ปราบอสูร(1)

1843 Words
เวลาเดินอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงกำหนดออกเดินทางไปกำจัดอสูรที่เมืองหุนโจวของสามศิษย์อาจารย์ เมืองนี้อยู่ไกลจากสำนักอู่เฉิงไม่น้อย ดังนั้นหลิวเส้าชง เชียนจือหวา และเยี่ยนหรงจำต้องขี่ม้าไป เชียนจือหวาอธิบายว่าถึงแม้การขี่ศาสตราวุธขณะเดินทางจะดูเท่ แต่ก็เปลืองแรงเกินไป ไม่เหมาะกับการเดินทางไกล อีกทั้งยังเป็นจุดสนใจอีกด้วย และเมื่อถึงที่นั่นยังต้องใช้พลังต่อสู้กับอสูร ดังนั้นเดินทางโดยม้าเพื่อเก็บแรงไว้จึงดีที่สุด เยี่ยนหรงนิ่งฟังศิษย์อาจารย์ทั้งสองหารือกัน ความจริงแล้วนางคิดว่าตนเองเคยเห็นม้าจากในตำรามาก่อน อืม... หน้าตาม้าเป็นอย่างไรแล้วนะ จำไม่ได้เสียแล้ว วันต่อมา ขณะที่ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า สามศิษย์อาจารย์ก็มาถึงตีนเขาของสำนักกันอย่างพร้อมเพรียง หลิวเส้าชงยังคงสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวสุขุมเรียบร้อยเหมือนทุกวัน เชียนจือหวาที่มีเสื้อผ้ามากมาย แต่ในวันที่จะต้องต่อสู้ก็ยังชมชอบที่จะใส่ชุดสีแดง ทำให้คนดูเด็ดเดี่ยวมั่นใจขึ้นอีกหลายส่วน เยี่ยนหรงในชุดสีน้ำเงินเข้มที่ซื้อมาตามการคะยั้นคะยอของเชียนจือหวา ยืนมองม้าสีน้ำตาลที่ตัวสูงกว่าเจ็ดฉืออย่างนิ่งงัน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับมันดี เจ้าม้านั่นก็มองกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก เห็นเชียนจือหวาและหลิวเส้าชงก็มีม้ากันคนละตัวนางจึงมองส่งสายตาไปที่คนทั้งสองเพื่อขอความช่วยเหลือ "เจ้านี่…ใช้อย่างไร" เยี่ยนหรงชี้มือไปตรงหน้าม้าที่เริ่มทำเสียงฮึดฮัด นิ้วชี้ที่ยื่นออกไปเกือบโดนเจ้ามาพยศอ้าปากกัด ดีที่นางว่องไวชักมือกลับมาทัน เชียนจือหวาก็มองเยี่ยนหรงอย่างนิ่งงันเฉกเช่นเดียวกับที่เยี่ยนหรงมองม้าของตน เป็นคนเช่นไรจึงขี่ม้าไม่เป็น หรือนี่นางถึงขั้นไม่รู้จักม้า หลิวเส้าชงสีหน้าไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก เพียงแต่เหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ครั้นจะให้เยี่ยนหรงฝึกขี่ม้าตอนนี้ก็คงไม่ทัน เขาจึงให้นางไปนั่งม้าตัวเดียวกับเชียนจือหวาแทน สุดท้ายเจ้าม้าพยศตัวนั้นก็หมดหน้าที่ วิ่งกลับเข้าคอกของตนไปพร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัดตลอดทาง ทั้งสามเดินทางทั้งวัน ตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสาง ตั้งแต่ฟ้าสางจนบ่ายคล้อย พอตกเย็นก็หาที่พักตามรายทาง วนอยู่เช่นนี้สองวัน ตกเย็นวันที่สองก็มาถึงเมืองหุนโจวตามที่คาดกันไว้ เยี่ยนหรงเมื่อไม่ต้องบังคับม้าจึงค่อนข้างสบาย ระยะทางที่ผ่านมานางสามารถมองไปรอบด้านได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นตลาดบ้านเรือน คูคลอง กำแพงเมือง จนถึงป่ารกข้างทาง นางล้วนดูชมจนพอจะเข้าใจกับผู้คนและทิวทัศน์ในแดนมนุษย์ ความจริงแล้วผู้คนที่นี่ก็ไม่ต่างอันใดกับเทพแดนสวรรค์นัก คนในแดนมนุษย์ต่างต้องทำงานหาเลี้ยงปากท้อง เทพบนสวรรค์ก็ต้องทำงานเพิ่มพูนปราณทิพย์ ยิ่งมีมากยิ่งแข็งแกร่งมาก บนโลกนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่แดนไหนแต่ละคนก็ย่อมมีสิ่งที่ตนปรารถนา และพยายามไขว่คว้ามาให้ได้ ตลอดชีวิตของเยี่ยนหรงก็เคยมีความปรารถนาอยู่สองข้อเช่นกัน ข้อหนึ่งใช้ชีวิตแลกมาจนบรรลุผล อีกข้อหนึ่งพังทลายไม่มีชิ้นดี มาถึงตอนนี้เทพไร้อารมณ์ความรู้สึกเช่นนางก็ไม่มีความปรารถนาอะไรอีก เพียงแค่อยู่ให้ผ่านพ้นไปวันๆ เท่านั้น ขี่ม้ามาทั้งวันย่อมต้องอ่อนเพลีย ทั้งสามจึงนัดกันว่าวันพรุ่งนี้จึงเริ่มภารกิจตามหาเบาะแสของอสูร เมื่อมาถึงจึงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหุนโจว เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมบอกว่าห้องพักเหลือเพียงสองห้อง เชียนจือหวาจึงนอนห้องเดียวกับเยี่ยนหรง เยี่ยนหรงมิได้รู้สึกอ่อนเพลียแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะนางมิใช่ผู้บังคับม้าเอง หรืออาจเป็นเพราะนางไม่มีความรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลียตั้งแต่ต้น แต่เมื่อทุกคนพักผ่อนนางก็ต้องพักผ่อนด้วย เลียนแบบการใช้ชีวิตของผู้อื่นจึงจะรักษาชีวิตของตนไว้ได้ เพราะหากนางไม่กินตามที่คนอื่นกิน ไม่นอนตามที่คนอื่นนอน ร่างกายก็คงทนไม่ไหวเข้าสักวัน และตายไปแบบไม่รู้ตัว เยี่ยนหรงและเชียนจือหวาต่างพากันถอดเสื้อตัวนอกแขวนไว้ที่ราวไม้ เตรียมจะผลัดกันไปอาบน้ำอุ่นในถังไม้ใบใหญ่ที่เสี่ยวเอ้อร์ยกมาให้ เชียนจือหวาทำหน้าที่ศิษย์พี่อย่างดีเยี่ยม นางเสียสละให้เยี่ยนหรงอาบน้ำก่อน ส่วนตนเองจะเก็บข้าวของต่ออีกหน่อย เยี่ยนหรงจึงเข้าไปที่หลังฉากกั้น และถอดเสื้อผ้าออกเตรียมอาบน้ำ สายคาดเอวสีขาวบริสุทธิ์ของนางค่อยๆ คลายออกจากเอว และลอยมานอนพาดบนราวไม้เองอย่างแผ่วเบาราวกับมีชีวิต เชียนจือหวาก็ตาไวเห็นเชือกเส้นนั้นลอยไปลอยมาเข้าพอดี นางจึงทำตาโตด้วยความตกใจปนสงสัย เหตุใดมีของแบบนี้อยู่บนโลกได้! สุดท้ายจึงชี้มือไปที่เชือกสีขาวที่พาดบนราวไม้ และถามเยี่ยนหรงอย่างตะกุกตะกัก "นะ นะ นั่นมันอะไรน่ะ" เยี่ยนหรงหันมามองหน้าตาตื่นตระหนกของเชียนจือหวา หลังจากนั้นจึงมองตามมือนางไปเจอกับเชือกขาวบนราวแขวนผ้า "อ่อ นั่นแส้ของข้าเอง" นางจับมันขึ้นมาสะบัดคราหนึ่ง เชือกอ่อนนุ่มสีขาวก็กลายเป็นแส้สีเงินอันแข็งแกร่ง "มันปลอมเป็นเชือกได้" หลายวันมานี้นางฝึกบังคับแส้อย่างหนักอยู่ที่ป่าปริศนา และลงไปแช่น้ำพุร้อนรักษาตัวเกือบทุกคืน พอพลังเทพเพิ่มพูนขึ้นมาเล็กน้อยก็สามารถสั่งการอาวุธให้โจมตีตามใจต้องการได้โดยไม่ต้องสัมผัสหรือถือเอาไว้ แต่การใช้งานรูปแบบนี้สิ้นเปลืองพลังมาก เมื่อคืนหลังจากฝึกหนักจนพลังถดถอย เยี่ยนหรงก็เดินลากขากลับเรือนพักโดยไม่ได้ใช้พลังเวทย่อขนาดเก็บแส้ไว้กับตัว เจ้าแส้เส้นนี้เมื่อได้สัมผัสพลังแห่งเทพก็รู้ความยิ่งนัก เห็นเยี่ยนหรงเดินไม่สนใจ มันก็แปลงตนเองเป็นเชือกผูกเอวแสนธรรมดาลอยตามนางไป และพันรอบเอวนางไว้อย่างเรียบร้อย นั่นก็ทำให้นางเบาแรงไปอีกหน่อย อยู่ด้วยกันมานาน เชียนจือหวาก็ไม่เคยสังเกตว่าอาวุธของเยี่ยนหรงจะวิเศษขนาดนี้ แต่นางก็ชอบสิ่งวิเศษแบบนี้แหละ! นางตรงดิ่งเข้าไปกอดแขนกอดขาศิษย์น้องอย่างไม่อาย เซ้าซี้ให้สอนตนบ้าง ในความคิดนาง คนอื่นทำได้นางก็ต้องทำได้สิน่า! เยี่ยนหรงแม้อยู่ในสภาพเกือบไร้ความรู้สึก แต่เมื่อเสื้อผ้าของนางที่ไม่เรียบร้อยถูกเชียนจือหวาดึงรั้งไปมาเช่นนี้ก็น่าหวาดเสียวใช่เล่น ปล่อยยื้อยุดกันต่อไปไม่ดีแน่ จึงรีบสัญญาว่าเมื่อกลับไปที่สำนักจะสอนให้อย่างแน่นอน หลังจากถูกปล่อยตัว เยี่ยนหรงก็ระบายลมหายใจยาวก่อนก้าวลงไปในถังน้ำอุ่นที่มีควันขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ด้านบน แช่ตัวลงไปในถังน้ำอย่างวางใจ เช้าวันรุ่งขึ้น สองศิษย์พี่น้องตื่นขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง และออกไปสอบถามเบาะแสเกี่ยวกับอสูรจากชาวบ้านในแถบใกล้เคียง พวกเขาเล่าว่า “อสูรอาศัยอยู่ในป่าลึกทางทิศตะวันออก ขนาดตัวยาวเกือบหนึ่งจั้ง มีเขี้ยวยาวสีแดงฉาน หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว” “อสูรตนนี้ลำตัวยาวสีขาว มีสามแขนหกขา เกล็ดบนร่างยังสะท้อนแสงได้อีกด้วย” “อสูรตนนี้ต้องจับคนไปกินไม่เหลือแม้แต่ซากแน่ๆ คนที่หายไปจนบัดนี้ยังหาไม่เจอเลย” เยี่ยนหรงที่รับข้อมูลมากมายจากชาวบ้านได้แต่เอียงคอคิด มีอสูรเช่นนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ นางกับเชียนจือหวาจึงไปสืบหาเบาะแสเพิ่มเติมยังบ้านของผู้ที่พบเจออสูร และรอดชีวิตมาได้ หลังจากเขาถูกอสูรเล่นงาน และได้รับบาดเจ็บสาหัสขาขาดทั้งสองข้าง เขาก็ไม่ยอมออกมาพบหน้าใครอีกเลย วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกมาชมแสงเดือนแสงตะวันนานแล้ว เมื่อรู้ว่ามีคนจากสำนักบำเพ็ญเพียรมาสอบถามข้อมูลก็ปิดประตูฉับแทบจะกระแทกหน้าเยี่ยนหรงและเชียนจือหวาอย่างไม่เป็นมิตร เชียนจือหวาผู้ใจร้อนกำลังจะยกเท้าถีบประตูบุกเข้าไป กลับถูกเยี่ยนหรงผู้ไร้ความรู้สึกโกรธดึงไว้ได้อย่างทันท่วงที ใช้กำลังไปก็ไม่เกิดประโยชน์ หากคนไม่ยอมพูด ง้างปากอย่างไรก็คงไม่ยอมพูด เยี่ยนหรงเงี่ยหูฟังยังไม่ได้ยินเสียงล้อของเก้าอี้ไม้ที่เขานั่งเคลื่อนที่จากไป จึงเอามือทุบประตูเบาๆ และเรียนเขาไว้อีกครั้ง “ท่านลุงสือ ข้ารู้ว่าท่านยังฟังอยู่” เมื่อได้ยินคนหลังประตูแค่นเสียงเบาๆ จึงกล่าวต่อ “จากที่ข้าสอบถามชาวบ้านมา อสูรตนนี้น่าจะเป็นหลานกุ่ย มันชอบอาศัยอยู่ตามหนองน้ำ อีกทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก มันได้ขาท่านไปสองข้างแต่ยังไม่ได้ตัว ช้าเร็วจะต้องบุกมาเอาชีวิตท่านถึงบ้านแน่” เยี่ยนหรงสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนหลังประตูที่ขาดห้วงด้วยความตื่นตระหนกก็กล่าวเสริมอีก “สิ่งที่หลานกุ่ยชอบที่สุดก็คือเสียงกระดูกของเหยื่อที่หักดัง กร๊อบ! เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน เสียงเนื้อหนังที่ถูกฉีดออกจากกันจนสุดท้ายขาดสะบั้น อ่อๆ มันยังชอบเห็นเลือดสาดกระจาย…” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ประตูตรงหน้าก็ถูกกระชากเปิดออกจากด้านในอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นชายขาพิการทั้งสองข้างนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ตัวหนึ่ง เขาสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แม้จะพยายามปิดบังแต่เยี่ยนหรงก็ยังสังเกตเห็น เขาจับล้อรถเข็นบังคับรถให้หันหลัง และหมุนล้อเคลื่อนที่เข้าไปด้านใน เป็นการบ่งบอกว่าเชิญทั้งสองคนเข้ามาได้ เขายอมให้ความร่วมมือแล้ว เมื่อทั้งสองเข้ามาในเรือน และนั่งลงเรียบร้อย พรานป่าสือก็เริ่มเล่าเรื่องที่ตนได้ไปประสบพบเจอมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD