ใกล้เวลาที่จะถวายเพลพระเต็มทีแล้วกณิศาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วรอคนมารับตามที่แม่บอก หญิงสาวชะเง้อมองไปทางหน้าบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรอคอยและเป็นกังวล เธอเชื่อว่าแม่ต้องทำตามคำพูด แต่กลัวว่าคนที่รับคำสั่งจะแกล้งเถลไถลเพราะว่าไม่อยากให้เธอไปในวัด คำพูดและท่าทีของแจ่มจันทร์บอกอยู่แล้วว่าไม่อยากให้เธอไปร่วมงาน ทั้งที่มันไม่ใช่กงการอะไรของตัวเอง กนกกรเป็นพี่สาวของเธอไม่ว่าความสัมพันธ์ในอดีตจะเป็นอย่างไร แต่เธอก็ต้องมาร่วมงานเพื่อขออโหสิกรรมให้กันอยู่ดี แล้วถึงแม้จะไม่มีใครมารับ เธอก็จะไปเอง
เมื่อคิดดังนี้กณิศารีบเดินไปหิ้วตะกร้าใบเล็กที่มีของจำเป็นสำหรับลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นขวดนม น้ำสำหรับผสมนม และนมผงที่ใส่ในกล่องแบ่งไว้พอเหมาะสำหรับการชงหนึ่งครั้ง ข้าวมื้อเที่ยงที่ใส่กล่องเล็กๆ ผ้ากันเปื้อน ผ้าอ้อมสำเร็จรูปและเสื้อผ้าอีกสองสามชุด
“ไปลูก เราไปกันเองก็ได้” กณิศาอุ้มรวงข้าวพาเดินออกไปหน้าบ้าน แล้วต้องชะงักเท้ากับรถเก๋งสีขาวที่แล่นเข้ามาจอดหน้าชานบ้าน หัวใจหญิงสาวเต้นไม่เป็นส่ำเพราะจำสีและรูปลักษณ์รถได้ รถที่แล่นเข้าไปจอดที่หน้าบ้านข้างๆ บ้านที่นิพลบอกว่าจะใช้เป็นเรือนหอของกนกกรกับชายที่เป็นสารถีซึ่งกำลังลงจากรถมองมาที่เธอ สายตาเขาไม่แตกต่างจากการมองคนรู้จัก ก่อนจะสลายมองเธอไม่ต่างจากคนแปลกหน้าเท่าใดนัก
“แม่ให้มารับ” เขาบอกเสียงเรียบ และอดไม่ได้ที่จะมองเด็กที่กณิศาอุ้มอยู่ เด็กหญิงผิวขาวแก้มยุ้ยกำลังส่งยิ้มให้เขาเหมือนเป็นการทักทาย เขาจึงยิ้มให้แม่หนูและก็ไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยจะทำท่าโผเข้าหาทั้งที่อยู่ไกลกัน จนคนอุ้มถึงกับอุทานลั่นด้วยความตกใจ
“ว้าย! อะไรลูก” กณิศาผวายกมือที่หิ้วตะกร้ามาประคองลูกน้อยแทบไม่ทัน ในใจได้แต่ร้องว่าเกือบตกไปแล้วนะลูก แต่เด็กน้อยในอ้อมแขนยังดิ้นพยายามเหลียวไปทางคนที่มารับ พร้อมทำเสียงซึ่งเธอเข้าใจดีว่ารวงข้าวอยากให้ชยธรอุ้ม
คนแปลกหน้านะลูก ทำไมต้องกระดี๊กระด๊าขนาดนี้ ต้องอบรมใหม่แล้ว...กณิศาอยากบอกลูกอย่างนี้เสียเหลือเกิน แต่เด็กน้อยจะไปรับรู้อะไร ยิ่งรวงข้าวไม่เคยกลัวคนแปลกหน้าเสียด้วย ดูอย่างเมื่อเช้าตอนนิพลมาหาก็ให้อุ้มโดยไม่กลัวหวาดกลัว เป็นความผิดของเธอเองเสียกระมังที่ชอบหอบหิ้วลูกไปไหนต่อไหน พบปะคนแปลกหน้าอยู่บ่อยๆ จนรวงข้าวชาชินกับการพบเจอคนมากหน้าหลายตา
ชยธรเห็นเด็กหญิงแก้มยุ้ยยังดิ้นและยื่นมือมาทางเขาหย็อยๆ และดูเหมือนกณิศาที่อุ้มลูกมือหิ้วตะกร้ามือแทบจะทานกำลังเด็กน้อยไว้ไม่ไหวแล้ว เขาจึงรีบเข้าไปใกล้ส่งมือไปหาหนูน้อยทันที
“ไม่ค่ะ” กณิศาเบี่ยงหลบไม่ยอมให้เขาอุ้ม แม้รวงข้าวจะเหลียวตามและดิ้นพร้อมส่งเสียงกราดเกรี้ยวขึ้น อากัปกิริยาที่กณิศาเองก็ไม่เคยเห็นจนต้องส่งเสียงดุปรามออกไป
“รวงข้าว” สิ้นเสียงเรียกชื่ออย่างดุดัน เสียงร้องไห้จ้าก็ดังขึ้นจนชายหนุ่มเพียงคนเดียวในที่นี้ต้องรีบรับเอาไปอุ้ม หรือจะเรียกว่าแย่งไปจากมือเธอก็เป็นได้แล้วยังตำหนิเธอเบาๆ
“ทำไมต้องดุเด็กด้วยนะ โอ๋ๆ ไม่ร้องค่ะ รวงข้าว” เขาเรียกชื่อตามที่กณิศาเรียก พูดปลอบเด็กน้อย และก็น่าแปลกใจนักแค่ปลอบเพียงเล็กน้อยอาการร่ำไห้โยเยก็หยุดลงแล้วยังส่งยิ้มสดใสให้เขาทั้งที่น้ำตาเปื้อนแก้ม ชยธรถึงกับยิ้มขันแล้วจับแก้มยุ้ยๆ อย่างเอ็นดูจับใจ
ส่วนกณิศานั้นมองอย่างไม่พอใจเท่าใด ไม่พอใจทั้งชยธรที่ดุเธอ และไม่ชอบใจที่รวงข้าวยิ้มตาหยีให้ชายหนุ่มเสียทันทีที่เขาอุ้ม
...รวงข้าวนะรวงข้าว
“รีบไปกันเถอะ ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ชยธรถามเสียงเรียบแม้จะเห็นแล้วว่ากณิศาเพิ่งอุ้มเด็กออกมาจากบ้านแล้วยังไม่ได้ปิดแต่อย่างใด เมื่อเห็นหญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ เขาก็ยื่นมือไปรับตะกร้าในมือมาถือไว้
“ไปปิดประตูบ้าน” เขาพูดสั้นๆ ห้วนๆ เหมือนการออกคำสั่งก็ไม่ปานจนมีความรู้สึกเหมือนถูกหญิงสาวส่งค้อนให้ ชายหนุ่มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินหิ้วตะกร้าและอุ้มเด็กหญิงน้อยๆ ไปที่รถ ส่วนกณิศาก็รีบเดินไปปิดประตู ล็อกบ้าน เมื่อหันกลับมาก็พบว่าชายหนุ่มขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว กณิศาจึงรีบตามไปขึ้นรถถึงแม้ไม่อยากไปกับชยธรแต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ในเมื่อแม่ให้เขามารับ และเธอก็ไม่มีเวลาอิดออดไม่ยอมไปกับเขาอีกด้วยเพราะกลัวเลยเวลาเพล ทว่าพอเธอจะก้าวขึ้นรถ รถปิคอัพของนิพลก็แล่นเข้ามาจ่อท้ายรถของชยธรทันที
“ผมจะผ่านวัดพอดีเลยแวะมารับครับ” นิพลรีบบอกเมื่อลงจากรถแม้จะเห็นอยู่แล้วว่ารถของชยธรจอดอยู่และกณิศากำลังจะก้าวขึ้นไป
หญิงสาวมีท่าทีลังเลในทันที ถ้าให้เธอเลือกเธออยากไปกับนิพลมากกว่า แต่รวงข้าวนั่งอยู่บนตักชยธรและดูเหมือนเขาไม่ได้เปิดโอกาสให้เธอพูดหรือเลือกแต่อย่างใด เขาสตาร์ทเครื่องยนต์ ปิดประตูด้านคนขับแล้วมองกระจกส่องหลังเตรียมถอยรถ นิพลเองก็ดูหน้าเจื่อนลงทันทีก่อนรีบพูดแก้เก้อ
“ทีแรกคิดว่าคุณก้อยจะไม่มีรถไปที่วัด แต่ในเมื่อคุณเคนมารับแล้วผมก็สบายใจ ฝากบอกน้าสายบัวด้วยว่าผมอยู่เลี้ยงพระเพลไม่ได้ขอโทษจริงๆ แต่ค่ำๆ ผมจะเข้าไปฟังสวดนะครับ” นิพลบอกแล้วขึ้นรถถอยออกไปทันทีโดยไม่รอฟังคำใดๆ จากกณิศา
ส่วนหญิงสาวเองก็รีบเข้าไปนั่งในรถ เมื่อปิดประตูเรียบร้อยก็ส่งมือไปหาเด็กน้อยเพื่อให้มานั่งกับเธอ ทว่าเด็กหญิงรวงข้าวกลับผวากอดชยธรแน่นขึ้น พร้อมส่ายหัวอยู่แนบอกเขา จะเรียกอย่างไรก็ไม่ยอมเอาเสียเลยจนกณิศาต้องเรียกเสียงดุๆ
“รวงข้าวมาที่แม่”
“ให้แกนั่งไปตรงนี้แหละ”
“ไม่ได้ค่ะ มันอันตราย” กณิศาแย้งพยายามส่งมือไปรั้งเด็กหญิงออกจากอกของชายหนุ่ม แต่แม่หนูน้อยก็ช่างสำคัญนักกอดแล้วกำเสื้อเขาเอาไว้แน่น พอเธอออกแรงดึงรวงข้าวก็ยิ่งกอดเขาแน่น ร้อนถึงชยธรต้องปรามการเล่นชักเย่อของสองคนแม่ลูก
“ระยะทางแค่นี้เอง ปล่อยให้นั่งกับพี่นี่แหละ” ไม่พูดเปล่าเขายังกำข้อมือของเธอด้วย และกณิศาก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที เธอรีบชักมือกลับสะบัดหลุดจากมือเขาแล้วขยับไปนั่งเสียชิดประตูด้านตนเอง ไม่คิดจะรับเด็กหญิงมานั่งกับตนเองอีกแล้ว
ชยธรเห็นท่าทีรังเกียจของหญิงสาวแล้วขุ่นใจไม่น้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เลื่อนให้รวงข้าวนั่งบนตักเขาให้ตรงแล้วออกรถไปทันที กณิศารับรู้ถึงความเร็วของรถเมื่อถอยออกมาจากบ้านแล้วตั้งลำมั่นคงแล้วบนถนน
เส้นทางจากบ้านไปวัดแม้ไม่ไกลนัก ทว่าเมื่อความรู้สึกอึดอัดเริ่มมีบทบาทกับทั้งสองคน ระยะทางใกล้ๆ กลับมีความรู้สึกว่าใช้เวลาเดินทางนานเสียเหลือเกิน มีแต่เด็กหญิงรวงข้าวเท่านั้นที่ดูชอบอกชอบใจกับการได้จับพวงมาลัยรถ ส่งเสียงอย่างมีความสุขไปตลอดทาง
แจ่มจันทร์มองกณิศาตาขุ่นเขียวเสียทันทีที่รถของชยธรมาจอดแล้วหญิงสาวก้าวลงมาพร้อมเปิดประตูหลังเพื่อหยิบตะกร้า ส่วนสารถีหนุ่มอุ่มลูกของกณิศาลงจากรถ
“นังนี่สงสัยโรคจิตชอบแย่งผัวพี่สาว” แจ่มจันทร์อดปากเอาไว้ไม่ไหวจึงถูกนางสำรวยตีเพี๊ยะเข้าที่ท่อนแขนพร้อมกับส่งสายตาปราม แจ่มจันทร์ทำเสียงจิ๊กจั๊กอย่างขัดใจค้อนแม่ประหลับประเหลือก ก่อนจะขยับเข้าใกล้แม่และกระซิบกระซาบ
“ไม่ใช่เท่าแต่ฉันที่คิดหรอกแม่ ดูคนอื่นๆ มองมันสิ สายตาสงสัยไม่แพ้ฉันหรอกน่า” แจ่มจันทร์บอกพร้อมกับบุ้ยใบ้ให้แม่ดู สำรวยมองตามแล้วถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดพึมพำ
“สงสารป้าบัว” สำรวยส่ายหน้าช้าๆ แล้วทำงานที่ค้างอยู่ต่อ เพราะใกล้เวลาที่พระจะมาแล้ว ส่วนแจ่มจันทร์ยังคงมองตามกณิศาและชยธรด้วยสายตาริษยา ก่อนจะพูดลอยๆ
“ฉันก็สงสารป้าบัว”