สองเดือนต่อมา
หลังจากวันนั้นฉันก็ใช้ชีวิตตามปกติสุข คิดซะว่าเรื่องในวันนั้นเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเพียงเท่านั้น จนมาถึงวันนี้เมื่อฉันกับเพื่อนนัดเจอกันที่ร้านอาหารอีสานแห่งหนึ่ง หลังจากที่เราทั้งสามเลิกงานแล้ว
“โทษทีว่ะมาสายไปหน่อย” เมื่อมาถึงก็รู้สึกเหนื่อยหอบเล็กน้อย เพราะพยายามเดินเร็วมาเนื่องจากผิดนัดไปเกือบครึ่งชั่วโมง ช่วงนี้งานค่อนข้างเยอะจึงทำเลยเวลาเป็นประจำ แต่ค่าแรงยังคงได้เท่าเดิม (แอบบ่น หุหุ)
“ไม่หน่อยแล้วย่ะแค่เกือบครึ่งชั่วโมงเอง” โบ๊ทพูดจาเหน็บแนม ทำหน้าน่าหมั่นไส้ซะเหลือเกิน ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนรักฉันคงกระชากผมขึ้นมาตบซะแล้ว ฮ่าๆ
“จ้า...ก็ขอโทษแล้วไงยะ ทีแกมาสายเพราะไปนอนกกผู้ชายพวกฉันยังไม่เห็นบ่นกันเลย”
“ก็มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่นา ผู้ชายไม่ปล่อยฉันมาจะมาได้ไงยะ รีบสั่งอาหารกันดีกว่าฉันหิวจนท้องร้องโครกครากแล้วเนี่ย” แหมทีอย่างนี้ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องนะยะ
“เอ้อ...แล้วพี่ต๋องไม่มาด้วยเหรอแก” ฉันหันไปเอ่ยกับน้ำ
“ฉันชวนแล้วแต่ติดงานน่ะ”
เราคุยกันไปพร้อมทั้งกำลังเลือกเมนูอาหาร
“เออว่ะลืมไปเลยพี่ฟีฟ่าของฉันล่ะเป็นไงบ้าง ตั้งแต่วันนั้นยังไม่ได้เจอกันอีกเลย”
ได้ยินอย่างนั้นฉันจะทำหน้าเซ็ง ๆ ก้มลงไปดูเมนูปล่อยให้สองคนนั้นคุยกันต่อ
“หลังจากวันนั้นก็เจอกันแค่ครั้งเดียวเอง”
“ว่าแต่หล่อ ๆ อย่างนั้นมีแฟนหรือยังยะ ฉันล่ะอยากกินมากกกก หล่อ-ล่ำ-ขาว-ใหญ่ อร้ายยย!!” นางทำสีหน้าราวกับตอนนี้กำลังโดนเขาตอกเสาเข็มก็ไม่ปาน อะไรจะฟินขนาดนั้นยะอีโบ๊ท!
“อีห่าดูทำหน้าทำตา ฉันก็ไม่รู้จักเขาดีเท่าไหร่หรอก แต่พี่ต๋องเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้าชู้ตัวพ่อ คาสโนว่าขั้นเทพ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนจับได้แต่ก็ไม่เคยขาดผู้หญิง”
“อุ๋ยๆ ๆ ๆ อย่างนี้ล่ะฉันชอบท้าทายเว่อร์!!”
“หยุดมโน! คนอย่างพี่ฟีฟ่าไม่เอาแกหรอกย่ะ แต่ถ้าเป็นคนอื่นไม่แน่” น้ำว่าพร้อมทั้งปรายตามองมาที่ฉัน แถมยังอมยิ้มอย่างมีเลศนัยอีกต่างหาก
“มองฉันอย่างนี้หมายความว่าไงยะ” ฉันเค้นเสียงถาม
“หรือว่าพี่ฟีฟ่าสนใจอีข้าว ไม่จริงใช่ไหมวันนั้นยังจะตีกันอยู่เลย อ้อ!!! ฉันลืมไปว่าบ้านติดกันนี่นา อย่างนี้แกต้องเจอหน้าพี่ฟีฟ่าทุกวันเลยอ่ะดิ” โบ๊ททำสีหน้าระรื่นแสดงท่าทีดี๊ด๊าจนออกนอกหน้า
“อย่ามโนฉันกับนายนั่นไม่เคยญาติดีกันอยู่แล้วทำไมจะต้องสนใจด้วยล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะจะแดกไหมข้าว”
“แดกสิยะแต่วันนี้ฉันขอไปบ้านแกด้วยได้ไหมเผื่อจะเจอพี่ฟีฟ่าบ้าง ฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้แกเดือดร้อน นะๆ ๆ ๆ” ว่าแล้วเพื่อนตัวดีก็นวดแขนฉันอย่างออดอ้อน เฮ้อ! เรื่องผู้ชายมันทำได้ทุกอย่างเลยสินะ
“ให้มันไปด้วยเถอะถือว่าสงสารลูกหมาตัวป้อม ๆ อ้วน ๆ”
“อีน้ำตบปากตัวเองตามอายุเดี๋ยวนี้ ฉันผอมฉันสวยย่ะ!” เมื่อมีคนว่ามันอ้วนนางจะหันขวับมาจิกตาใส่ทันที เหมือนที่ทำกับน้ำในตอนนี้
“จ้าแกผอมมากกกก พอใจยัง” น้ำลากเสียงยาวประชด โบ๊ทเหลือบตามองอย่างไม่สนใจแล้วหันมาออดอ้อนฉันต่อ
“นะเพื่อนข้าวให้เพื่อนไปด้วยนะ”
“เออๆ ๆ ไปก็ไปแต่แกห้ามทำตัวตุ้งติ้งต่อหน้าป๊าฉันนะ แกก็รู้ว่าป๊าฉันไม่ชอบแบบนี้”
“เออฉันรู้ จะทำตัวให้แมนที่สุดเลยย่ะ”
“งั้นตกลงตามนี้ แต่ถ้าแกอยากเจอน้านายนั่นก็หาวิธีเอาเองละกันเพราะฉันจะไม่ช่วย”
“ฉันรู้แล้วน่าว่าแกเกลียดเขาจะตาย ทั้งที่บ้านอยู่ติดกันแท้ ๆ น่าจะผูกมิตรกันไว้เฮ้อ” มันบ่นแต่กลับยิ้มไม่ยอมหุบ คงคิดสินะว่าคนอย่างนายนั่นจะมาสนใจ
มึงคิดผิดแล้วอีโบ๊ท!!!
นั่งรออยู่สักพักอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาวางเรียงรายบนโต๊ะ เมนูต้นตำรับอาหารอีสานแท้ ๆ ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ แกงอ่อมเนื้อ ต้มแซ่บ และอื่น ๆ อีกสารพัดเมนูสั่งมาเพื่อสนองความอยากที่ไม่ได้เจอกันนาน
กำลังจะลงมือทานกันอยู่แล้วเชียวแต่ทว่ากลับมีบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้นกับฉัน
“แหวะ! ทำไมมันเหม็นอย่างนี้เนี่ย” ตักส้มตำขึ้นมากำลังจะเอาเข้าปากอยู่แล้วเชียว แต่ทว่ามันกลับรู้สึกเหม็นจนฉันอยากจะอ้วกออกมา ซึ่งปกติแล้วมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะฉันชอบทานปลาร้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“แกจะบ้าเหรอเดี๋ยวเขาก็ไล่เราออกจากร้านหรอก ไม่เห็นจะเหม็นอะไรเลยรสชาติเดิมเป๊ะอย่างที่เคยกินนะยะ” เพื่อนสาวร่างท้วมว่าให้ฉัน
“แกไม่สบายหรือเปล่าปกติไม่เคยเห็นเป็นอย่างนี้นี่นา”
“ก็ไม่นะ อ้วกก! ฉันไม่ไหวแล้วไปห้องน้ำก่อนนะ” ฉันรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งไปยังห้องน้ำของทางร้าน
เมื่อมาถึงฉันก็สำรอกของเหลวในท้องลงในชักโครกจนหมดไส้หมดพุง ก่อนจะนั่งหมดแรงอยู่บนพื้นห้องน้ำ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่
“ข้าวแกเป็นไงบ้าง” น้ำเดินตามเข้ามาลูบหลังฉันเบา ๆ
“ดีขึ้นแล้วล่ะแต่ฉันคงกินข้าวกับพวกแกไม่ไหวแล้วอ่ะ อ้วกก!!” พูดจบแล้วก็ต้องชะโงกหน้าไปที่ชักโครกอีกครั้ง สำรอกออกมาจนแทบไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้ว ระหว่างนั้นยัยย้ำก็ใช้มือลูบหลังฉันป้อย ๆ
“อ้วกอย่างกับคนแพ้ท้องซะอย่างนั้นล่ะ” ยัยน้ำเอ่ยเบา ๆ อย่างไม่คิดอะไร
ประโยคเมื่อครู่ทำให้ฉันนึกเอะใจ ท้องงั้นเหรอ? มันไม่จริงใช่ไหม เรื่องอย่างนี้ต้องไม่เกิดขึ้นกับฉัน
“มันจะเป็นไปได้ไหมแก” ฉันเริ่มใจไม่ดีน้ำใส ๆ เริ่มคลอหน่วยตาจวนจะพังลงมาเต็มที
“รอบเดือนแกยังมาปกติอยู่ไหม”
ฉันพยายามนึกว่ารอบเดือนมาครั้งสุดท้ายเดือนไหนกันแน่ “ไม่มาสองเดือนแล้วอ่ะแก” ฉันตอบเสียงสั่นหัวใจเต้นแรงกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่คิด
“ทำใจดี ๆ ไว้นะแกฉันว่าคงใช่แล้วล่ะ ปกติรอบเดือนแกมาครบทุกเดือนอยู่ใช่ไหม”
ฉันได้แต่พยักหน้าให้มัน “แค่ครั้งเดียวเองนะจะเป็นไปได้เหรอ”
“เอางี้เราไปตรวจโรงพยาบาลกันให้มันรู้กันไปเลย แกจะได้ไม่ต้องเครียดไง บางทีมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะ” น้ำพยายามหาทางออกให้ ซึ่งฉันเองก็เห็นด้วยแต่ทว่าหากมันใช่อย่างที่กลัวล่ะ ฉันจะทำยังไงดี
“แกต้องไปเป็นเพื่อนฉันนะ ฉันกลัวอ่ะ”
“โอเค ๆ ฉันจะไปเป็นเพื่อน คนอย่างแกเคยกลัวอะไรซะที่ไหนกันอย่าทำตัวอ่อนแอสิยะ สูดหายใจเข้าลึก ๆ”
ใช่สิ! ฉันไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้วนี่นา แต่ทว่าปัญหาในครั้งนี้มันช่างใหญ่หลวงนัก ขออ่อนแอสักวันนึงเถอะนะเพื่อนรัก
ฉันหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกอย่างช้า ๆ ทำอย่างนั้นจนรู้สึกดีขึ้น
“ฉันพร้อมแล้วรีบไปกันเถอะ” ฉันจูงมือน้ำกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยถามอะไรบางอย่างเสียก่อน
“เดี๋ยว! แล้วอีโบ๊ทล่ะจะบอกมันไหม”
“แล้วแกว่าไงล่ะ” ฉันถามกลับเพราะถึงอย่างไรมันก็เพื่อน หากมารู้ทีหลังมีหวังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ๆ
“ควรจะบอกความจริงมันได้แล้วล่ะ สมมติถ้าแกท้องขึ้นมางจริง ๆ หากมันรู้หลังจากนี้คงจะโกรธมากแน่ ๆ”
“ไม่ต้องบอกแล้วย่ะฉันได้ยินหมดแล้ว พ่อเด็กเป็นใครบอกฉันมาเดี๋ยวนี้” โบ๊ทปรากฏตัวให้เห็นตรงหน้าประตูห้องน้ำ มันยืนกอดอกส่งสายตาอันดุดันมองมาที่เราทั้งสองคน โดยเฉพาะฉันที่ดูท่าจะเป็นผู้ต้องหารายแรกๆ ที่มันจะสำเร็จโทษ
“แกมายืนอยู่ตรงนี้นานแล้วเหรอ” ฉันถามเสียงอ่อยเมื่อเห็นสีหน้าอันจริงจังของมัน นานทีปีหนจะเห็นอย่างนี้
“ก็นานจนรู้ว่าแกท้อง”
“ยังไม่ได้ท้องแค่สันนิษฐานเท่านั้นเอง” ฉันตอบไป
“แล้วสรุปแกไปมีอะไรกับใคร ทำไมฉันไม่รู้เรื่องนี้”
“เอ่อ...บอกไปแกก็ไม่รู้จักหรอก จะมายืนคุยอะไรหน้าห้องน้ำรีบไปกันเถอะ” ฉันรีบจูงมือน้ำออกไปก่อนที่โบ๊ทจะถามอะไรไปมากกว่านี้
ไม่นานหลังจากนั้นเราสามคนก็มาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โดยแทบไม่ได้แตะต้องอาหารที่สั่งมาเลยสักคำ หลังจากไปเจาะเลือดแล้วฉันก็นั่งรอผลตรวจที่หน้าห้อง โดยมีเพื่อนทั้งสองนั่งประกบข้างคอยให้กำลังใจไม่ห่าง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่หัวใจยิ่งเต้นแรง รู้สึกกดดันมากเหลือเกิน ภาวนาในใจขอให้ตัวเองไม่ท้อง
“คุณขวัญข้าวเชิญพบคุณหมอได้เลยค่ะ”
ได้ยินเสียงพยาบาลเรียกชื่อความคิดต่าง ๆ ในหัวก็สลายหายไปจนหมด จากนั้นจึงตั้งสติเพื่อไปฟังผลตรวจที่กำลังจะรู้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว
“ให้เพื่อนเข้าไปข้างในด้วยได้ไหมคะ”
“ถ้าเป็นความต้องการของคุณก็ได้ค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นฉันก็รู้สึกโล่ง อย่างน้อยหากรู้ผลแล้วเกิดอะไรขึ้นเพื่อนทั้งสองจะได้ช่วยพยุงตัวฉันไว้ได้ทันการ
“พวกฉันจะอยู่ข้าง ๆ แกเองไม่ต้องเครียดนะ” น้ำเอ่ยให้กำลังใจ
“ขอบใจนะ ฉันกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่คิดน่ะสิ”
“เอาน่าถ้าท้องขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะรับเป็นลูกเองไม่ต้องห่วง” โบ๊ทพูดติดตลกเพื่อให้ฉันคลายความกังวล แต่มันกลับทำให้ฉันเครียดขึ้นกว่าเดินน่ะสิ ถ้าท้องขึ้นมาจริง ๆ จะบอกเรื่องนี้กับป๊ายังไงดี
“ถ้างั้นแกต้องแอ๊บแมนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะยะ” ฉันตอบ
นั่นทำให้เราทั้งสามมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตรวจพร้อมกัน
เข้าไปข้างในแล้วคุณหมอก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง แต่ทว่าความตื่นเต้นกลับไม่ลดลงเลยสักนิด ก่อนจะแจ้งผลคุณหมอก็อธิบายเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ให้ฟังอย่างคร่าว ๆ นั่นทำให้ฉันยิ่งคิดว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นไปได้
“สรุปว่าฉันท้องหรือเปล่าคะคุณหมอ” เมื่อคุณหมอพูดจบฉันจึงเริ่มยิงคำถามทันที
“ว่าแต่วันนี้แฟนคุณไม่มาด้วยหรอกเหรอครับ หรือว่าเป็นคุณคนนี้” คุณหมอไม่ตอบแต่กลับถามฉันคืน แต่ทว่าคำถามนั่นกลับทำให้ฉันรู้สึกขำ
“ว้าย! หนูเป็นเพื่อนค่ะคุณหมอไม่ใช่แฟน” นางรีบปฏิเสธเสียงแข็งกลัวว่าคุณหมอจะเข้าใจผิด ฉันรู้ว่ามันกำลังจ้องจะงาบคุณหมอนั่นเอง เพราะคุณหมอหล่อไม่ใช่น้อยตรงสเปกมันเลยทีเดียว
“หมอรู้อยู่แล้วล่ะแค่อยากให้คุณผ่อนคลายบ้างเท่านั้นเอง”
“คุณหมอนี่ตลกจังเลยนะคะ คือว่า...ฉันยังไม่มีแฟนหรอกค่ะ”
“หืม! ยังไม่มีแฟนแล้วทำไมถึง...” คุณหมอขมวดคิ้วมองหน้าฉันอย่างประหลาดใจ ฉันเองคาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังมองฉันในแง่ลบหรือบวกกันแน่
“มันเกิดจากความผิดพลาดค่ะ คุณหมอคงเข้าใจคำว่าพลาดนะคะ”
“ผมเข้าใจครับ เพราะคนไข้ผมหลาย ๆ เคสก็เป็นอย่างคุณนี่ล่ะ ตอนนี้คุณพร้อมจะฟังผลแล้วใช่ไหม” คุณหมอหนุ่มสุดหล่อเอ่ยถามอีกครั้ง