บทที่๓/๒

2388 Words
เมื่อหยิบตะกร้ามาหิ้วแล้วกณิศาก็ส่งมือไปหารวงข้าวเพื่อจะรับมาอุ้ม แต่เด็กหญิงกลับหันไปกอดคอชยธรแน่น พร้อมส่ายหน้าวุ่น “รวงข้าวมาหาแม่” กณิศาพยายามพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับลูก ทว่าเด็กหญิงกลับปัดมือ ส่ายหน้าแล้วพูดตามประสาแต่ความหมายคือไม่มา ซ้ำยังหันไปกอดคอชยธรแน่นขึ้น เมื่อกณิศาจับตัวจะบังคับโดยการดึงมาจากอ้อมแขนของชยธรเด็กหญิงก็พยายามปีนหนี จนเธอต้องส่งเสียงเข้มใส่ “รวงข้าว!” สิ้นเสียงของกณิศาเด็กหญิงถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยอาการตกใจ ก่อนปากบางๆ จะเบะออก ชยธรหันไปดุกณิศาในทันทีเช่นกัน “ทำไมต้องทำเสียงดังด้วยนะก้อย” พร้อมกับกอดเด็กแล้วเอ่ยปลอบ “โอ๋ๆ ไม่มีอะไรค่ะ ไปค่ะไปกับ..ลุง” เขาสะดุดคำพูดเล็กน้อยก่อนจะแทนตัวเองว่าลุง ทั้งที่ในความรู้สึก บอกกับเขาว่าแทนตัวเองด้วยคำนี้ไม่ถูกต้อง “ไม่ค่ะ ส่งแกมานี่” กณิศายืนยันจะอุ้มรวงข้าวเอง และเมื่อชยธรเองก็ไม่โอนอ่อนผ่อนตามจึงดูเหมือนการยื้อยุดเด็กน้อยเกิดขึ้น “อยากให้คนทั้งศาลาหันมามองหรือก้อย” “ช่างคน เอาลูกฉันมานะ คุณไม่มีสิทธิ์” กณิศาไม่ฟังเสียง วางตะกร้าลงกับพื้นแล้วแย่งลูกมาจากชยธร ซึ่งเขาก็ปล่อยให้แต่โดยดีเพราะกลัวเด็กจะเจ็บตัว และเห็นท่าทีไม่ต่างจากจงอางหวงไข่ หรือหมาแม่ลูกอ่อนของกณิศาก็ทั้งแปลกใจทั้งขัน แค่เขาอุ้มลูกเธอเป็นถึงขนาดนี้แล้วถ้าคนอื่นอุ้มจะหวงขนาดนี้ไหม ความคิดของชยธรสะดุดลง เมื่อย้อนคิดไปถึงเมื่อเช้าตอนเขากลับไปอาบน้ำที่บ้าน นิพลอยู่กับกณิศาและลูกของเธอ ท่าทางสนิทสนมไม่ได้หวงห่วงเหมือนตอนนี้ ชยธรบดกรามอย่างลืมตัว ก่อนจะก้มลงหิ้วตะกร้าแล้วเดินเข้าไปในศาลาที่สายตาหลายคู่มองมาอย่างสนใจ โดยไม่แยแสเสียงร้องไห้ๆ เบาๆ ของเด็กน้อยในอ้อมแขนกณิศาอีกเลย ส่วนกณิศาเมื่อทำให้ลูกร้องไห้ก็สำนึกได้ หญิงสาวปลอบลูกเบาๆ เพื่อให้หยุดร้องพลางเช็ดคราบน้ำตา ตัวเธอเองก็น้ำตาซึมสงสารลูกไปด้วย แต่เรื่องจะปล่อยให้อยู่กับชยธรนานๆ เธอก็ไม่ชอบ จะว่าไม่ไว้วางใจเขาก็ไม่ใช่ ดูเขาอ่อนโยนกับรวงข้าวแม้เป็นการพบกันครั้งแรก แต่เธอกลัวส่วนจะกลัวอะไรนั้นเธอก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน ฌาปนสถานวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพกนกกรวันนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน มองไปทางไหนก็เห็นชุดดำไหวๆ ตามการเคลื่อนกาย จะมีสีขาวหรือสีอื่นซึ่งเป็นสีสุภาพและเหมาะสมสำหรับศพแซมบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถึงแม้จะเป็นวันเผาศพของหญิงสาววัยทำงานไม่ใช่คนชราก็มีคนมาร่วมงานอย่างหนาตา เพราะนางสายบัวนั้นเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านทุกคน ไม่เคยถือโกรธกับการถูกนินทาว่าร้ายในเรื่องที่ผ่านๆ มา เมื่อนางสูญเสียบุตรสาวคนโตไปอย่างไม่มีวันกลับ ชาวบ้านที่เคยนินทาเคยยิ้มเยาะต่างก็มาร่วมงาน แม้บางคนจะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็ตามที คนที่มาร่วมงานต่างทยอยลงจากเมรุเมื่อวางดอกไม้จันทน์แล้ว ชยธรกับแจ่มจันทร์เป็นตัวแทนเจ้าภาพขอบคุณแขกและมอบของที่ระลึก นางสำรวยคอยปลอมพี่สาวที่นั่งมองมาจากศาลาเพราะไม่มีประเพณีให้ผู้บังเกิดเกล้าและญาติสนิทที่อายุมากกว่าส่งศพลูกหลานแต่อย่างใด กณิศาที่นั่งอุ้มลูกอยู่ในศาลาเล็กๆ ใกล้เมรุเช่นเดียวกับแม่มองผู้คนที่ขึ้นและลงจากเมรุจนบางตาลงไปมากจึงขยับจะลุกขึ้น เพราะเธอเป็นน้องถึงแม้ถูกกันไม่ให้ได้ทำหน้าที่ใดๆ แต่การขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์และกล่าวอโหสิกรรมครั้งสุดท้ายย่อมไม่มีใครกล้ามาห้ามเธอ หรือถึงแม้จะมีคนห้ามเธอก็จะไป แต่พอกณิศาลุกขึ้นนางสายบัวก็ท้วงขึ้น “อย่าเพิ่งไป” “แม่คะก้อยขอ แค่ไปวางดอกไม้จันทน์เท่านั้นเอง” กณิศารีบพ้อทันทีเพราะคิดว่าแม่จะห้าม ทว่านางสายบัวกลับบอกว่า “ไม่ต้องเอาเด็กไป” พร้อมกับส่งมือไปรับเด็กหญิงรวงข้าว กณิศามีสีหน้าที่ดีขึ้นก่อนบอกกับลูกเบาๆ “อยู่กับคุณยายนะคะเดี๋ยวแม่มา” พร้อมกับส่งร่างเล็กๆ ไปให้แม่ แต่สำรวยกลับยกมือเพื่อจะรับไปอุ้มแทน เด็กน้อยถึงกับสะบัดหนีจากที่เมื่อครู่ส่งยิ้มให้นางสายบัวแล้ว ผู้เป็นยายจึงหันไปบอกน้องสาว “ไม่ต้อง ฉันอุ้มเอง หลาน...” นางสายบัวหยุดกึกเหมือนเป็นคำต้องห้าม ก่อนจะรับเด็กหญิงรวงข้าวมานั่งบนตักตนเองแล้วมองตามหลังกณิศาที่เดินไปอย่างเร่งรีบทันที “ไม่ถามยัยก้อยละพี่บัวผัวมันกลัวอะไรถึงไม่ยอมมา ถึงทำผิดมากมายขนาดไหนถ้ามาเคารพศพคงไม่มีใครฆ่ามันหรอก” “ไม่ได้ถามคงไม่ว่าง” นางสายบัวตอบเหมือนขอไปที น้ำเสียงห้วนสั้นแบบมะนาวไม่มีน้ำจนสำรวยไม่กล้าที่จะซักถามหรือพูดอะไรต่อ ได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆ ให้เด็กหญิงรวงข้าวที่กำลังยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตวาววับเหมือนจะเย้ายั่วอยู่ในที หากไม่ใช่เด็กอายุขวบเศษๆ นางสำรวยจะเหมาเอาว่าแม่หนูน้อยกำลังเยาะเย้ยตนเอง แจ่มจันทร์ในชุดเสื้อและกระโปรงสีดำเข้าชุดกัน ชุดที่มีราคาค่างวดพอสมควรซึ่งเธอตั้งใจซื้อมาใส่ในงานวันนี้โดยเฉพาะเนื่องจากเสนอตัวกับนางสายบัวผู้เป็นป้าไว้แล้วว่าจะขอเป็นตัวแทนเจ้าภาพกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมในวันฌาปนกิจพร้อมกับชยธร เมื่อนางสายบัวอนุญาตแจ่มจันทร์จึงไปซื้อชุดนี้มาพร้อมการแต่งหน้าแต่งตาที่ดูจัดขึ้นจนผิดวิสัยการมาร่วมงานศพเช่นนี้ ก่อนออกจากบ้านนางสำรวยก็ทักท้วงถึงสีสันบนใบหน้าที่จัดจ้านเกินงาม แต่แจ่มจันทร์กลับบอกแม่ว่าถ้าแต่งหน้าอ่อนๆ เวลาถ่ายรูปคู่กับชยธรแล้วหน้าจะจืดไป รูปออกมาไม่สวยเท่าที่ควร ซ้ำเวลามายืนเคียงข้างชยธรยกมือไหว้ขอบคุณคนที่มาร่วมงานแจ่มจันทร์ยังยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงใบหู แล้วคอยเรียกช่างภาพมาถ่ายรูปคู่กับชยธรเอาไว้เป็นที่ระลึกอีก ถึงแม้ชายหนุ่มจะพยายามบ่ายเบี่ยงหรือทำหน้าง้ำเธอก็ไม่สนใจยังชวนพูดชวนคุยยิ้มหวานให้จนเกินพอดี ทว่าเวลานี้แจ่มจันทร์หยุดยิ้มใส่จริตใดๆ ทั้งสิ้น แล้วมองกณิศาอย่างไม่พอใจ ร่างระหงในชุดดำเสื้อและกระโปรงเรียบๆ ของกณิศากลับดึงดูดสายตาหลายคู่ได้อย่างอัศจรรย์ ยิ่งเวลานี้ผู้คนทยอยลงจากเมรุจนเกือบหมดแล้ว กณิศาซึ่งเป็นคนหน้าตาสะสวยบวกกับรูปร่างสูงระหงในชุดดำจึงโดดเด่นและตกเป็นเป้าสายตาอยู่เพียงลำพัง “เผาศพพี่สาวแท้ๆ ยังไม่ยอมให้ผัวมาคงละอายใจสิท่า ไอ้เทวัญก็เหลือเกินไม่ใช่ว่าพอมันโผล่หน้ามาแล้วใครจะฆ่ามันเสียเมื่อไหร่” แจ่มจันทร์ทำเสียงหยันก่อนหันไปถามความเห็นของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ “ใช่ไหมคะ” “ไม่ทราบครับ” ชยธรสวนคำอย่างรวดเร็วเพราะไม่ชอบที่แจ่มจันทร์มักนินทาหรือพูดจาดูถูกคนโน้นคนนี้ โดยเฉพาะหญิงสาวผู้ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนรวมถึงเขาด้วย ซึ่งยอมรับว่ากณิศาดูน่ามองขึ้น อิ่มเอิบและมีน้ำมีนวลขึ้น เขาไม่แน่ใจว่าผู้หญิงที่มีลูกแล้วจะเปลี่ยนแปลงไปทุกคนหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นมาส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนดูผิดกับสมัยเป็นโสดเป็นสาวรุ่นมาก แต่เพราะเขาเองก็ยังมีสิ่งคาใจและใคร่รู้ชายหนุ่มจึงพูดกับแจ่มจันทร์เสียงอ่อนโยนลง “เขาอาจติดธุระสำคัญมั้งครับถึงมาไม่ได้” แจ่มจันทร์คลี่ยิ้มบางๆ ทั้งที่เมื่อครู่สะอึกและหน้าคว่ำกับเสียงตอบห้วนๆ สั้นๆ แต่พอเขาพูดกลับมาเสียงอ่อนโยนแจ่มจันทร์ก็คิดว่าเขาคงสำนึกได้และสนใจความรู้สึกเธอพอสมควร และไม่แปลกที่คนอย่างแจ่มจันทร์จะคิดไปว่าเพราะวันนี้เธอแต่เนื้อแต่งสวยจนผิดหูผิดตาและชยธรอาจสนใจเธอขึ้นมาบ้างก็ได้ “ถ้าติดธุระมันต้องบอกป้าบัวแล้ว นี่ไม่พูดถึงสักคำคงละอายใจ ป้าบัวก็ใจเด็ดชะมัดไม่ถามถึงเลยค่ะ” แจ่มจันทร์บอกยิ้มตาวาวใส่จริตจะก้านเต็มที่แล้วรีบเสนอ “แต่ถ้าคุณเคนอยากรู้ จันทร์ไปสืบให้เอาไหมคะว่านายเทวัญมันหัวหดอยู่ที่ไหน แต่ตลกนังก้อยมันบอกจันทร์ว่านายเทวัญพามันไปอยู่เมืองนอก ถ้าบ้านนอกหรือแถวชายแดนจันทร์จะเชื่อเลยค่ะ” แจ่มจันทร์พูดจบก็หัวเราะคิกเสียงเอง ส่วนชยธรได้แต่นิ่งเงียบ สบตาหญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงที่เดินลงบันไดผ่านมาและคงได้ยินเต็มสองหูทว่ากณิศาไม่ได้พูดอะไร มีแต่สีหน้าระอาและกดมุมปากเหมือนจะหยันเขาที่ฟังแจ่มจันทร์พล่าม จนชายหนุ่มอยากจะบอกออกไปทันทีว่าเขาไม่ได้เชื่อและคิดตามที่แจ่มจันทร์บอก แต่ทำได้แค่คิดเมื่อกณิศาเดินผ่านไป และแจ่มจันทร์ก็สะดุดเสียงหัวเราะของตนเอง หุบปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นคนที่นินทาเดินผ่านไป เธอหันมามองชยธรแล้วยิ้มแหยให้ ก่อนจะชักชวนเขาขึ้นไปวางดอกไม้จันทร์เพราะไม่มีแขกให้ขอบคุณอีกแล้ว “ไปวางดอกไม้จันทร์กันเถอะค่ะ” ที่นอนหนานุ่มบนเตียงขนาดไม่ใหญ่มีสองร่างหยอกเย้ากันอยู่ หญิงสาวในชุดนอนเสื้อแขนสั้นและกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อนไร้ลวดลายใดๆ นอนหงายชันเข่ารองรับร่างกระจ้อยร่อย ที่หัวเราะคิกคักตามจังหวะการขยับขาขึ้นลงของผู้เป็นแม่ กณิศาจับสองแขนของรวงข้าวกางออกทำประหนึ่งปีกยามโบยบินของเจ้านกน้อย แล้วดึงเข่าเข้ามาใกล้หน้าอก สลับไปกับยืดออกไปไกลที่สุดเท่าที่จะรองรับน้ำหนักของรวงข้าวได้ ทำสลับกันอยู่อย่างนี้ รวงข้าวชอบใจหัวเราะและร้องเร่งเมื่อเธอทำเหมือนหมดแรง จังหวะการขยับขาช้าลง “ไม่ไหวค่ะ แม่เหนื่อย เมื่อยขาด้วยพักก่อนนะ” กณิศาบอกลูก แม้จะเห็นใบหน้าเล็กๆ นั้นส่ายไปมาอย่างไม่ยอมก็ตามที การเล่นกับลูกแบบนี้เท่ากับได้บริหารสัดส่วนของเธอไปในตัว โดยเฉพาะเอวและหน้าท้องที่ได้มาตอนตั้งครรภ์ เมื่อคลอดรวงข้าวออกมาใช่ว่าส่วนเกินจะอันตรธานไปหมดเสียทันที ทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นไขมันพอกพูนตามจุดต่างๆ ที่ได้มาจากการกินอาหารบำรุงเด็กน้อยในครรภ์ สัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยการขยายใหญ่ในบางจุด เมื่อแรกที่คลอดลูกตามธรรมชาติใหม่ๆ การให้นมลูกด้วยตนเองทำให้น้ำหนักเธอลดลงได้มากทีเดียว ไหนจะการดูแลเลี้ยงและทำทุกอย่างคนเดียว การที่ต้องอดหลับอดนอนพักผ่อนไม่เต็มที่ยิ่งเสริมให้น้ำหนักตัวส่วนเกินหายไปอย่างน่ายินดี การทำงานบ้านการเล่นกับลูกก็ไม่ต่างจากได้ทำกายบริหารกระชับสัดส่วนจนมาถึงปัจจุบัน กณิศามองหน้าลูกน้อยที่กำลังยิ้มโชว์ฟันซี่เล็ก พร้อมขยับตัวโยกไปมากระตุ้นให้เธอเล่นด้วยอีกครั้ง แต่แทนที่เธอจะขยับขาทำท่าบินให้รวงข้าว กลับเหยียดขาตรงแล้วกอดลูกเอาไว้กับอก รวงข้าวเป็นของแม่คนเดียว ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! กณิศาเหลียวไปมองบานประตูที่ถูกเคาะ ประตูนั้นเธอไม่ได้ล็อกแต่อย่างใด และรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นผู้เคาะ “แม่หรือคะ” หญิงสาวถามออกไปแม้จะมั่นใจ เพราะรู้ดีว่าถ้าเป็นแจ่มจันทร์จะไม่มีการเคาะประตูแต่อย่างใด ส่วนสำรวยนั้นไม่ได้มีธุระปะปังกับเธอแน่นอน กณิศาวางลูกน้อยลงบนเตียงแล้วกำชับเบาๆ “คอยตรงนี้นะคะอย่าซน เดี๋ยวตกลงไปแม่ไม่โอ๋นะคะ” บอกลูกน้อยแล้วเธอรีบไปเปิดประตูแม้ยังไม่ได้ยินเสียงตอบ เมื่อบานประตูเปิดออกนางสายบัวยืนอยู่หน้าห้องจริงตามคาด กณิศายิ้มให้แม่ทันทีแต่ดูเหมือนสายตานางสายบัวจะมองผ่านไปเบื้องหลังของเธอ กณิศาจึงเหลียวมองตามรวงข้าวไม่ได้นอนอย่างที่สั่งกลับลุกขึ้นนั่งมองมาตาแป๋ว “ประมาท” นางสายบัวพูดลอยๆ แต่กณิศารู้ดีแม่ตำหนิตน ที่ปล่อยเด็กหญิงวัยกำลังซนไว้บนเตียงตามลำพัง หญิงสาวแอบดีใจที่แม่ยังห่วงใยหลานแม้มีท่าทีห่างเหินหรือบางครั้งยังพูดให้เธอน้อยใจอยู่บ้าง “ไม่ตกหรอกค่ะ” กณิศาบอกแม่แต่ก็รีบเดินกลับมาที่เตียงพูดกับลูกอย่างดีใจ “คุณยายมาหา หวัดดีคุณยายก่อนค่ะ” น้ำเสียงยินดีสะดุดและมือที่ยื่นไปจะอุ้มรวงข้าวชะงักกับคำของนางสายบัวที่ดังขึ้นข้างหลัง “แกจะกลับไปเมื่อไหร่” “อะไรนะคะแม่” กณิศาถามเสียงเครือ ภาวนาให้หูเธอฝาดไป แต่มันไม่เป็นดังนั้น นางสายบัวพูดชัด “พรุ่งนี้จะให้คนไปส่งขึ้นรถ” “แม่!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD