บทที่ 3 ไม่ทิ้งคราบสะใภ้ร้ายกาจ

1692 Words
เมื่อเห็นว่าแม่สามีกำลังจะออกจากห้องไป ฟางเจียวเหมยจึงรีบร้องห้าม “แม่ไม่ต้องออกไปหรอก ดูหลานอยู่ในห้องเถอะ ข้างนอกนั่นฉันจัดการเอง” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกับคนที่ไม่ได้ล้มป่วยมาก่อน “ตะ...แต่” หนิงหงชุนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะไม่ต้องการให้ลูกสะใภ้มีเรื่องกับบ้านใหญ่ “ไม่มีแต่ค่ะ หรือแม่ต้องการให้ฉันอาละวาดตรงนี้” หญิงสาวพยายามนึกถึงท่าทางเดิมของร่างนี้ ก่อนจะพยายามแสดงออกมาให้เหมือนที่สุด จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกต “ได้ ได้จ้ะ แม่จะอยู่ดูหลานนะ” เมื่อเห็นท่าทีของลูกสะใภ้คล้ายจะกลับมาร้ายกาจเหมือนเดิม หนิงหงชุนจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก จากนั้น ฟางเจียวเหมยจึงได้ออกมาจากห้องเก็บของที่เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวสาม เมื่อออกมาก็พบกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง “แม่สามีหล่อนล่ะ ไม่ออกมาด้วยเหรอ” ซ่งเจียฮุยสะใภ้ใหญ่ของบ้านใหญ่หลี่เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “แล้วทำไมแม่ต้องออกมาล่ะ มีอะไรก็พูดกับฉันได้นี่นา” หญิงสาวถามกลับด้วยดวงตาใสแป๋วคล้ายกับไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายว่าถามถึงแม่สามีของตนเองทำไม เมื่อเจอท่าทางที่ไม่เคยพบมาก่อนของสะใภ้ร้ายกาจประจำ บ้านสามหลี่ ป้าสะใภ้อย่างเธอเลยทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะตั้งสติได้แล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างเหนือกว่า “ก็แม่สามีของหล่อนไม่ออกมาทำงาน นี่ก็ใกล้จะได้เวลาอาหารแล้ว ถึงแม้จะแยกครัว แต่การทำอาหารก็หน้าที่ของสะใภ้สาม เรียกหล่อนออกมาทำหน้าที่ของตัวเองเดี๋ยวนี้” “งั้นฉันขอถามหน่อย ป้าสะใภ้และลูกสะใภ้ของป้ามีมือมีเท้าหรือเปล่าล่ะ” ฟางเจียวเหมยไม่สนใจว่าหญิงที่ได้ชื่อว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะพูดอะไร แต่เธอเลือกที่จะถามกลับ “มีสิ หล่อนถามทำไม คนไม่มีมือมีเท้าก็ต้องพิการแล้วสิ” ซ่งเจียฮุยตอบกลับ พร้อมกับมองมือมองเท้าของตัวเอง เพราะไม่เข้าใจว่าหลานสะใภ้จะถามเรื่องนี้ทำไม “นั่นไง ในเมื่อมีมือมีเท้าเหมือนกัน อีกทั้งป้าสะใภ้ก็ไม่ได้พิการ แล้วทำไมไม่ทำอาหารหรือทำงานในส่วนอื่นเองล่ะ บ้านสามของเรามีกัน แค่นี้ และแม่สามีกับเสี่ยวเหลียนก็ช่วยดูแลลูกฉันทั้งสองคน ไม่มีเวลามานั่งทำงานให้บ้านใหญ่อีกแล้ว ป้าสะใภ้กลับไปเถอะ ถ้าไม่พอใจก็ให้ย่ามาไล่เราออกจากบ้านก็แล้วกัน” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทียียวนเล็กน้อย เรื่องอะไรจะให้แม่สามีและน้องสามีไปเป็นทาสรับใช้ของคนบ้านใหญ่อีก ไม่มีวันเสียล่ะ “นี่แก….” หลังจากที่ถูกย้อนกลับ ซ่งเจียฮุยและสะใภ้ต่างก็กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะชี้หน้าและเตรียมจะด่าหลานสะใภ้จากบ้านสาม ทว่าโดนฟางเจียวเหมยสวนกลับเสียก่อน “หยุดนะ ฟางเจียวเหมยคนนี้ไม่ชอบให้ใครมาชี้หน้า ไม่ว่าคนนั้นจะหัวหงอกหัวดำถ้ามาชี้หน้าฉัน ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ อีกอย่างนะ ในเมื่อบ้านสามกับบ้านใหญ่แยกครัวแยกกินกันแล้ว ทำไมแม่สามีฉันต้องทำงานรับใช้พวกคนบ้านใหญ่ด้วย ต่อให้จะเป็นงานในคอมมูนถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำก็ได้ เพราะเวลานี้ไม่มีการบังคับให้ทำอีกแล้ว ในเมื่อบ้านใหญ่และบ้านรองก็ทำ ดังนั้นแม่สามีของฉันจึงไม่จำเป็นต้องทำงานกลางแดดอีก” หญิงสาวกวาดสายตามองทั้งสองคนอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะพูดต่อ “ส่วนเรื่องงานบ้านของบ้านใหญ่ สมาชิกบ้านใหญ่และบ้านรองอยู่ในบ้านก็ทำกันเองสิ ช่วยแหกตาดูสภาพบ้านสามด้วยว่ามีสภาพอย่างไร ห้องเก็บฟืนยังดีกว่าหลายเท่านัก คนเราเป็นคนเหมือนกัน มีมือมีเท้าเหมือนกัน บ้านใครก็ทำกันเอาเอง แล้วอย่ามาอ้างว่าย่าสั่ง เพราะความกตัญญูที่บ้านสามให้นั้นมันมากพอแล้ว เงินเดือนฉันก็ต้องแบ่งให้ทุกเดือน แล้วบ้านใหญ่กับบ้านรองล่ะให้อะไรปู่กับย่าบ้าง ต่อจากนี้ไม่ต้องมาเรียกแล้วนะ ถึงเรียกก็ไม่ไป หัดทำกันเองบ้าง ไม่ใช่สักแต่จะใช้คนอื่น!! ถ้าไม่เชื่อจะได้เห็นว่าฟางเจียวเหมยคนนี้ยังร้ายกาจได้มากกว่านี้อีกเยอะ” พูดจบฟางเจียวเหมยก็หมุนตัวกลับเข้าห้องทันที โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าอย่างไร ซ่งเจียฮุยและลูกสะใภ้เมื่อได้สติก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้านเหมือนกัน เพื่อนำเรื่องที่เจอไปบอกกับแม่สามี ส่วนทางหลี่เหว่ยเหลียนที่แอบฟังอยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงพี่สะใภ้พูดจบก็รีบวิ่งกลับมานั่งที่เดิม และทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ฟางเจียวเหมยเมื่อกลับเข้ามาในห้องก็รีบเอ่ยกับแม่สามีทันที “ต่อไปนี้แม่ไม่ต้องไปทำงานในคอมมูนหรือที่บ้านใหญ่อีกแล้วนะ แม่เลี้ยงหลานอยู่ที่นี่แหละ เงินที่พี่อี้ข่ายส่งมาก็ยังเหลืออยู่ หากใช้จ่ายกันในครอบครัวโดยไม่มีเหลือบไรหรือเห็บหมัดมาก่อกวนและสูบเลือดสูบเนื้ออย่างไรเราก็ใช้จ่ายกันพอ” พูดจบก็หันมาเห็นว่าน้องสามีไม่ไปโรงเรียนจึง เอ่ยถามขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมเสี่ยวเหลียนถึงยังไม่ไปโรงเรียนล่ะ สายมากแล้วนะ” “ย่าบอกว่าให้ฉันเรียนจบมัธยมต้นก็พอแล้ว ต่อไปก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว เรียนไปก็เท่านั้น” เด็กสาวตอบกลับพร้อมกับก้มหน้าเพราะไม่อยากสบตากับพี่สะใภ้ “แล้วเงินค่าเทอมไปไหน ฉันจำได้ว่าให้ไปแล้ว แสดงว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้ไปโรงเรียนแต่ไปทำงานที่คอมมูนเหรอ” จากความทรงจำ เรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านสาม ฟางเจียวเหมยเป็นคนจัดการทั้งหมด แม้ว่าบ้านใหญ่กับบ้านสามจะยังไม่แยกบ้าน ทว่าเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านสามนั้นฟางเจียวเหมยคนก่อนใช้ความสามารถฉกชิงมาจัดการเอง ในเมื่อร่างเดิมให้ค่าเทอมไปแล้ว แต่ทำไมน้องสามีกลับไม่ได้เรียน? แล้วเงินค่าเทอมพวกนั้นหายไปไหน? “เอ่อ...” เด็กสาวไม่กล้าพูดความจริงออกมาเพราะกลัวว่าพี่สะใภ้จะไปมีเรื่องกับบ้านใหญ่ “พูดมาเถอะ ต่อให้ฉันจะร้ายกาจอย่างไร แต่แม่กับน้องของสามีฉันละไว้ ฉันไม่ทำอะไรหรอก” ฟางเจียวเหมยพูดขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ ตอนนั้นป้าสะใภ้มาแย่งเอาเงินไป แล้วบอกว่าย่าไม่ให้เรียนแล้วค่ะ” หลี่เหว่ยเหลียนก้มหน้าพูดเบา ๆ “อืม นี่ก็จะสอบแล้วใช่ไหม เทอมนี้ไม่ทันก็ค่อยสอบเทียบแล้วเลื่อนชั้นเรียนเอา จำไว้นะคนเราน่ะไม่ว่าหญิงหรือชายย่อมต้องมีการศึกษา เพราะวันข้างหน้าทำให้เราสามารถเลือกงานได้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย เข้าใจไหม” ฟางเจียวเหมยพูดขึ้นกับน้องสามีด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ไม่มีอาการเกรี้ยวกราดหรือดุด่าแต่อย่างใด สำหรับเธอนั้นมองว่า ไม่ว่ายุคสมัยไหนการเล่าเรียนนั้นย่อมสำคัญเสมอ “แต่บ้านเราไม่มีเงินมากขนาดนั้นนะคะ พี่ใหญ่ทำงานใช้แรงงานได้เดือนละไม่เท่าไหร่เอง ฉันไม่เรียนก็ได้คะ” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา เพราะรู้ดีว่าพี่ชายนั้นทำงานคนเดียว และไม่อยากสร้างความลำบากให้พี่ชายเพิ่มอีก “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันยังพอมีสินเดิมที่ติดตัวมาเหลืออยู่ หากเอาไปขายอีกสักอย่างสองอย่างก็น่าจะพอส่งเธอเรียนแล้วล่ะ” ฟางเจียวเหมยนั้นมองว่าตนเองมีมิติ แค่เอาของออกมาขายก็น่าจะพอ แล้วที่สำคัญเรื่องของอาหารก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้วเหมือนกัน “ไม่ได้!! เรื่องเรียนของเสี่ยวเหลียนเอาไว้ก่อนเถอะ แล้วอย่าเอาสินเดิมออกมาขาย เก็บไว้ให้อาหมิงและหนิงหนิงเถอะนะ” หนิงหงชุนพอได้ยินว่าลูกสะใภ้นั้นจะเอาสินเดิมออกมาขายก็รีบร้องห้าม เพราะแม้ว่าบ้านสามของเธอจะยากจนและมีเพียงลูกชายที่ทำงานคนเดียว เธอก็ไม่ยอมที่จะให้ลูกสะใภ้ต้องขายของส่วนตัวเพื่อมาจุนเจือครอบครัวเหมือนกัน “แม่นั่นแหละเงียบไปเลย แล้วก็ฟังฉัน สินเดิมที่มีเก็บเอาไว้ก็เท่านั้น ไม่สู้เอาไปจำนำแล้วเอามาจุนเจือครอบครัวก่อนไม่ดีกว่าเหรอ ให้เสี่ยวเหลียนเรียนน่ะดีแล้ว แม่คิดสิว่า ถ้าเรายังอยู่ภายใต้ชายคาบ้านใหญ่ คิดเหรอว่าป้าสะใภ้กับย่าจะหาสามีดี ๆ ให้เสี่ยวเหลียน อย่าลืมสิยังมีลูกหลานจากบ้านใหญ่และบ้านรองอีก เอาเป็นว่าทำอย่างที่ฉันบอกเข้าใจไหม แล้วไม่ว่าฉันซื้ออะไรกลับมาบ้าน ถ้ามีคนถามก็บอกฉันใช้เงินจากสินเดิมซื้อ เข้าใจไหม” คราวนี้ฟางเจียวใช้น้ำเสียงที่พูดกับแม่สามีด้วยความแข็งกร้าวขึ้นหลายส่วนเพื่อให้นางยอมทำตามอย่างไม่มีการโต้แย้ง ‘ขอโทษนะแม่สามี หากไม่ทำแบบนี้แม่คงดื้อไม่หยุด’ ประโยคสุดท้ายเธอไม่ได้พูดออกไป และการที่พูดแบบนี้หากเธอแอบเอาอาหารออกมา แม่และน้องสามีจะได้ไม่สงสัย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD