กลับมาทางด้านซ่งเจียฮุย เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วก็รีบวิ่งมาบอก
แม่สามีทันที “แม่ค่ะ ตอนนี้บ้านสามช่างปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา เวลานี้สะใภ้สามไม่ยอมออกมาทำงานอีกแล้วค่ะ”
ย่าหลี่ที่กำลังนั่งเอนกายอยู่ เมื่อลูกสะใภ้คนโปรดมารายงานว่า
บ้านสามไม่ยอมออกมาทำงานจึงยกเท้ากระทืบกับพื้นด้วยความไม่พอใจ “หน็อย นังสะใภ้สามเอาความกล้ามาจากที่ไหนถึงไม่ยอมออกมาทำงาน เหอะ! คิดว่าฉันจะยอมหรือไง” ท่าทางของย่าหลี่นั้นดูโมโหมาก เพราะไม่คิดบ้านสามที่ไม่มีเสาหลักของครอบครัวจะกล้าแข็งข้อกับบ้านใหญ่แบบนี้
“ฉันไม่เห็นน้องสะใภ้ออกมา แต่คนที่พูดคือ...” ซ่งเจียฮุยรีบพูดอีกครั้งและทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะพูดออกมาเท่าไรนัก
“นังหลานสะใภ้ร้ายกาจอีกละสิ” ย่าหลี่เอ่ยขึ้นมาด้วยความฉุนเฉียว เพราะรู้อยู่แล้วว่าใครที่พูดแบบนี้
“ใช่ค่ะแม่ หลานสะใภ้พูดว่าพวกเราก็มีมือมีเท้าไม่ได้พิการก็ทำกันเองสิ ทำไมต้องใช้บ้านสามด้วย...” จากนั้นซ่งเจียฮุยจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่หล่อนและลูกสะใภ้เจอให้แม่สามีฟังอย่างละเอียด นี่จึงทำให้
แม่เฒ่าหลี่ไม่พอใจบ้านสามยิ่งกว่าเดิม และคิดว่าจะต้องกำราบหลานสะใภ้คนนี้เสียแล้ว
“มันใช้ได้ที่ไหน คนบ้านใหญ่กับคนบ้านรองต้องทำงานในทุ่ง แล้วใครจะมีเวลามาทำงานบ้านและทำอาหารกันละ ถ้าไม่ใช่คนบ้านสาม” ย่าหลี่ ยังบ่นไม่หยุด เพราะคิดว่างานบ้านทุกอย่างย่อมต้องเป็นของหนิงหงชุน และคิดว่าแม้ต่อให้ลูกชายของนางจะตายไปแล้ว แต่สะใภ้และหลานก็ต้องอยู่ภายใต้บ้านใหญ่หลี่และทำงานรับใช้ตนเองต่อไป
“ก็ผลัดเปลี่ยนกันทำสิย่า เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้ อีกอย่างนะ ฉันเองก็ไม่ค่อยสบาย แต่ต่อให้สบายฉันก็ต้องการให้แม่สามีช่วยดูแลลูกทั้งสองคนให้ ส่วนบ้านใหญ่คนออกจะเยอะแยะก็ช่วยกันสิ ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องอาหาร ในเมื่อย่าสั่งให้บ้านสามแยกกินข้าวและแยกครัว แล้วทำไมต้องให้บ้านสามทำกับข้าวให้ทุกคนกินด้วยล่ะ”
ฟางเจียวเหมยหลังจากที่สนทนากับแม่สามีเสร็จแล้วก็ขอตัวออกมากับหลี่เหว่ยเหลียนเพื่อมาพูดกับป้าสะใภ้ เรื่องเอาเงินค่าเทอมของน้องสามีที่คนบ้านใหญ่แย่งชิงไป ก็มาได้ยินการพูดสนทนาของคนทั้งสองจนหมดจึงได้พูดสวนกลับไปทันที
“ตายแล้ว!! ใครให้เธอเข้ามาในบ้านใหญ่กัน นี่มาแอบฟังแม่สามีกับย่าหลี่คุยกันเหรอ ไม่มีมารยาท” ถานอี้เหว่น ลูกสะใภ้ของซ่งเจียฮุยยกมือทาบอกแสดงท่าทีตกใจและโวยวายออกมา เมื่อเห็นว่าฟางเจียวเหมยนั้นเข้ามาฟังบทสนทนาของแม่สามีและแม่เฒ่าหลี่
“ยังไม่ตายย่ะ ถ้าตายแล้วฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง พูดไม่คิดอีกแล้วนะ เอาเถอะ เรื่องตายไม่ตายเอาไว้ก่อน ที่ฉันตามเข้ามาถึงในบ้านหลังนี้ทั้งที่ไม่อยากมาเหยียบสักนิด แต่ที่ฉันมาก็เพราะต้องการอยากรู้ว่า ย่าและ
ป้าสะใภ้มีสิทธิ์อะไรที่ยึดเอาเงินค่าเทอมของเสี่ยวเหลียนไป เพราะเงินส่วนนี้ฉันเป็นคนให้น้องสามีไปจ่ายค่าเทอมเพื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย!!”
ฟางเจียวเหมยไม่รีรอ เธอเองก็ไม่อยากเข้ามาวุ่นวายในบ้านใหญ่เหมือนกัน เพราะเรื่องสำคัญที่สุดของเธอเวลานี้คือหาเงิน และทำอย่างไรก็ได้ที่จะแยกจากบ้านใหญ่ได้อย่างเด็ดขาด มากกว่าที่จะมาวุ่นวายเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ แต่ที่มาเพราะอยากรู้ว่าเรื่องนี้ผู้เฒ่าของบ้านนั้นรับรู้จริงหรือเปล่า หรือเป็นป้าสะใภ้ทำเองคนเดียวแล้วอ้างว่าย่าหลี่สั่งให้ทำ
เมื่อถูกรื้อเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของป้าสะใภ้ใหญ่อย่างซ่งเจียฮุยพลันเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปสบตาลูกสะใภ้ตนเอง เนื่องจากเรื่องนี้แม่สามีนั้นไม่รู้เรื่อง!!
“หล่อนว่าอะไรนะ!! ฉันเนี่ยนะเอาเงินค่าเล่าเรียนของบ้านสามมา เหอะ หล่อนอย่ามาใส่ร้ายฉันเลยเจียวเหมย”
คราวนี้ย่าหลี่ตกใจมากจริง ๆ กับการรับรู้เรื่องนี้ เมื่อพูดจบจึงหันไปมองลูกสะใภ้คนโปรดของตนเองทันที และพอเห็นท่าทางของลูกสะใภ้และหลานสะใภ้ก็เข้าใจได้ว่า สะใภ้ใหญ่คงสร้างเรื่องอีกแล้ว แต่จะให้พูด
หักหน้ากันตรงนี้คงไม่ได้ นางจึงยังเงียบและไม่พูดอะไรออกมา
“ฉันไม่ได้ใส่ร้าย เสี่ยวเหมยต้องแอบฉันไปทำงานในคอมมูนเพราะถูกป้าสะใภ้ชิงเงินค่าเทอมของการมอบตัวไป วันนี้ฉันเพิ่งรู้เรื่องเพราะเห็นว่าน้องสามีนั้นไม่ได้ไปโรงเรียนอย่างที่ควรจะเป็น เงินสิบกว่าหยวน หวังว่าย่าจะคืนให้นะ” หญิงสาวเรียกร้องเงินที่ถูกยึดไปคืน และเธอเชื่อว่าทั้งย่าและ
ป้าสะใภ้ไม่มีทางคืนแน่ ดีไม่ดีคงจะหาข้ออ้างร้อยแปดออกมา แต่นี่ฟางเจียวเหมยคนใหม่ค่ะ ต่อให้ไม่คืน เธอก็มีทางแก้ที่เจ็บแสบกว่าการได้เงินคืนมาแน่นอน
เมื่อเจอคำพูดที่ชวนให้หลังชนฝา ทว่าย่าหลี่ยังคงไม่ยอมรับแต่โดยดี ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนโปรดและหันกลับมาพูดกับหลานสะใภ้จากบ้านสาม
“ต่อให้เป็นอย่างที่หล่อนพูดมา แต่อย่าลืมว่าเสี่ยวเหลี่ยนคือผู้หญิง เรียนไปก็เท่านั้น พอแต่งงานก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลสามีไม่ต้องเรียนให้เสียเวลาและเงินทองหรอก เรื่องนี้ให้แล้วกันไปเถอะ ฉันไม่มีเงินคืนหรอกนะ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเงินมันหายากและค่าใช้จ่ายบ้านใหญ่ก็มากโข” ย่าหลี่ตัดสินใจให้จบเรื่องนี้และเลิกแล้วต่อกัน โดยไม่คิดที่จะพูดคุยกับสะใภ้ตนเองเพื่อให้ค*****นบ้านสาม
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันเป็นคนพูดง่ายอยู่แล้ว ถ้าแบบนั้นเงินที่บ้านสามต้องให้บ้านใหญ่ทุกเดือน ฉันจะตัดออก แล้วหยุดการจ่ายเงินครึ่งปี และต่อไปนี้บ้านสามจะไม่มาทำงานบ้านหรืออาหารให้บ้านใหญ่อีก สรุปตามนี้นะ ถ้าใครไม่จบก็ไปเจอกันที่สถานีตำรวจข้อชิงทรัพย์”
ฟางเจียวเหมยย้อนกลับอย่างเจ็บแสบเช่นกัน เธอแลกกับการที่ไม่ต้องแบ่งเงินเดือนที่สามีของร่างนี้ส่งมาให้ในทุก ๆ เดือน ดีเสียอีกเพราะไม่ต้องจ่ายตั้งครึ่งปี
“หล่อนจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ก่อนหน้านี้บ้านสามจ่ายให้บ้านใหญ่มากกว่านี้อีก พอหล่อนแต่งเข้ามา เงินที่ให้ก็ลดน้อยลง แล้วนี่จะมาตัดเงินอีกครึ่งปี แถมไม่มาทำอาหารให้อีก แล้วบ้านใหญ่จะกินอะไรกันล่ะ” ย่าหลี่โวยวายยิ่งกว่าผีเข้าเสียอีก พอรู้ว่าจะไม่ได้เงินเข้ากองกลางบ้านตั้งครึ่งปี แม้ว่าจะถูกลดลงมาจากเมื่อก่อน แต่ถึงอย่างไร เดือน ๆ หนึ่งเงินก็เข้ากองกลางหลายหยวน หากถูกตัดส่วนนี้ไป บ้านใหญ่จะมีเงินกองกลางเข้ามาเท่าไรกันเชียว
“เมื่อก่อนกินอย่างไรก็กินแบบนั้นแหละค่ะ ผักก็เยอะ เดี๋ยวนี้ร้านค้าก็เปิดขายกันเยอะแล้ว จะกลัวอดไปทำไมกัน วันนี้ฉันต้องขอตัวก่อน แต่ถ้าย่าไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายอีก ย่าก็ไล่พวกเราออกจากบ้านสิคะ ตัดขาดเลยยิ่งดี!!” พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าออกจากบ้านทันที พร้อมกับจูงมือ
น้องสามีออกมาด้วย
หลังจากที่ฟางเจียวเหมยออกมาแล้ว ย่าหลี่ก็เป็นลมหงายหลังตึง จนสะใภ้ใหญ่ของบ้านต้องรีบเข้ามาดูอาการแม่สามี และเมื่อย่าหลี่ฟื้นขึ้นมาก็ก่นด่าลูกสะใภ้คนโปรดยกใหญ่ ที่ทำให้บ้านใหญ่ขาดรายรับจากบ้านสามตั้งครึ่งปี