บทที่4
นางสายบัวมองร่างที่หมอบกราบอยู่กับพื้นอย่างสะท้อนใจ ร่างสั่นๆ ด้วยแรงสะอื้นนั้นคือลูกสาวที่ทำให้เสียใจถึงที่สุดมาแล้ว บัดนี้เจ้าของร่างกำลังทำให้สะเทือนใจด้วยการกราบขอขมาแทบเท้าพร้อมเว้าวอนอย่าได้ขับไล่ไสส่งไปไหนอีกเลย
กณิศาไม่ได้คร่ำครวญว่าจะกลับมาดูแลเพราะห่วงใยนางแต่อย่างใด แต่กลับพูดตรงๆ ตามนิสัยว่าไม่มีที่ไปแล้ว เลี้ยงลูกคนเดียวไม่ไหวอยากหางานทำและอยากขออาศัยชายคาบ้านหลังนี้ให้คุ้มแดดคุ้มฝนตนเองและลูกต่อไป ไม่มีแม้แต่น้อยที่จะเอ่ยถึงเทวัญชายหนุ่มที่หนีตามกันไป และนางก็ไม่อยากรู้อยากถามด้วยเช่นกัน
นางสายบัวนิ่งคิดมองแผ่นหลังสั่นสะท้านของกณิศาแล้วหันไปมองใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กหญิงรวงข้าวบนเตียง เด็กน้อยกำลังทำหน้าสับสนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มยามสบตานาง แล้วพอหันไปมองกณิศาใบหน้าไร้เดียงสาก็หม่นลง ปากเล็กๆ สีแดงเหมือนลูกเชอร์รี่เบะออกนางยิ่งสะท้อนใจ
ดูอย่างสำรวยกับแจ่มจันทร์ที่เป็นแค่น้องกับหลานมาขออยู่ด้วยนางยังยินดีรับไว้ แล้วนี่ลูกในไส้กับหลานแท้ๆ นางจะใจดำขับไล่ไสส่งไม่ดูดำดูดีเชียวหรือ แม้ความผิดในอดีตที่ทำให้นางเสียใจและอับอายชาวบ้านยังไม่สามารถลบเลือนไปเสียทีเดียวหมด แต่นางสายบัวก็ยอมรับว่าคราแรกที่เห็นหน้ากณิศาอีกครั้งหลังจากไปนานนั้นนางดีใจอย่างยิ่ง
แต่เพราะอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย ความปรีดาจึงถูกเก็บงำเอาไว้ ทั้งยังมีความน้อยใจในการกระทำชิงสุกก่อนห่ามของกณิศา นางจึงแสดงออกอย่างที่เห็น แล้วเวลานี้ถ้านางยังทำใจแข็งขับไล่กณิศาไป ลูกก็คงจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกเลย
“แกจะทำงานอะไร” แม้ไม่ตอบยกโทษหรืออนุญาตให้อยู่ต่อ แต่คำถามของนางสายบัวก็มีความหมายถึงความใส่ใจใคร่รู้ กณิศาเงยหน้าปาดน้ำตาแล้วบอกปนสะอื้น
“ก็ต้องหาไปเรื่อยๆ ค่ะแม่”
“ยังไม่มีงานทำ” นางทำเสียงเข้มและค่อนข้างดังก่อนจะชายตาไปมองรวงข้าวที่สะดุ้งขึ้นมาทันที นางเองก็ตกใจไม่คิดว่าเด็กจะตกใจขนาดนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้อุ้มขึ้นมากอดปลอบไว้ แล้วพูดต่อ
“ไม่มีงานจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูก เด็กโตขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช่จ่ายจิปาถะ ช่วยจันทร์มันดูบัญชีก็แล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะแม่” กณิศายกมือไหว้ยิ้มอย่างยินดีแม้นางสายบัวจะทำเมินหันไปสนใจกับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าตาเนื้อตัวของเด็กน้อยในอ้อมแขน พร้อมหันกลับมาถามอย่างแปลกใจ
“ยังไม่อาบน้ำให้ลูกหรือยังไง”
“อาบแล้วค่ะแม่ แต่รวงข้าวขี้ร้อนห่างพัดลมไม่ได้เลย” กณิศาลุกขึ้นยืนยิ้มแหยๆ ให้แม่ทั้งที่ใบหน้าเปลอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เห็นนางสายบัวกวาดตามองไปทั่วแล้วหยุดนิ่งตรงพัดลมที่เปิดอยู่แล้วส่ายไปมา นางค่อนข้างพอใจที่กณิศาเชื่อฟังไม่ได้เปิดพัดลมจ่อให้เด็กหญิงเหมือนวันก่อน แล้วหันกลับมามองใบหน้าเด็กน้อยในอ้อมแขนอีกครั้ง
“เช็ดเนื้อเช็ดตัวเสียใหม่ก่อนนอนจะได้นอนสบายไม่เหนียวตัว” นางบอกแล้วส่งรวงข้าวให้กณิศารับไปอุ้ม หญิงสาวรับคำเบาๆ แล้วเดินตามมาส่งนางสายบัวที่ประตู แต่พอนางสายบัวจะก้าวออกไปนอกห้องเธอก็รั้งไว้ด้วยคำพูด
“ขอบคุณมากนะคะแม่”
นางสายบัวไม่ได้พูดอะไรตอบแค่หันกลับมามองพบว่ากณิศายกมือไหว้ตนเองอีกครั้ง และรวงข้าวกำลังโบกมือหง็อยๆ หญิงสูงวัยแต่พยักหน้าเล็กน้อยให้กณิศาแล้วยื่นมือไปจับแก้มยุ้ยๆ ของเด็กน้อยก่อนเดินออกจากห้องไป
กณิศามองตามหลังแม่อย่างมีความสุขกับท่าทีอ่อนลงของแม่ ก่อนจะหันมาสบตารวงข้าว พร้อมบอก
“คุณยายบอกให้เช็ดตัว เราไปเช็ดตัวกันนะคะ”
“ปะ ปะ” ลูกน้อยตอบรับคำชวน พร้อมพยักหน้าหงึกหงักทันที
น้ำค้างยามเช้าเกาะยอดหญ้าในสนามส่องประกายเมื่อแสงแดดทอดตัวมาถึง ผีเสื้อปีกบางโบยบินดูดกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ นกตัวเล็กบินถลาเล่นลมที่พัดโชยบางเบา เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้มแว่วมาตั้งแต่ยังไม่สางมาบัดนี้ยังหลงเหลือเสียงโก่งคอขันอยู่เป็นระยะ วิถีชีวิตชาวชนบทเริ่มขึ้นอย่างสดใสเช่นเดียวกับธรรมชาติรอบตัว
กณิศากับรวงข้าวเดินเล่นเท้าเปล่าย่ำไปบนหญ้าและน้ำค้างอย่างมีความสุข นานแล้วที่เธอไม่ได้ใช้เท้าสัมผัสหญ้าและดินโดยตรง ส่วนเด็กหญิงรวงข้าวนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่เคยสัมผัสมาก่อน หญิงสาวคิดถึงบรรยากาศของห้องเช่าเล็กๆ ที่พักอยู่เพียงลำพังจนกระทั่งรวงข้าวคลอด ยามใช้ชีวิตโดดเดี่ยวต่างบ้านต่างเมือง แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีพระคุณทว่าไกลญาติสนิทมิตรสหายที่พูดภาษาเดียวกัน และยิ่งไกลแม่บังเกิดเกล้าของตนเองจนเธอต้องเสียน้ำตาทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง
แต่เธอไม่เคยคิดโกรธเคืองใครๆ ที่ทำให้ชีวิตเธอเป็นเช่นนี้ และรวงข้าวก็ไม่ใช่มารหัวขนอย่างที่เคยได้ยินใครบางคนพูดถึง รวงข้าวคือลูกที่เกิดขึ้นจากความรักของเธอที่มีต่อพ่อของรวงข้าว ทุกครั้งที่มองหน้าลูกความสับสนก็บังเกิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเด็กน้อย เขารักหรือต้องการแค่ครอบครองและประกาศความเป็นเจ้าของเหนือเรือนร่างเธอเพียงเท่านั้น
“แมะ แมะ” เสียงเล็กๆ ฉุดกณิศาให้กลับมาจากความหลังที่กำลังมีผลกับปัจจุบันของเธอ หญิงสาวรีบก้มลงสบตาเจ้าของเสียงเรียกที่ยังออกเสียงไม่ชัดนักทันที พบว่ารวงข้าวนั่งอยู่บนพื้นแฉะๆ ไปด้วยน้ำค้าง และในมือของเด็กน้อยคือเจ้ากระต่ายตัวเล็กๆ
“ว้าย! ปล่อยค่ะเดี๋ยวมันกัดเอานะคะ”
“กระต่ายไม่ใช่สัตว์ดุร้าย” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นข้างหลังจนกณิศาสะดุ้งรีบหันไปมองแล้วถอยห่าง ก่อนสะบัดหน้าให้แล้วตอกกลับ
“ใครจะไปรู้ สัตว์หน้าขนไว้ใจไม่ได้หรอก ขนาดคนที่ขนบนหน้าน้อยกว่าสัตว์บางชนิดยังไว้ใจไม่ได้เลย เผลอเป็นกัด” กณิศาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าทำไมตนเองถึงพูดแรงขนาดนี้ แล้วก็เห็นชยธรเชิดหน้าคอแข็งขึ้นทันที
ชายหนุ่มย่อตัวลงจับกระต่ายจากมือน้อยๆ ที่กำลังกำขนปุยบนหลังมาอุ้มไว้ในมือเดียว รวงข้าวทำเหมือนจะคว้าคืนแล้วตะกายอย่างไม่ยอม แต่กณิศารีบอุ้มถอยห่างเสียก่อน แต่ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ยังดิ้นรน ชี้มือไปทางชยธรหย็อยๆ
“รวงข้าว” กณิศาทำเสียงเข้ม แต่ไม่ได้ดุมากนัก เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเด็กที่ว่าง่ายไม่ดื้อไม่ซนอย่างรวงข้าวจะต้องออกฤทธิ์เดชต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่เอาลูกมันสกปรกมีเชื้อโรคนะคะ” กณิศาพยายามบอกให้ลูกกลัวและเลิกร้องจะเข้าไปจับกระต่ายตัวน้อยในมือชยธร
ชายผู้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงน่ารักถึงกับมองหน้าเธอด้วยความไม่พอใจอีกครั้งเพราะดูเหมือนว่าคำที่เธอว่ากล่าวออกมานั้นไม่ได้หมายถึงเจ้าขนปุย แต่ว่ากระทบเขามากกว่า
“ถึงจะมีเชื้อโรค สกปรก แต่กระต่ายมันก็เป็นสัตว์รักเดียวใจเดียว ไม่สำส่อนรักสนุกมากชู้หลายผัวเหมือนคนบางคน”
“...” กณิศาเจ็บจนพูดไม่ออกกับคำที่ถูกด่ากระทบ วันเวลาทำให้ผู้ชายบางคนปากกล้าขึ้นจนเธอคาดไม่ถึง ยิ่งเวลานี้เขายังจ้องตาเธอนิ่ง สายตาตำหนิอย่างเปิดเผย กณิศาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ถ้าไม่มีรวงข้าวในอ้อมแขน เธอจะพุ่งเข้าไปฟาดปากที่พ่นคำน่าเกลียดออกมาเสียทันที
“คุณเคนทานอาหารเช้าด้วยกันค่ะ” เสียงแจ๋วของแจ่มจันทร์คลายอาการสั่นเพราะความโกรธของกณิศาลงได้แต่ไม่ทั้งหมด เธอจึงเลือกที่จะหันกลับพาลูกเข้าบ้าน แต่แจ่มจันทร์ที่เดินแกมวิ่งสวนมาก็หยุดพูดกับเธอไม่ต่างจากออกคำสั่งนัก
“ไปบอกป้ามุนทำอาหารเช้าเผื่อคุณเคนด้วย”
กณิศาจิกตามองแจ่มจันทร์แล้วส่ายหน้าช้าๆ พร้อมตอบกลับเสียงรอดไรฟัน
“ไม่ใช่หน้าที่ ชวนเองก็แล่นไปบอกป้ามุนเอง”
“อีก้อย” แจ่มจันทร์ตวาดแว้ดเสียงแหลมและดังพอสมควรจนรวงข้าวสะดุ้งแต่ไม่ร้องไห้โยเย เด็กหญิงทำหน้าเหม็นย่นจมูกใส่เหมือนทุกครั้งที่ไม่ชอบใจอะไร ทว่าแจ่มจันทร์ที่โกรธแม่ยิ่งเจอลูกทำหน้าแบบนี้จึงพาลโกรธไปด้วย หญิงสาวทำตาดุใส่รวงข้าวแล้วพูดใส่หน้าเสียงไม่ดังนัก
“มารหัวขน....ว้าย!” แจ่มจันทร์ว่าเสร็จก็สะบัดหน้าใส่แล้วเดิน แต่ล้มหน้าคะมำทันทีเพราะกณิศายื่นขาไปขัดอย่างจงใจ แจ่มจันทร์หันขวับมามองดวงตาโกรธจัด
“แกขัดขาฉัน”
“ใช่ แล้วจะทำไม” กณิศาไม่ปฏิเสธแล้วถามกลับหน้าตาเอาเรื่องไม่แพ้กัน เพราะไม่ชอบใจที่แจ่มจันทร์มาว่ารวงข้าวแบบนั้น เธอรู้ดีว่าลูกของตนเองเกิดขึ้นจากความรักแม้จะเป็นความรักจากเธอเพียงฝ่ายเดียว ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่แยแสและได้ยินเสียงแจ่มจันทร์ร้องกรี๊ดเสียงแหลมอยู่ข้างหลัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอดโอยและพูดออดอ้อน
“คุณเคนขาช่วยจันทร์ที เท้าแพลงแน่ๆ เลย โอ๊ย!”
ชยธรที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่ได้ยินบทสนมนาของสองสาว เห็นเพียงกณิศาที่เดินหนีเขาไปหยุดพูดคุยกับอะไรแจ่มจันทร์ชั่วครู่ แล้วแจ่มจันทร์ก็เดินจากมาแต่ถูกกณิศาขัดขาจนล้มลง เขาคิดว่าเธอเปลี่ยนแปลงไปมากชนิดที่เขายังคาดไม่ถึง
ชายหนุ่มวางกระต่ายขนนุ่มในมือลงบนพื้นหญ้าที่ชื้นน้ำค้าง ลูบหัวมันเบาๆ เจ้ากระต่ายก็กระโดดเล่นโหยงๆ จากนั้นเขาก็หันมาส่งมือให้แจ่มจันทร์ที่นั่งกำข้อเท้าร้องครวญคราง แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธเสียทันที
“พยุงหน่อยสิคะ มันลุกไม่ขึ้นจริงๆ นังก้อยมันแกล้งจันทร์ จู่ๆ ก็มาขัดขากันได้” แจ่มจันทร์ออดอ้อนในน้ำเสียง ทำหน้าเจ็บปวดจนชายหนุ่มต้องลดตัวลงไปประคองให้ลุกขึ้นมา พอขึ้นมายืนได้แจ่มจันทร์ยังแกล้งเซไปซบแผ่นอก รับรู้ว่าชยธรพยายามกันเธอออกห่างด้วยการยันไหล่ไว้
แจ่มจันทร์จึงเงยหน้ายิ้มยั่วยวนอย่างมีความหมายให้ แต่ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเขาไม่ได้มองสบตาเธอ ดวงตาสีดำมองข้ามหัวเธอไปอย่างมีจุดหมาย แจ่มจันทร์เหลียวตามไปดวงตาเธอวาวโรจน์อย่างเคืองแค้นทันทีที่เห็นว่าเป้าสายตาของชยธรไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหญิงสาวคู่อริที่ทำเธอเจ็บแสบอยู่เวลานี้
‘นังก้อย คอยดูเถอะฉันจะทำให้แกเจ็บมากกว่าหลายเท่า นังบ้า’