทำอะไรข้ามฝั่งมาบ้านกู จำใส่หัวเอาไว้” “ไอ้ห่าเอ๊ย! เรื่องแค่นี้มึงแม่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่ กูไม่รู้ว่าพูดยังไงกับคนไม่มีเหตุผลอย่างมึงแล้ว” “แหม...ทำเป็นมาว่ากูไม่มีเหตุผลแล้วมึงล่ะมีเหตุผลนักรึไง คราวก่อนแค่หมากูเดินผ่านหน้าบ้านมึงยังด่าหมากูเลย” นั่นคือการโต้เถียงที่ฉันได้ยินเป็นประจำ ไม่รู้เกลียดกันมาแต่ชาติปางไหนถึงได้หาเรื่องทะเลาะกันเกือบทุกวัน จนฉันชินซะแล้วล่ะ ‘เฮียป้อ’ คือชื่อของพ่อฉันเองค่ะ พ่อเปิดร้านขายข้าวขาหมูในตลาด ซึ่งห่างจากบ้านฉันไม่ไกล ส่วนคู่กรณีที่กำลังโต้เถียงกันคือ ‘เฮียกร’ พ่อของนายฟีฟ่า เปิดร้านขายข้าวมันไก่ในตลาดเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาแต่ชาติปางไหน ทำอะไรก็ไม่เคยพ้นหน้ากันสักที “ป๊ากลับเข้าบ้านเถอะไม่อายชาวบ้านชาวช่องเขาหรือไง” ฉันเดินเข้าไปหาพ่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้เข้าไปในบ้าน “มาก็ดีแล้วพาป๊าเอ็งไปเช็กสมองซะบ้าง ชอบเห่าหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว” “มึงนั่นล่ะชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว มึงนั่นล่ะบ้า” “มึงนั่นล่ะบ้า” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไม่มีใครยอมใคร “พอได้แล้ว! จะทะเลาะกันให้ได้อะไรคะ ถ้าไม่เหนื่อยก็ทะเลาะกันทั้งวันเลยคะ หนูไปล่ะ” ฉันตะเบ็งเสียงออกไปอย่างเหลืออด นั่นเพราะคิดถึงเรื่องก่อนหน้าด้วยล่ะ ทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าปกติ เดินออกมาจากตรงนั้นแล้วก็ปรากฏว่าได้ผล ไม่มีเสียงทะเลาะดังขึ้นให้ได้ยินอีก จริง ๆ แล้วการทะเลาะกันของคนทั้งสองไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยสักครั้ง เหมือนกับว่าถ้าไม่ได้ทะเลาะกันต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกขาดอะไรไปสักอย่างอะไรเทือกนั้น เข้ามาในห้องแล้วฉันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หยิบเจ้าโอโม่ซึ่งเป็นตุ๊กตาหมีตัวโปรดมากอดไว้ มันคือสิ่งเดียวที่คอยเป็นเพื่อนเวลาเหงาหรือมีเรื่องไม่สบายใจ ฉันพูดคุยกันมันได้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะนำความลับไปบอกใคร ปึง! ปึง! เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากหน้าต่างฉันจึงหันขวับไปมอง หน้าต่างกระจกใสยังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ฉันจึงลุกขึ้นเดินตรงไปดูว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่ “ก็ไม่มีอะไรนี่นา” ฉันเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้าออกไปดูก็ไม่พบความผิดปกติ สงสัยคงเป็นนกบินมาชนกระมัง นั่นคือทางเดียวที่น่าจะเป็นไปได้ “ทางนี้ยัยบ๊อง” หันไปมองต้นเสียงก็พบนายฟีฟ่าโผล่หน้ามาจากทางหน้าต่างนั่นเอง ช่างกล้าเนอะ ปกติแทบไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอย่างนี้ อยากจะมาเยาะเย้ยกันหรือไงที่ได้แอ้มฉันแล้ว “บ๊องบ้านนายสิ” ฉันเบะปากใส่แล้วทำท่าจะปิดหน้าต่าง เพราะเห็นหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที “เดี๋ยวๆ ๆ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” “แต่ฉันไม่มี” “ฉันตั้งใจจะมาขอโทษเรื่องนั้น ถ้าเธอจะให้ฉันรับผิดชอบก็บอกมานะ ฉันยินดีอย่างน้อยเราก็...” อีกฝ่ายยกยิ้ม นั่นทำให้ฉันรู้แล้วว่าเขาต้องการมาแกล้ง “หุบปาก! แล้วไม่ต้องเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีกเด็ดขาด ไปรับผิดชอบผู้หญิงของนายเถอะ ฉันจะถือซะว่าทำทานให้หมาขี้เรื้อนละกัน” ปึง! ฉันรีบปิดหน้าต่างแล้วดึงม่านมาบังไว้เพื่อไม่ให้เห็นหน้าเขาอีก ผู้ชายบ้าอะไรจะหน้าตัวเมียอย่างนี้ มาล่วงเกินฉันแล้วยังมีหน้ามาเยาะเย้ยอีก ฉันไม่เคยเกลียดใครเข้ากระดูกดำอย่างนี้มาก่อน อย่าให้มีวันของฉันบ้างละกันจะเอาคืนให้สาสมเลยคอยดู
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD