ฟางเจียวเหมยใช้เวลาอยู่ในตลาดมืดพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว และวันนี้เธอก็หาเงินได้หลายร้อยหยวน เลยตั้งใจจะกลับไปทำมื้อเย็นที่อร่อยให้ทุกคนกิน และตั้งใจจะไปชวนพี่ชายของร่างนี้มากินด้วย เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าพี่ชายจะไปล่าสัตว์อะไรมาได้ ก็มักจะเอามาแบ่งปันเธอเสมอ
ในขณะที่ปั่นจักรยานกลับบ้าน หญิงสาวก็ใช้สายตาสอดส่องดูสองข้างทาง เผื่อว่าจะมีร้านค้าให้เช่า เพราะเงินไม่กี่ร้อยหยวนที่มีอยู่ตอนนี้
ไม่น่าจะเซ้งร้านหรือว่าซื้ออะไรได้ อย่างน้อยเธอต้องหาเงินเพื่อซื้อตึกสักหลัง เพื่อเปิดร้านอาหารอย่างที่เธอถนัด และตั้งใจว่าจะเปิดร้านขายของให้พี่ชายด้วย เพราะถ้ายังอยู่บ้านฟางที่แม่เลี้ยงจอมวายร้ายคุมทุกอย่างในบ้าน
ชาตินี้พี่ชายของเธอคงลืมตาอ้าปากไม่ได้แน่ ๆ
เมื่อเดินทางมาใกล้หมู่บ้าน ฟางเจียวเหมยจึงหลบเข้าข้างทางเพื่อเก็บจักรยานไว้ในมิติ และเอาของทั้งหมดที่เตรียมไว้ออกมา โดยใส่ตะกร้าแล้วสะพายไว้ข้างหลัง ก่อนจะเดินกลับเข้าหมู่บ้านด้วยท่าทีปกติ
“เจียวเหมย น้องเข้าเมืองมาเหรอ มาเถอะ ส่งตะกร้ามาพี่เดี๋ยวพี่จะช่วยแบกเอง”
ระหว่างทางนั้น เธอกลับได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนที่ฟังแล้วคุ้นหูยิ่งนัก จึงหันไปดูก็พบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง
ซึ่งชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เขาคือ ‘ฟางหลู่เฉิน’ พี่ชายของฟางเจียวเหมยที่กำลังเดินลงมาจากเขานั่นเอง
“อ้าวพี่ใหญ่ วันนี้เลิกงานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยนหลายส่วน นี่จึงสร้างความแปลกใจให้กับคนเป็นพี่ชายมาก
“อืม วันนี้พี่ทำงานครึ่งวัน ช่วงบ่ายเลยขึ้นเขาเผื่อว่าจะหาอาหารได้บ้าง เอาตะกร้ามาเถอะ พี่จะช่วยแบกไปส่งบ้านเอง” ชายหนุ่มตอบกลับน้องสาวด้วยท่าทียิ้มแย้ม พร้อมกับเดินไปตรงหน้าเพื่อรอรับตะกร้านั้นมา
ฟางเจียวเหมยก็ไม่ขัดความต้องการของพี่ชาย ก่อนจะเอาตะกร้าที่เต็มไปด้วยของกินและของใช้ยื่นส่งให้พี่ชายทันที
“วันนี้พี่ไปกินข้าวกับฉันนะ ฉันซื้อเนื้อมาด้วย”
ระหว่างเดินไปด้วยกัน เธอจึงเอ่ยบอกถึงความต้องการของตนเอง ที่จะชวนพี่ชายไปกินข้าวที่บ้านแม่สามี
“อย่าเลย เจียวเหมยแต่งงานแล้ว พี่จะเข้าไปวุ่นวายมันไม่ดีหรอก ขอบใจมากสำหรับน้ำใจของน้องในครั้งนี้” ฟางลู่เฉินรีบปฏิเสธ เพราะไม่อยากสร้างเรื่องให้กับน้องสาว เนื่องจากรู้ดีว่าบ้านใหญ่หลี่นั้นเป็นอย่างไร
“พี่อย่าคิดมากเลย แม่สามีและเสี่ยวเหลียนไม่เหมือนกับบ้านใหญ่หรอก อีกทั้งพี่และทุกคนในบ้านสามล้วนแต่สนิทและคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
อีกอย่างเวลานี้หลานของพี่ก็ตัวโตขึ้นเยอะแล้วนะ ไม่เข้าไปเยี่ยมเยียนหลาน ๆ สักหน่อยเหรอ” หญิงสาวพยายามโน้มน้าวให้พี่ชายไปกินข้าวด้วย เพราะมองจากร่างกายของพี่แล้ว เขาคงไม่ได้กินอิ่มหรือนอนหลับสนิท
สักเท่าไรนัก
ทันทีที่ได้ยินน้องสาวพูดถึงหลานฝาแฝด ใบหน้าของชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะพยักหน้าและตอบรับทันที “ตกลง พี่จะไปกินมื้อเย็นกับเจียวเหมยด้วย”
“ดีเลยค่ะ งั้นเรารีบเดินกันเถอะ” ฟางเจียวเหมยยิ้มออกมาเมื่อพี่ชายยอมไปกินข้าวด้วยกัน
จากนั้นสองพี่น้องจึงเดินกลับบ้านหลี่พร้อมกัน แต่ทั้งสองไม่ได้เข้าทางหน้าบ้าน เนื่องจากบ้านสามไม่มีสิทธิ์เข้าออกทางนี้ แต่จะมีประตูหลังที่ติดกับห้องพักของบ้านสาม เลยทำให้ฟางเจียวเหมยและคนบ้านสามเข้าออกทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
“เปิดประตูหน่อย ฉันกลับมาแล้ว” ฟางเจียวเหมยเอ่ยเรียกคนในบ้านเมื่อเดินมาถึงแล้ว
ไม่นานหลี่เหว่ยเหลียนก็เดินมาเปิดประตูห้องพร้อมกับอุ้มหลานชายมาด้วย โดยมีหนิงหงชุนอุ้มหลานสาวตามออกมา
“กลับมาแล้วเหรอพี่สะใภ้ เอ๊ะ! พี่หลู่เฉิน” เด็กสาวเอ่ยทักพี่สะใภ้ ทว่าเมื่อเห็นใครมาด้วยจึงเอ่ยเรียกด้วยความคุ้นเคย
“อืม ฉันกลับมาแล้ว วันนี้ให้พี่ใหญ่กินข้าวที่นี่ด้วยนะคะแม่ ฉันซื้ออาหารกลับมาเยอะเลย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับ ก่อนจะเอ่ยขอแม่สามีเรื่องที่จะให้พี่ชายนั้นกินข้าวด้วย
“เอาสิ กินหลายคนอร่อยดี” หนิงหงชุนตอบกลับด้วยรอยยิ้มและยินดีที่ฟางหลู่เฉินจะมากินข้าวด้วย เนื่องจากพี่ชายของลูกสะใภ้คนนี้ มักจะนำของป่าติดมือมาให้บ้านสามอยู่เสมอ
“ขอบคุณครับน้าหงชุน” ชายหนุ่มตอบกลับ ก่อนจะมองหลานทั้งสองคนด้วยสายตาที่อ่อนโยน ทว่ายังไม่กล้าเข้าไปขออุ้มเนื่องจากร่างกายตนเองนั้นตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อและฝุ่นนั่นเอง
“จริงสิ ในตลาดมีเสื้อผ้าลดราคาด้วย ฉันเลยซื้อมาเผื่อทุกคน
พี่ใหญ่ด้วยนะ เข้ามาในห้องกันก่อนเถอะ เดี๋ยวบ้านใหญ่โผล่มา”
ฟางเจียวเหมยรีบบอกทุกคน ไม่ใช่ว่าเธอกลัวนะ แต่ไม่อยากรำคาญใจ เพราะเวลานี้เธอยังไม่พร้อมที่จะปะทะ แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อกลิ่นอาหารจานเนื้อลอยโชยตลบอบอวลออกไปจากห้องแคบ ๆ นี้ บ้านใหญ่ต้องกรูกันมาหาเรื่องแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นค่อยปะทะก็ยังไม่สาย อีกอย่างเธอมีเรื่องจะเกริ่นกับแม่สามีและพี่ชายตนเองก่อนด้วย
แม้จะตกใจกับการใช้จ่ายเงินของฟางเจียวเหมย แต่ทั้งสามคนเลือกที่จะไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านสามทันที
เมื่อเข้ามาถึง ฟางเจียวเหมยก็ทยอยเอาของออกมาจากตะกร้า
ซึ่งในนี้มีทั้งอาหารและของใช้ที่เธอเลือกออกมาจากมิติ รวมถึงเสื้อผ้าของทุกคนด้วย
“นี่คือเสื้อผ้าของแม่และเสี่ยวเหมยคนละห้าชุดนะ ไอ้เสื้อผ้าเก่า ๆ นั้นก็ทิ้งไปเสียเถอะนะ ส่วนนี่ก็ของพี่ใหญ่นะ ตอนแรกฉันว่าจะเอาไปให้ในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อมาเจอกันแล้วก็ลองดูว่าใส่ได้ไหม ส่วนนี่ก็ของพี่อี้ข่าย
เมื่อกลับมาจะได้มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่”
ฟางเจียวเหมยพูดไปก็ส่งเสื้อผ้าให้กับทั้งสามคน และไม่ลืมที่จะเอาของสามีออกมาด้วย ส่วนของลูก ๆ ก็เป็นพวกผ้าอ้อมและเสื้อผ้าเด็กทั่วไป เธอไม่กล้าเอาของดีออกมามากนัก เพราะกลัวว่าคนอื่นจะจับผิดนั่นเอง ดีที่ในห้างสรรพสินค้ามีร้านขายเสื้อผ้าจำพวกย้อนยุคด้วย เลยทำให้เธอกล้าเอาออกมาให้กับทุกคน
“นี่มันสิ้นเปลืองเงินมากนะเจียวเหมย พี่ไม่กล้ารับหรอก ตอนนี้บ้านสามมีเพียงน้องเขยเท่านั้นที่ทำงาน เก็บไว้ให้น้องเขยเถอะ” ฟางหลู่เฉินไม่อยากตำหนิน้องสาวมากนักที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเกินตัวแบบนี้ แต่ก็อดที่จะพูดแบบเลี่ยง ๆ ไม่ได้ เนื่องจากเวลานี้รายได้ของบ้านสามมาจากหลี่อี้ข่ายคนเดียวเท่านั้น
“รับไปเถอะ ฉันตั้งใจซื้อมาให้ทุกคน อีกอย่างฉันยังมีสินเดิมของแม่อยู่ และฉันตั้งใจว่าจะทำการค้า แต่ฉันกลัวว่าหากฉันทำการค้าเองแล้วมีเงิน บ้านใหญ่จะมาฉกชิงไปน่ะสิ เพราะเวลานี้บ้านสามยังไม่ได้แยกบ้านน่ะ” หญิงสาวยังคงอ้างสินเดิมของแม่ และเธอรู้ดีว่าพี่ชายนั้นเห็นกล่องที่เธอเอาออกมาจากบ้านฟางตอนแต่งงาน แต่เขาไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร
“แม่บอกแล้วใช่ไหมเจียวเหมยว่า แม่ไม่ต้องการให้เธอเอาสินเดิมไปขาย” หนิงหงชุนใบหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาที่ลูกสะใภ้ไม่ยอมฟังเธอในเรื่องนี้
“แม่อย่าคิดมากไปเลย ฉันแค่เอาไปจำนำแล้วซื้อของมาขายในตลาดมืดเท่านั้น เมื่อฉันทำการค้ามีกำไรเยอะ ๆ ฉันค่อยไปไถ่ถอนมาก็ได้ วันนี้ฉันได้กำไรมาหลายสิบหยวนน่ะเลยแบ่งเงินซื้อข้าวของพวกนี้มา หลังจากนี้ฉันจะเข้าเมืองไปตัดราคาสินค้ามาขายเพื่อเก็งกำไร แบบนี้บ้านใหญ่ก็ไม่มีทางรู้ และเมื่อไรที่ฉันเก็บเงินได้ ฉันอยากเปิดร้านอาหารและร้านค้าค่ะ ตอนนี้พี่อี้ข่ายทำงานคนเดียวอยู่ต่างเมือง เมื่อไหร่ที่เราอยู่ตัวกันแล้ว ฉันจะไปรับสามีกลับมาช่วยกันทำการค้า ส่วนพี่ใหญ่เองก็ควรจะออกจากบ้านหลังนั้นได้แล้ว พี่จะทนไปเพื่ออะไรกัน” ฟางเจียวเหมยพูดถึงแผนการที่เธอตั้งใจจะทำให้ทุกคนได้รับรู้
ทั้งสามคนมองฟางเจียวเหมยคล้ายกับคนเห็นผี เพราะที่ผ่านมาเธอไม่คิดจะทำอะไรเพื่อคนอื่นเลย ทั้งยังมีนิสัยร้ายกาจแล้วก็ไม่คิดที่จะทำงานหรือว่าหาเงินมาจุนเจือครอบครัวแบบนี้ ไม่คิดว่าหลังจากที่ป่วยเพราะจมน้ำหลายวัน ความคิดของเธอจะดีขึ้นจนน่าแปลกใจ แม้จะยังมีนิสัยร้ายกาจอยู่มากก็ตาม!!