ข้ายังคงเขินเป็น(1)

2221 Words
ในที่สุดการหาเงินบนโลกมนุษย์ของอดีตแม่ทัพสวรรค์ผู้เก่งกล้าก็ล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า และในที่สุดวันเปิดเรียนก็มาถึง... เยี่ยนหรงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำพิธีรับศิษย์ที่ตำหนักหย่งเหอ เมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็พบกับหลิวเส้าชงที่นั่งรออยู่แล้ว เขานั่งอย่างสำรวมอยู่ที่ตำแหน่งประธาน ที่ด้านซ้ายขวายังมีเก้าอี้ไม้เรียบง่ายวางอยู่ด้านละสองตัว เบื้องหน้ามีศิษย์ใหม่สองคนนั่งคุกเข่าอยู่กลางโถง ในมือประคองของสำคัญที่ตนเองเตรียมมาเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ไว้อย่างนอบน้อม เยี่ยนหรงเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปคำนับหลิวเส้าชงตามธรรมเนียม และนั่งคุกเข่าต่อจากศิษย์ใหม่ทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ก่อนแล้ว นางไม่รู้มาก่อนว่าธรรมเนียมแดนมนุษย์นั้นจะต้องนำสิ่งของให้กับอาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย ทั้งตัวนางตอนนี้ก็ปราศจากสิ่งมีค่า เงินสักอีแปะก็ไม่มี ขณะคิดว่าจะนำอะไรมาฝากตัวเป็นศิษย์ ก็พลันนึกถึงไข่มุกวารีที่ห้อยอยู่ที่คอ จึงถอดมันออกมาประคองไว้เหนือศีรษะเลียนแบบศิษย์ใหม่อีกสองคน หลิวเส้าชงเห็นเยี่ยนหรงคิดจะมอบไข่มุกวารีเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ก็คิ้วกระตุกคราหนึ่ง ของล้ำค่าแดนเทพไหนเลยมนุษย์อย่างเขาจะกล้ารับไว้ ผู้ที่ให้ไข่มุกวารีกับนางว่าใจกว้างราวมหาสมุทรแล้ว แต่นางยิ่งใจกว้างกว่า เขาลูบเคราตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างใช้ความคิด ไม่นานผู้อาวุโสซึ่งเป็นอาจารย์แห่งสำนักอู่เฉิงอีกสี่คนก็เดินเรียงกันเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง พิธีรับศิษย์นั้นไม่ได้มีขั้นตอนซับซ้อนมากนัก หลังจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาถึง หลิวเส้าชงก็กล่าวต้อนรับ กล่าวแนะนำ กล่าวถึงกฎระเบียบที่มีอยู่เพียงน้อยนิด จากนั้นเหล่าศิษย์ใหม่ก็คารวะผู้อาวุโสแต่ละคน และนำของที่เตรียมมาไปให้อาจารย์สายตรงของตนเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ ก็ถือว่าจบสิ้นพิธีการ เยี่ยนหรงเข้าใจเชียนจือหวาอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดถึงตั้งใจจะเกาะติดอยู่ที่สำนักอู่เฉิงแห่งนี้ให้จงได้ นั่นก็เพราะกฎของสำนักมีน้อยยิ่งกว่าน้อย กล่าวคือ ห้ามรังแกคนอ่อนแอกว่า ห้ามเข้าไปในเขตหวงห้าม ห้ามลักขโมย และห้ามอะไรอีกสองสามอย่างที่เป็นเรื่องปกติของการอยู่ในสังคมอยู่แล้ว สำหรับนางนั้นจึงง่ายดายกว่าการอยู่ในวังหลวงแดนสวรรค์หลายขุม การรับศิษย์ของสำนักอู่เฉิงนั้นขึ้นอยู่กับผู้อาวุโสแต่ละท่าน บางครั้งรับเข้าสำนักมาก่อนแล้วค่อยเลือกกันว่าใครจะรับเป็นศิษย์สายตรง บางครั้งมีการตกลงรับเป็นศิษย์สายตรงก่อนที่จะเข้าสำนักดังเช่น เยี่ยนหรงที่เข้ามาเป็นศิษย์ของหลิวเส้าชง ในตอนที่ศิษย์แต่ละคนแยกย้ายกันไปฝากตัวกับอาจารย์ ผู้อาวุโสไห่ฉินซึ่งเป็นหญิงเพียงหนึ่งเดียวยังกล่าวชักชวนเยี่ยนหรงให้ไปอยู่กับนางอย่างทีเล่นทีจริง "ฝากตัวเป็นศิษย์ตาแก่นี่เดี๋ยวก็ได้นั่งสวดมนต์ทั้งวันหรอก มิสู้มาเป็นศิษย์ข้า เรียนดนตรีอันแสนไพเราะดีกว่า" เยี่ยนหรงเห็นเหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าพูดคุยหยอกล้อกันด้วยความเคยชิน ไม่ได้วางตัวสุภาพเหินห่างดังเช่นที่นางเคยเจอมาเมื่อกาลก่อน จึงแอบชื่นชมมนุษย์เหล่านี้ไม่ได้ ช่างแน่นแฟ้นและอบอุ่นนัก เมื่อเสร็จพิธี เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง ยกเว้นหลิวเส้าชงที่เรียกเยี่ยนหรงเอาไว้ ในมือเขายังถือไข่มุกวารีที่รับมาจากนางเมื่อครู่ เขาใช้มืออีกข้างร่ายคาถาอะไรบางอย่าง ไม่นานก็ปรากฏแสงสีขาวนวลบริสุทธิ์เปล่งประกายออกมาจากไข่มุกวิเศษ แสงบางส่วนก่อรูปเป็นด้ายเส้นเล็กจิ๋วลอยหายเข้าไปในฝ่ามือของเขา จากนั้นแสงสว่างทั้งหมดจึงจางหายไป "ข้ารับพลังวิเศษมาสายหนึ่งแล้ว ถือว่าการรับศิษย์สมบูรณ์ ของวิเศษเช่นนี้เจ้าพกติดตัวไว้เองเถิด" หลิวเส้าชงส่งไข่มุกวารีคืนให้เยี่ยนหรง ความจริงแล้วพลังวิเศษที่หลิวเส้าชงเอาไปนั้นน้อยนิดไม่ถึงหนึ่งในล้านส่วนของพลังวิเศษของมุกวารีด้วยซ้ำ เยี่ยนหรงรู้ว่าหลิวเส้าชงปรารถนาดีกับตนอย่างแท้จริงจึงรับไข่มุกวารีกลับมาห้อยไว้ที่คอตามเดิม เมื่อก้าวออกมาจากตำหนักหย่งเหอก็เห็นเชียนจือหวามารออยู่ด้านหน้าแล้ว นางดูสดใสเหมือนศิษย์ใหม่ที่เปิดเทอมวันแรกแล้วเพิ่งเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน นางมองไปที่ชุดถังน้ำหยดพบว่ายังพอมีเวลาก่อนเข้าเรียน จึงลากเยี่ยนหรงไปหาของกินที่โรงครัว โรงครัวของสำนักอู่เฉิงนั้นไม่ได้ใหญ่มาก จุคนได้เพียงไม่เกินหนึ่งร้อยคนเท่านั้น เหล่าศิษย์ที่รอเรียนภาคเช้าต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เสียงคุยจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วบริเวณ ศิษย์แต่ละคนไม่ได้เจอกันนานจึงจับกลุ่มนั่งกินอาหาร และคุยกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ เชียนจือหวารับอาหารจากป้าหงลี่ที่ยืนแจกจ่ายอาหารอยู่ด้านหน้า และหาโต๊ะว่างนั่งลง อาหารของวันนี้คือหมั่นโถว น้ำแกงรากบัว และเนื้อตากแห้ง เยี่ยนหรงกินอย่างไร้รสชาติเช่นเดิม กินไปพลางสนทนากับเชียนจือหวาไปพลาง นางอยากรู้เรื่องผู้อาวุโสแต่ละท่านเพิ่มเติม เชียนจือหวาก็เล่าให้ฟังอย่างเห็นภาพ สำนักอู่เฉิงมีผู้อาวุโสผู้เป็นอาจารย์สอนวิชาอยู่ห้าท่านซึ่งเชี่ยวชาญไปคนละอย่าง อาจารย์ของนาง หลิวเส้าชง เชี่ยวชาญการใช้เวทผนึกอสูร และส่งวิญญาณสู่ภพภูมิที่เหมาะสม อาวุธของศิษย์ใต้อาณัติจึงเป็นแส้วิเศษ แส้นี้เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณของผู้เป็นนายก็จะเปล่งแสงเป็นสีเฉพาะตัว ใช้ผนึกกักขังอสูรได้เป็นอย่างดี ผู้อาวุโสท่านต่อมาคือผู้อาวุโสไห่ฉิน สตรีเพียงหนึ่งเดียวในสำนักอู่เฉิง รับเพียงศิษย์หญิง เชี่ยวชาญการทำดนตรีที่ไพเราะให้เป็นอาวุธสังหาร ผู้อาวุโสหม่าจิงอวี่ เชี่ยวชาญการต่อสู้โดยใช้กระบี่ ศิษย์ของท่านผู้อาวุโสหม่าทุกคนจะมีกระบี่ประจำกาย เพียงใช้พลังปราณควบคุม กระบี่เหล่านั้นก็สามารถเคลื่อนที่ได้ตามใจปรารถนา นั่นทำให้เยี่ยนหรงนึกถึงกระบี่เฟิงหวาซึ่งเคยเป็นอาวุธเทพประจำกาย หลังจากนางตายก็ไม่รู้มันหายไปอยู่ที่ใดแล้ว ผู้อาวุโสท่านต่อมาคือหลินจางจวี๋ ผู้อาวุโสท่านนี้เชี่ยวชาญการจับยาม ทำนายทายทัก ซึ่งแม่นยำเป็นที่สุด เหล่าศิษย์ใต้อาณัติของเขานั้นสังเกตง่ายมาก พวกเขามักหอบหิ้วตำราเล่มใหญ่เดินไปมาอยู่ในสำนัก แม้มิได้สังหารปีศาจอย่างกล้าหาญแต่พวกเขาสามารถอ่านใจศัตรูได้ ดังนั้นคิดจะสู้กับเหล่าศิษย์นักทำนายพวกนี้จึงไม่ง่ายนัก ท่านสุดท้ายคือผู้อาวุโสชงเหยา ผู้เชี่ยวชาญภาพวาดบทกวีในใต้หล้า เหล่าศิษย์ของผู้อาวุโสชงนั้นมักแต่งตัวราวบัณฑิตคงแก่เรียน บ้างวาดภาพร่ายกาพย์กลอนทั้งวัน แน่นอนว่าพู่กันของพวกเขาร้ายกาจไม่เป็นรองใคร วาดน้ำหมึกบนอากาศ และเสกรูปวาดราวมีชีวิต ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เหนื่อย ขอเพียงพวกเขาตั้งจิตวาดเสือ เจ้าก็ต้องสู้กับเสือ ตั้งจิตวาดผี เจ้าก็ต้องสู้กับผีแล้ว เมื่อขบคิดดู ท่านอาจารย์เจ้าสำนักหลิวเส้าชงดูจะมีเมตตาต่อเหล่าศัตรูมากที่สุดแล้ว เยี่ยนหรงเห็นว่าวิธีมีเมตตาเช่นที่หลิวเส้าชงใช้ดูไม่เข้ากับเชียนจือหวาเอาเสียเลย นึกภาพเชียนจือหวาผู้เจ้าอารมณ์ และชอบใช้ความรุนแรงนำแส้วิเศษของนางออกมามัดปีศาจอสูรแล้วยืนสวดส่งวิญญาณ ช่างเป็นภาพที่ประหลาดยิ่ง "ก็แค่หวดให้หนำใจก่อน แล้วค่อยส่งวิญญาณตามที่อาจารย์สอนก็เท่านั้น" และนี่คือการแก้ปัญหาการอยากใช้ความรุนแรงของเชียนจือหวา เนื่องจากยังไม่ใกล้เวลาเข้าเรียน ทั้งสองจึงนั่งกินอาหารกันมิได้รีบร้อน ยังไม่ทันดื่มน้ำแกงหมด จู่ๆ เสียงซุบซิบของเหล่าศิษย์หญิงก็ดังขึ้นจากทั่วสารทิศ เยี่ยนหรงรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงรอบข้างจึงหันไปมอง พบว่าศิษย์หญิงแต่ละคนเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซาบ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และชำเลืองมองไปทางเดียวกัน เยี่ยนหรงจึงมองตามพวกนางไป ที่กำลังเดินเข้ามาในโรงครัวคือศิษย์ชายผู้หนึ่ง หน้าตาหมดจดอ่อนเยาว์ ศิษย์หญิงบางคนยังหน้าแดงก่ำเมื่อคนผู้นั้นเดินผ่าน "นั่นคือใคร" เยี่ยนหรงถามโดยไม่ละสายตาจากคนผู้นั้น เหมือนว่านางจะเคยเห็นที่ใดมาก่อน เยี่ยนหรงนึกไปนึกมาก็เริ่มจำได้ นางเคยเห็นเขาในนิมิตเมื่อไม่กี่วันมานี้นี่นา "หยางผู่เยว่" เชียนจือหวาตอบโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง นางยังคงกินหมั่นโถวนุ่มนิ่มในมือต่อไปอย่างไม่สนใจมากนัก หลังจากซดน้ำแกงไปอึกหนึ่งจึงกล่าวต่อ "บุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในสำนักอู่เฉิง" เหมือนนางยังรู้สึกมีสิ่งใดไม่เหมาะสมจึงกล่าวเสริม "เหล่าศิษย์ในสำนักจัดอันดับกันเช่นนั้น" "หยางผู่เยว่เป็นที่หมายปองของสาวๆ ในสำนัก ดูสิ กระชุ่มกระชวยกันใหญ่" เชียนจือหวากล่าวอย่างไร้อารมณ์ยิ่ง "ท่านก็ด้วยหรือ" เชียนจือหวาส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว สำหรับนาง อะไรจะสำคัญเท่าการฝึกวิชาจนเก่งกาจ และมีชื่อเสียงโด่งดังกัน เยี่ยนหรงมองไปที่หยางผู่เยว่อีกครั้ง พลางคิดในใจ แดนเทพก็มิใช่ไม่เคยมีการจัดอันดับ... ย้อนกลับไปสมัยที่นางยังเด็ก และเรียนอยู่ที่หุบเขาเหนือเมฆา ที่เรียกว่าหุบเขาเหนือเมฆาเพราะสำนักศึกษาของเหล่าเทพตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหกดินแดนในหุบเขาสูงเสียดฟ้า ยอดเขาแทงทะลุหมู่เมฆขึ้นไปราวกับอยู่ในอีกแดนหนึ่ง ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็จะมีเมฆสีขาวถักทอกันเสมือนผ้าแพรเนื้อนุ่มอยู่ใต้ฝ่าเท้า จะกี่เดือนกี่ปีก็ล้วนมีทิวทัศน์เช่นนี้ มองไปทางใดก็มีแต่สีขาวสีฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เหล่าเทพจากหกดินแดน ได้แก่ แดนสวรรค์ที่นางอาศัยอยู่ หุบเขาวิหคไฟเผ่าเฟิ่งหวง แดนมายาเมืองลับแล แดนเหมันต์ที่มีฤดูหนาวตลอดกาล แดนไผ่ขจี และแดนใต้พิภพ ล้วนส่งเทพวัยเยาว์มาเรียนรวมกันที่นั่น เพื่อเป็นการทำความรู้จักผูกสัมพันธ์ให้เกิดความแน่นแฟ้น ตอนนั้นก็มีการจัดอันดับเทพที่หล่อเหลาที่สุดในหกดินแดนเช่นกัน อันดับหนึ่งตลอดกาลคือ ผู้ที่มีใบหน้าเย็นชาราวกับหลุดมาจากแดนเหมันต์ ‘กู้เฉิง’ อันดับสองคือน้องชายของเขา ‘หยวนอี่’ ผู้มีรอยยิ้มทรงเสน่ห์ชวนมอง เวลาที่พี่น้องจากหุบเขาวิหคไฟคู่นี้เดินไปไหนด้วยกันก็มักเป็นที่จับตามองของเหล่าเทพธิดาจากทั่วทั้งหกดินแดน มิใช่มีแต่เพียงการจัดอันดับเทพที่หล่อเหลาที่สุด เทพที่งดงามที่สุดก็มีการจัดอันดับไว้เช่นกัน อันดับหนึ่งคือองค์หญิงรองแดนสวรรค์ผู้เพียบพร้อม ‘อี๋นั่ว’ อันดับสองคือ ‘เสี่ยวเฟิ่ง’ แห่งหุบหุบเขาวิหคไฟ คนหนึ่งงดงามหวานซึ้ง อีกคนดุดันร้อนแรง จะกี่ปีก็ยังไม่มีใครมาโค่นอันดับของพวกนางลงได้ ยังต้องขอบคุณมรรคาฟ้าดินที่ไม่มีการจัดลำดับเทพที่น่ารังเกียจที่สุดในหกดินแดน มิเช่นนั้นคนไร้ตัวตนอย่างนางคงได้มีตัวตนขึ้นมาเป็นแน่แท้ แม้เยี่ยนหรงไร้ความรู้สึก แต่เมื่อย้อนนึกถึงตอนนั้น นึกถึงกู้เฉิงผู้ที่นางเคยแอบชอบมาตลอด ริมฝีปากก็หยักโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ พอดีกับที่หยางผู่เยว่หันมาทางที่นางนั่งอยู่ จึงคิดว่าเยี่ยนหรงยิ้มให้ตน ช่วงปิดเทอมเขากลับไปหาบิดามารดาที่บ้านจึงไม่ทันสังเกตเห็นเด็กใหม่อย่างเยี่ยนหรง ใบหน้าชวนฝันราวเทพสวรรค์ปั้นแต่งเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก อีกทั้งนางกำลังยิ้มให้เขา! หยางผู่เยว่อึ้งงันไป สุดท้ายหลังจากยืนโง่งมอยู่นานจึงยิ้มตอบกลับให้นาง เยี่ยนหรงที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าเผลอยิ้มให้หยางผู่เยว่ เมื่อเห็นคนยิ้มทักทายจึงยิ่งยิ้มทักทายกลับอย่างเป็นมิตร ท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของเหล่าศิษย์หญิงทั้งหมดในโรงครัว เรื่องราวยามเช้าก็ผ่านไปเช่นนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD