เนื่องจากเชียนจือหวากับเยี่ยนหรงเข้าเรียนห่างกันมาก เยี่ยนหรงจึงต้องไปเรียนรวมกับศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นาน ในคาบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของโลกบำเพ็ญเพียร นางก็ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง
หลักๆ แล้วหน้าที่ของมนุษย์ผู้ฝึกวิชาเซียนก็เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่อ่อนแอกว่า กำจัดภูตผี ปราบปีศาจ ช่วยเหลือผู้คนจากภัยธรรมชาติ ร่ายยาวไปจนถึงช่วยทำคลอดยามคับขัน โดยจุดมุ่งหมายสูงสุดในการฝึกบำเพ็ญคือกลายเป็นเซียน จากเซียนเลื่อนไปเป็นเทพที่มีชีวิตอมตะ เทพที่กำเนิดจากแดนมนุษย์ก็จะย้ายไปพำนักยังแดนสวรรค์ที่นางเคยอยู่นั่นเอง
มนุษย์จำนวนไม่น้อยอยากเป็นเทพ อยากเก่งกาจ มีพลังอำนาจ และชีวิตที่เป็นอมตะ ในขณะที่เยี่ยนหรงกลับอิจฉาชีวิตแสนสั้นของพวกเขา
มนุษย์อายุขัยสั้น เมื่อทำผิดพลาดจนชีวิตพังทลาย หรือมีเรื่องเจ็บปวดเสียใจก็แค่ทนอยู่เพียงไม่กี่สิบปี หากตายวิญญาณก็ไปสู่ปรภพ ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ลืมทุกอย่าง และกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผิดกับเทพที่ไม่มีโอกาสนั้น
ชีวิตเทพเป็นอมตะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ความเจ็บปวดเสียใจทั้งปวงยืดยาวออกไปไม่สิ้นสุด แม้แต่ความทรงจำที่อยากลืมเลือนก็จะตามหลอกหลอนไปตลอดกาล พันปีหมื่นปีมิอาจจบสิ้น เว้นก็แต่เพียงเทพองค์นั้นชิงแตกดับไปเสียก่อน และหากแตกดับก็จะหายไปจากสามภพโดยสมบูรณ์
ชีวิตนางก่อนหน้านั้นการตายนับว่าเป็นโชคดี นางมิได้หวงแหนชีวิตที่ต้องเหนื่อยล้า มิได้หวงแหนความเจ็บปวดไร้สิ้นสุด ไม่เคยวาดหวังว่าจะมีโอกาสเริ่มใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อโชคชะตาให้โอกาสเริ่มใหม่ นางก็จะไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตมืดมนเหมือนแต่ก่อนอีก นางอยากรู้เสียจริงว่าใครกันที่ต้องการให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ ในขณะที่มองไปทั่วดินแดนเทพทั้งหกล้วนมีแต่คนอยากให้นางตาย
เยี่ยนหรงเข้าเรียนเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างตั้งใจ ประวัติศาสตร์ทั้งหกแดนเทพนางล้วนทะลุปรุโปร่ง แต่แดนมนุษย์นั้นนางรู้น้อยมาก นางจึงตั้งใจเป็นพิเศษ มิคาดเข้าเรียนวันแรกสิ่งที่เพิ่มมาจากความรู้ก็คือจดหมาย
ช่วงเวลาพักเยี่ยนหรงเดินออกไปยืดเส้นยืดสายด้านนอก หลังจากกลับเข้ามาที่โต๊ะของตัวเองก็เห็นจดหมายหลายฉบับกองพะเนินอยู่บนนั้นแล้ว
มองไปที่โต๊ะเรียนของคนอื่นก็ไม่เห็นมีจดหมายกองเท่าภูเขาเหมือนนาง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเหล่ามนุษย์นิยมเขียนจดหมายให้กันแทนการพูดจาตรงๆ แล้วแบบนี้นางต้องนั่งเขียนจดหมายให้ใครด้วยหรือไม่
ขณะกำลังสงสัย เมื่อมองไปที่มุมด้านหนึ่งของห้องเรียนก็เห็นศิษย์หญิงสองสามคนมองมาที่นางอย่างไม่พอใจนัก นางสัมผัสได้ถึงสถานการณ์แปลกๆ ดังนั้นพอถึงเวลาเลิกเรียนจึงได้รีบเก็บข้าวของและจดหมายเหล่านั้นลงในย่ามอย่างเงียบๆ และออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เย็นนี้หากพบเชียนจือหวาจะต้องขอคำชี้แนะสักหน่อย
แต่ยังไม่ทันกลับไปพบเชียนจือหวา นางก็โดนหลิวเส้าชงเรียกตัวไปพบที่ตำหนักหย่งเหอเสียก่อน เมื่อมาถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในตำหนัก และขึ้นไปที่ชั้นห้าของหอเพื่อให้นางได้เลือกอาวุธประจำกายของตนเอง
ภายในพื้นที่กว้างใหญ่ของหอชั้นที่ห้าวางเรียงรายไว้ด้วยอาวุธวิเศษมากมาย บ้างวางอยู่ บ้างแขวนอยู่ และบางอย่างลอยอยู่ หลิวเส้าชงให้นางผนึกพลังไว้ที่กลางฝ่ามือแล้วอาวุธที่มีวาสนาต่อนางจะมาหาเอง
ง่ายดายเพียงนี้…
ไม่เหมือนกับกระบี่เฟิงหวา ศาสตราวุธวิเศษอันดับสามแห่งแดนเทพที่แสนพยศ กว่ามันจะยอมรับนางเป็นนายต้องใช้เวลาต่อสู้กันอยู่เกือบปี เมื่ออาวุธเทพยอมรับเจ้าของแล้วจะผนึกหลอมรวมกับวิญญาณของผู้เป็นนาย และรับใช้เพียงเทพที่พิชิตมันได้เท่านั้น
เยี่ยนหรงผนึกพลังไว้ที่กลางฝ่ามือตามที่หลิวเส้าชงบอก สุดท้ายได้แส้วิเศษคล้ายของเชียนจือหวามาครอบครองเส้นหนึ่ง ต่างกันที่ของนางมีสีเงินยวง เมื่อเปล่งประกายให้ความคล้ายคลึงกับเหล็กกล้า มิได้พลิ้วไหวเหมือนอาวุธจำพวกแส้ทั่วไป แม้จะเป็นอาวุธที่พลังอ่อนด้อยที่สุดเท่าที่นางเคยสัมผัสมา แต่ก็เหมาะกับสภาพนางในตอนนี้ที่สุดแล้ว
เยี่ยนหรงกลับมาถึงเรือนพักก็เอาจดหมายที่ได้มากองใหญ่ให้เชียนจือหวาดู ทำเอาศิษย์พี่ของนางถึงกับจุ๊ปากชมเชย จากนั้นจึงเปิดจดหมายออกอ่านอย่างไม่เกรงใจ “โฉมสะคราญราวเทพเซียน นางฟ้าบนดิน”
“เจ้าเสน่ห์แรงไม่เบา” เชียนจือหวานอนอ่านจดหมายกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง และหัวเราะคิกคักไม่หยุด
หลังจากเยี่ยนหรงรู้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นจดหมายรัก นางก็มิได้เหลือบแลจดหมายกองนั้นอีกเลย ปล่อยให้เชียนจือหวาใช้อ่านเล่นฆ่าเวลาแทน นางใช้เวลาหลังจากกลับถึงเรือนพักสำรวจพลัง และลองฝึกสะบัดแส้วิเศษที่เพิ่งได้มาใหม่ให้ชินมือ แม้จะไม่สนใจแต่หูก็ยังได้ยินข้อความจากจดหมายที่เชียนจือหวาอ่านดังแว่วมาตลอด
ที่แท้มนุษย์ก็มีการสารภาพรักอย่างอ้อมค้อมเช่นนี้ด้วย
นึกย้อนไปถึงเมื่อก่อนที่นางแอบรักกู้เฉิง นางมิได้อ้อมค้อมเช่นนี้ นั่นคงทำให้เขาตกใจกลัว จนถึงกับไม่ชอบนางกระมัง หากรู้วิธีดีๆ อย่างตอนนี้ นางอาจจะเอาชนะใจกู้เฉิงสำเร็จก็เป็นได้
ตอนนั้นนางมัวแต่เชื่อวิธีบ้าๆ บอๆ ที่เหล่าทหารในกองทัพแนะนำจึงได้ล้มเหลว เมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนใบหน้าก็เริ่มซับสีเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ
ให้ตายเถอะ! ความรู้สึกอื่นๆ ดันหาย แต่ความรู้สึกเขินอายยังพอมีอยู่
“เหตุใดหน้าแดงนัก ร้อนหรือ” เชียนจือหวามองเยี่ยนหรงอย่างแปลกใจ ตอนนี้ฤดูหนาว ตัวนางเองแม้ใส่เสื้อผ้าหลายชั้นยังหนาวจนขนลุก เยี่ยนหรงสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกว่านางยังไม่มีท่าทีตัวสั่น แต่กลับหน้าแดง
“อ้อ หรือที่แท้เจ้ากำลังเขินจดหมายพวกนี้” เชียนจือหวาโบกจดหมายในมือไปมาอย่างล้อเลียน “ไม่น่าเชื่อว่าคนจืดชืดไร้อารมณ์อย่างเจ้าจะเขินเป็น”
“ไม่ได้เขิน”
แต่เมื่อนึกถึงตอนที่นางกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักของกู้เฉิง ใช้ปลายนิ้วเชยคางของเขาขึ้น ชื่นชมว่าเขาหล่อเหลาเพียงไหน อีกทั้งยังเอ่ยถามเขาว่าอยากเข้าห้องไปกับนางไหม ใบหน้าเยี่ยนหรงก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ อย่างยากจะควบคุม แม้ในตอนนั้นจะยังไม่รู้ว่าเข้าห้องไปต้องทำอะไรต่อ แต่เจ้าทหารน่าตายพวกนั้นของนางบอกว่าเข้าห้องไปเดี๋ยวดีเอง นางก็ดันเชื่อ!
เยี่ยนหรงเอาหน้าซุกกับฝ่ามือทั้งสองของตน ก้มหน้างุดไม่กล้าคิดต่อ แม้ไม่กล้าคิดต่อแต่ในหัวก็ยังปรากฏสีหน้าของกู้เฉิงที่มีตั้งแต่ตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก จนค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นโกรธขึ้ง ภาพนั้นยังคงติดตานางอยู่จนถึงตอนนี้
“บ้าเอ๊ย!” เยี่ยนหรงสะบัดแส้ในมือออกอย่างรุนแรงจนแทบฟาดโดนสิ่งของในห้อง
เชียนจือหวาพลิกตัวหลบแส้ของเยี่ยนหรงที่ฟาดมามั่วๆ ได้อย่างหวุดหวิด อ่า ศิษย์น้องของนางเขินเป็นจริงด้วย…
“ไม่ต้องห่วง ศิษย์พี่จะช่วยเจ้าเอง”
เชียนจือหวาเดินออกจากห้องพักของพวกนางไปด้านนอก เมื่อร่างทะปะกับลมหนาวบนยอดเขานางก็ถูมือเข้าด้วยกันอย่างแรงเพื่อคลายความหนาว ลมเย็นยะเยือกพัดมาทีหนึ่งนางก็ขนลุกทีหนึ่ง ช่วงหน้าหนาวนั้นสำนักอู่เฉิงที่อยู่บนยอดเขาสูงจะหนาวเป็นพิเศษ
นางเดินลัดเลาะไปยังห้องเก็บของซึ่งอยู่ติดกับโรงครัว หยิบถ่านไม้ที่ใช้ก่อฟืนมาจำนวนหนึ่ง และเดินกลับไปยังห้องพัก เมื่อไปถึงก็จัดแจงหยิบกะละมังไฟออกมาจากใต้เตียงตั้งไว้ตรงกลางห้อง ใส่ถ่านไม้ลงไป และก็จุดไฟ
เยี่ยนหรงเงยหน้าขึ้นมาจากมือ มองไปที่กะละมังไฟสีเขียวมรกตลายดอกพุดตานที่มีขาตั้งเป็นสีทองอร่ามอย่างใคร่รู้ สิ่งของของเชียนจือหวามักดูมีค่ามีราคาเสมอ ตอนนั้นภาพในนิมิตของเชียนจือหวาบางช่วงถูกตัดผ่านอย่างรวดเร็ว จึงสังเกตรายละเอียดไม่ได้มากนัก เยี่ยนหรงพยายามจินตนาการภาพตอนเชียนจือหวาหนีออกจากบ้าน นางขนของขนเงินออกมามากขนาดไหนกันแน่ ห่อผ้าของนางอาจจะมีขนาดมหึมาตอนที่หนีออกมาก็เป็นได้
มนุษย์ไม่มีคาถาย่อส่วนเหมือนเทพที่เวลาไปไหนก็ไม่จำเป็นต้องหอบหิ้วของพะรุงพะรัง เรียกออกมาจากกระเป๋าหนังเทาเที่ย ขยายกลับขนาดเดิมก็เป็นอันเรียบร้อย
นอกจากนี้ที่แดนสวรรค์ของนางอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี ต้นไม้ดอกไม้ก็บานสะพรั่งตลอดทั้งปี ทิวทัศน์ยิ่งงดงามตลอดทั้งปี น้ำในแม่น้ำหว่านเหอก็ใสกระจ่างไหลเย็นตลอดทั้งปี มิได้มีหลายฤดูอย่างแดนมนุษย์เช่นนี้ แม้ตอนที่ลอบเข้าไปสืบข่าวในแดนอสูรอากาศยามค่ำคืนจะหนาวยะเยือกจนแทบจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ยามกลางวันร้อนจัดจนแทบถูกเผาเป็นจุณ แต่นางแค่เพียงโคจรพลังคุ้มกายก็ผ่านพ้นไปได้อย่างไร้ปัญหา ดังนั้นสิ่งของคลายหนาวหลายอย่างในแดนมนุษย์นางล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน
เยี่ยนหรงลอบชื่นชมเผ่าพันธุ์มนุษย์ในใจ แม้ไม่มีพลังอำนาจแต่ก็มีความคิดอันหลักแหลมในการเอาชีวิตรอดได้ดี
เชียนจือหวามิได้สนใจเยี่ยนหรงที่มองอยู่ นางนำชุดไฟออกมาจุด และหยิบเอาจดหมายรักกองใหญ่ของเยี่ยนหรงออกมาทำเป็นกระดาษเขี่ยฟืน ไม่นานห้องทั้งห้องก็สว่างและอบอุ่นขึ้น
“มิใช่ห้ามจุดไฟในห้องหรอกหรือ” เยี่ยนหรงมองเปลวเพลิงวูบไหวไปมาอย่างเฉยชา จดหมายของนางที่ถูกนำไปก่อฟืนค่อยๆ ไหม้จนไม่เหลือซาก
ความจริงนางก็แค่เอ่ยถามไปอย่างนั้นเอง หากเรื่องฝ่าฝืนกฎสำนักเชียนจือหวาเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง
“กฎมีไว้ฝ่าฝืน” เชียนจือหวาม้วนจดหมายของเยี่ยนหรงที่ยังเหลืออยู่จนเป็นแท่งกลม และเขี่ยฟืนในกะละมังไฟอย่างช่ำชอง “วันหน้าข้าจะพาเจ้าไปฝ่าฝืนกฎอีก รับรองเจ้าต้องชอบ” เชียนจือหวายิ้มให้เยี่ยนหรงอย่างมีเลศนัย