ฟางเจียวเหมยอมยิ้ม ไม่คิดว่าทะลุมิติมาครั้งนี้จะมีพี่ชายที่รักตนเองมากอย่างนี้ “พี่ใหญ่ทำเท่าที่ไหวก็พอนะ อย่าฝืนตัวเอง จำแผนการที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ละ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับทวนความทรงจำที่พูดคุยกันก่อนหน้านี้กับพี่ชาย
ฟางหลู่เฉินเกาท้ายทอยเล็กน้อยด้วยความเขิน เพราะเขาลืมเรื่องนี้ไปแล้วทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คนลืมง่ายขนาดนั้น แต่คิดว่าประเดี๋ยวน้องสาวก็ลืมเช่นกัน “อืม พี่จะทำเท่าที่พวกเราจะอยู่ที่นี่ ตกลงไหม? มาเถอะเดี๋ยวพี่ช่วยก่อฟืนตั้งเตา”
จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบหินก้อนใหญ่ที่พอจะเอามาทำเป็นขาเตาได้ ก่อนจะลงมือก่อไฟให้น้องสาวด้วยความอบอุ่นหัวใจ เพราะมันนานแล้วเหลือเกินที่เขาและน้องสาวได้ใช้ชีวิตด้วยกันแบบนี้
ฟางเจียวเหมยเมื่อเห็นว่าพี่ชายก่อเตาให้เรียบร้อยแล้ว ก็รีบมาจัดการในส่วนของตนเอง หญิงสาวหยิบกระทะใบใหญ่มาวางบนเตา ก่อนจะจัดการปรุงอาหารอย่างแรกด้วยความคล่องแคล่ว ส่วนพี่ชายอย่างฟางหลู่เฉินนั้นยกหม้อมาอีกใบเพื่อหุงข้าวช่วยน้องสาว
สองพี่น้องต่างก็ช่วยกันทำอาหารอย่างขมักเขม่นและเต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว จนหนิงหงชุนและหลี่เหว่ยเหลียนที่พาหลานฝาแฝด
ทั้งสองคนไปเดินเล่นกลับมา
“กลิ่นอาหารหอมมากเลยแม่ ท้องฉันร้องไปหมดแล้ว” เด็กสาวกระซิบพูดกับแม่ตนเอง ส่วนสายตานั้นมองไปยังอาหารที่พี่สะใภ้วางอยู่บนแคร่
“เดี๋ยวเถอะ!! รอให้อาหารเสร็จก่อนสิ แม่นี่ละกังวลใจว่ากลิ่นอาหารจานเนื้อที่โชยไปเจ็ดแปดบ้านแบบนี้ มีหรือที่บ้านใหญ่จะไม่ได้กลิ่น”
ผู้เป็นแม่เอ่ยออกมาด้วยความกังวลใจ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหากับบ้านใหญ่ และดีไม่ดี พวกบ้านใหญ่อาจจะมาแย่งชิงอาหารไปจนหมด จนลืมคิดไว้ว่านี่ก็คือความตั้งใจของฟางเจียวเหมยด้วยเหมือนกัน
และเป็นอย่างที่หนิงหงชุนคิด เพราะเวลานี้กลิ่นของอาหารจานเนื้อที่ฟางเจียวเหมยทำนั้นกลิ่นโชยเข้ามาในบ้านใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
“นี่กลิ่นอะไรกัน ไม่ใช่กลิ่นอาหารจานเนื้อหรอกหรือ” สะใภ้รองที่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่กับแม่สามีและพี่สะใภ้เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย
“นั่นสิ บ้านไหนกันนะทำอาหารจานเนื้อแบบนี้” ย่าหลี่เอ่ยขึ้นมาเหมือนกันเพราะนางเองก็ต้องการกินอาหารจานเนื้อที่ไม่ได้กินมาเกือบเดือนแล้ว
“แต่กลิ่นมันใกล้มากเลยนะแม่ เดี๋ยวฉันไปตามหาดูดีกว่า” ด้วยนิสัยสอดรู้สอดเห็นและต้องการประจบแม่สามี ซ่งเจียฮุยจึงขันอาสาไปดูให้เองว่าบ้านไหนกันที่ทำอาหารจานเนื้อจนกลิ่นโชยมาแบบนี้
“หล่อนจะไปทำไม มันใช่เรื่องของบ้านเราเสียไหน เนื้อพวกนี้หากมีเงินก็ไปซื้อได้ที่สหกรณ์” ย่าหลี่เอ่ยขึ้นมา
ต่อให้จะยังจำกัดเรื่องอาหาร แต่ทว่าในสหกรณ์ของรัฐก็พอจะมีเนื้อขาย แถมในตลาดมืดก็มีขายเช่นกัน แต่ราคาจะสูงกว่าก็เท่านั้นเอง ใครมีเงินก็มีสิทธิ์ซื้อมากินและไม่ต้องหลบซ่อนเหมือนหลายปีก่อน
“แต่กลิ่นมันใกล้บ้านเรามากเลยนะแม่” ซ่งเจียฮุยยังคงดื้อดึงที่จะไปดู ทว่าหล่อนยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากห้องโถง ก็เห็นว่าน้องสาวของสามีเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
“แม่ แม่รู้หรือเปล่าว่าเวลานี้บ้านสามกำลังทำอาหาร แถมอาหารพวกนั้นยังมีเนื้อเป็นหลักด้วย และที่สำคัญ นังเจียวเหมยกลับชวนพี่ชายจากบ้านเดิมมากินอาหารด้วยกัน!! แต่ไม่ยอมแบ่งมาให้บ้านใหญ่” หลี่ฉีหลินลูกสาวของสะใภ้ใหญ่พูดขึ้นมาอย่างตื่นตกใจผสมความไม่พอใจ
“หล่อนรู้ได้อย่างไร แล้วนี่กลับบ้านมาทำไมอีก แต่งออกไปแล้วก็ควรอยู่บ้านสามีสิ” ย่าหลี่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นว่าหลานสาวที่แต่งออกไปแล้วกลับมาบ้านเดิมบ่อยเสียเหลือเกิน
“โธ่!! ย่า ฉันกลับมาบ้านเดิมมันผิดนักหรือไง อยู่บ้านสามีก็ไม่มีอะไรให้ทำ อีกอย่างฉันไม่อยากทะเลาะกับพวกสะใภ้ด้วยกัน มันน่ารำคาญมาก” หญิงสาวทำหน้าบูดบึ้งพูดกับย่าของตนเอง ก่อนจะจีบปากจีบคอเล่าเรื่องบ้านสามต่อ
“ฉันน่ะวันนี้เข้าเมืองมา ตอนกลับฉันเห็นนังเจียวเหมยพูดคุยกับพี่ชายพร้อมกับมีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข แถมพี่ชายมันยังเอาตะกร้าไปแบกเอง ดูแล้วคงหนักไม่น้อย ฉันเลยแอบไปดูบ้านสาม มันสองพี่น้องทำ อาหารจากเนื้อกันหลายอย่างด้วย”
เพราะเห็นสองพี่น้องเดินมาด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน หลี่ฉีหลินจึงได้แอบตามทั้งสองคนมา แต่ก็ไม่ได้ยินหรอกว่าสองพี่น้องคุยอะไรกัน
พอเห็นทั้งสองคนมาที่บ้านสามเธอเองก็รีบเอาของไปเก็บที่บ้านสามีก่อนจะรีบตามมาดูต่อ แต่สิ่งที่เห็นนั้นทำให้อิจฉามาก เพราะบ้านสามกลับมีเนื้อมาทำอาหารกิน ดูแล้วเนื้อที่ซื้อมาคงหมดเป็นสิบ ๆ หยวน
“อะไรนะ!!” แม่สามีและลูกสะใภ้ได้แต่อุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจเมื่อรับรู้เรื่องราวจากหลี่ฉีหลิน
“ไม่ได้การแล้วค่ะแม่ บ้านสามมีเนื้อกิน แต่ทำไมไม่เอามาให้บ้านใหญ่ด้วย แบบนี้มันใช้ไม่ได้นะคะ หรือว่าพวกมันแอบซุกเงินที่อี้ข่ายส่งมาแล้วบอกแม่ว่าได้มาแค่นิดเดียว”
สะใภ้ใหญ่พูดกรอกหูแม่สามีเพื่อกระตุ้นความโกรธและจะได้พากันไปเอาอาหารพวกนั้นจากบ้านสามมากิน จนลืมไปว่าวันนี้บ้านใหญ่ต้องถูกตัดเงินเดือนที่บ้านสามจะต้องส่งให้ครึ่งปีเพราะการกระทำของเธอเอง
“หน็อย บ้านสามมีเนื้อกินแต่กลับไม่แสดงความกตัญญูต่อฉันและตาเฒ่า แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน สงสัยเดือนที่ผ่านมาอาข่ายส่งเงินมาให้เยอะจนซื้อเนื้อมากินได้สินะ” ย่าหลี่ไม่พอใจเมื่อรู้ว่าบ้านสามมีเงินซื้อเนื้อมากิน แถมยังไม่เอามาให้บ้านใหญ่อย่างที่ควรทำเพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้เฒ่าในบ้าน
ว่าแล้วย่าหลี่ก็ส่งมือให้ลูกสะใภ้ทั้งสองพยุง เมื่อลุกขึ้นได้นางจึงเดินถือไม้เท้านำหน้าลูกสะใภ้ทั้งสองและหลานสาวไปบ้านสามเพื่อเอาเรื่องทันที
ส่วนฟางเจียวเหมยและบ้านสาม เวลานี้อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงมานั่งกินมื้อเย็นพร้อมกัน เนื่องจากเวลานี้สองแฝดนั้นหลับไปแล้ว
“อร่อยมากเลยพี่สะใภ้ หากพี่จะเปิดร้านขายอาหารฉันเห็นด้วย เนื้อหมูสามชั้นชิ้นนี้ละลายในปากเลย” หลี่เหว่ยเหลียนคีบหมูสามชั้นตุ๋นเข้าปาก และไม่คิดว่าเนื้อตุ๋นที่พี่สะใภ้ทำนั้นแทบจะละลายในปากโดยไม่ต้องเคี้ยว แถมหน้าตาอาหารนั้นก็ชวนน้ำลายไหล เนื้อหมูนั้นเงาวาวทุกชิ้นเลย
“พี่เห็นด้วยนะ อาหารที่เจียวเหมยทำอร่อยมาก พี่ไม่คิดว่าน้องจะมีฝีมือในการทำอาหารที่อร่อยขนาดนี้” ฟางหลู่เฉินเอ่ยชมขึ้นมาอีกคน เขาไม่คิดว่าน้องสาวจะมีความสามารถด้านการทำอาหารด้วย
ส่วนหนิงหงชุนนั้นกินอาหารไปพร้อมกับอมยิ้มไป ไม่คิดว่าลูกสะใภ้จะทำอาหารอร่อยได้ขนาดนี้
“ตอนนี้ก็เห็นแล้ว รีบกินเถอะทั้งสองคน ไม่ต้องพูดมาก เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียหมด” ฟางเจียวเหมยรีบทำเสียงดุทั้งสองคน ทว่าแววตากลับอมยิ้มอย่างพอใจ มีใครบ้างไม่ชอบให้คนอื่นชม
แต่ในขณะที่ทั้งสี่คนกำลังกินอาหารกันอย่างอร่อย กลับมีเสียงที่ไม่พอใจดังขึ้น “หน็อย มีอาหารจานเนื้อกินแต่กลับไม่คิดจะแบ่งให้คนหัวขาวอย่างฉันที่เป็นแม่ของพ่อสามีหล่อน แต่กลับเรียกพี่ชายบ้านบ้านเดิมอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้มันถูกต้องที่ไหนกัน นังเจียวเหมย!!”
ฟางเจียวเหมยได้ยินแบบนั้นก็หันหน้ามามองพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในใจนั้นคิดว่า ‘เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ’