ปราบอสูร(2)

1654 Words
ในตอนนั้นพรานป่าสือเข้าป่าไปเพื่อล่าสัตว์กับนายพรานอีกสองคน ช่วงหลายวันมานี้สัตว์ป่าลดน้อยลงเรื่อยๆ อย่างไม่มีสาเหตุ เขากับเพื่อนท่องป่าอยู่นานก็ยังล่าอะไรไม่ได้เลย จนเย็นย่ำค่ำมืด ทั้งหมดจึงตัดสินใจกลับออกจากป่า ช่วงนี้เมืองหุนโจวมีฝนตกชุก ท้องฟ้ามืดครึ้มเร็วกว่าปกติ พรานทั้งสามจึงใช้ทางลัดที่จะทำให้กลับถึงหมู่บ้านได้เร็วที่สุด แต่เส้นทางลัดนี้มีภูมิประเทศอันตราย ทั้งหน้าผาที่มีหินแหลมคม อีกทั้งยังต้องผ่านบึงน้ำกว้างซึ่งไม่สะดวกอย่างยิ่ง แต่ทั้งสามก็ยังดึงดันที่จะไป เป็นพรานป่ามามากกว่าสิบปี เรื่องแค่นี้สำหรับพวกเขาแล้วไม่น่ากลัวแม้แต่น้อย กว่าพวกเขาจะเดินถึงบึงน้ำกว้าง พระจันทร์ก็ลอยเด่นอยู่บนฟ้าแล้ว พรานป่าสือเป็นคนเดินนำหน้า จำได้ว่าตอนนั้นในป่าทั้งเงียบและวังเวง ไม่มีเสียงสัตว์ป่า แม้แต่เสียงจักจั่นก็ไม่มีแม้สักนิด ลมสงบนิ่งอย่างประหลาดจนแม้แต่เสียงใบไม้ไหวก็ไม่มี เดินไปครู่หนึ่ง พรานป่าสือก็ได้ยินหนึ่งในพวกเขาร้องเสียงดังลั่น ในเสียงนั้นมีทั้งความตื่นตระหนกและเจ็บปวด เขาและพรานอีกคนต่างพากันตกใจรีบหันกลับไปมอง พบว่าคนได้หายไปแล้ว เขาเพ่งมองที่พื้นอย่างละเอียดจึงพบรอยเลือดอยู่สองจุด รอยลากที่พื้นยาวเป็นทางนำไปที่บึงน้ำ เขาและพรานอีกคนถือคบเพลิงเดินตามรอยลากบนหญ้าและพื้นดินที่ตอนนี้ชื้นแฉะจนเป็นโคลนไปจนถึงริมบึง พบว่าร่องรอยได้หายลงไปในบึงน้ำนั้น เขามองหน้ากับพรานอีกคน คิดว่าในบึงต้องมีสัตว์ร้ายอะไรสักอย่างที่ลากเพื่อนของเขาลงไปใต้น้ำ หลังจากยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง น้ำในบึงที่เคยนิ่งราวแผ่นกระจกก็เริ่มไหลวนราวกับเกิดพายุน้ำวนขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยมีใครพบมาก่อน ทั้งสองคนจึงวิ่งออกห่างจากบึงน้ำทันที วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของสัตว์ขนาดใหญ่บางอย่างที่ด้านหลังตน เขาวิ่งพลางหันกลับไปมองพลาง พบว่าพรานอีกคนที่วิ่งหนีมาด้วยกันนั้นร่างถูกบางสิ่งกระชากไปด้านหลัง เขาซึ่งเป็นพรานป่ามานานประสาทสัมผัสไว การเคลื่อนไหวจึงรวดเร็ว สามารถคว้ามือเพื่อนของเขาเอาไว้ได้ทัน แต่สัตว์ตัวนั้นมีพละกำลังมหาศาล มันลากร่างเพื่อนเขาและตัวเขาไถลไปที่บึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาไม่ปล่อยมือ ตัวจึงถูกลากไปกับพื้น ศีรษะหันไปทางสัตว์ยักษ์ตัวนั้นพอดี สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำเอาเขาตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด สัตว์ยักษ์ในบึงน้ำที่ลากร่างเพื่อนเขาไปคืออสูรงูยักษ์ ครึ่งบนรูปร่างเป็นมนุษย์ครึ่งล่างรูปร่างเป็นงู ลำตัวมันยาวมาก ขนาดเลื้อยตามพวกเขามา ส่วนปลายหางที่เป็นงูก็ยังไม่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาทั้งหมด มันมีผมยาวรุงรังสีขาว ดวงตาแดงฉานน่ากลัว ผิวเนื้อเป็นสีขาวซีดจนเกือบเขียวทั้งตัว ยกเว้นส่วนหางที่มีเกล็ดปกคลุม ดวงตาสีแดงสดที่สะท้อนแสงจันทร์จ้องมองมายังพรานที่มันจับขาไว้ และแลบลิ้นยาวสองแฉกออกมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน มือขาวซีดจับขาของเพื่อนเขายกลอยจากพื้น ถึงตอนนั้นพรานสือจำต้องรีบปล่อยมือ หลังยืนมั่นที่พื้นจึงเบิกตามองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจสุดขีด ขนาดปากที่ในตอนแรกดูไม่ใหญ่นัก เมื่ออ้าออกกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนผิดรูป เขี้ยวแวววับกัดกระชากลงบนร่างของพรานผู้โชคร้ายจนตัวขาดสะบั้น เลือดในร่างสาดกระเซ็นลงมาบนพื้นหญ้าด้านล่างจนเปรอะเปื้อนไปหมด เขาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจกลัว แม้จะอยากอาเจียนแค่ไหนแต่เขาต้องฝืนใจวิ่งหนีให้เร็วที่สุด แต่ไม่ว่าวิ่งเร็วอย่างไรเขาก็ยังได้ยินเสียงของอสูรตัวนั้นตามมาอย่างไม่ลดละ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาตกใจจนลนลานสัญชาตญาณหดหาย จึงสะดุดรากไม้ล้มลงกับพื้น ในตอนนั้นเขาคิดว่าชีวิตคงจบสิ้นแล้ว แต่อสูรงูกลับทำเพียงส่งเสียงร้องแหลมแสบหูราวเหล็กกระทบกันอยู่ที่ด้านหลัง ไม่ได้เลื้อยตามมาเขมือบเขาอย่างที่คิด ราวกับมีบางอย่างรั้งมันไว้ไม่ให้ออกมาไกลจากหนองน้ำ มันพยายามเอาแขนยาวๆ ไขว่คว้าตัวเขา สุดท้ายเขาดิ้นหนีไม่พ้น นิ้วมือเรียวยาวขาวซีดกลับเกี่ยวขาของเขาเอาไว้ได้ เขากระเสือกกระสนดิ้นหนี เล็บทั้งสิบตะกุยตะกายกับพื้นจนเล็บหลุดมือถลอกเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว สุดท้ายก็คว้าเถาวัลย์ขนาดใหญ่เอาไว้ได้เส้นหนึ่ง เขาเอาแขนกอดไว้แน่นสุดชีวิต ตั้งมั่นว่าอย่างไรก็จะไม่ปล่อยเด็ดขาด อสูรงูยักษ์เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งออกแรงกระชากอย่างโกรธเกรี้ยว จนกระดูกข้อต่อที่เข่าของเขาหลุด ขาของเขาถูกฉีกกระชากออกจากร่างในชั่วพริบตา เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายก็เสียเลือดจนสลบไป พอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็มีคนไปพบ และนำร่างของเขากลับมารักษายังหมู่บ้านแล้ว เยี่ยนหรงฟังจบก็มีสีหน้าสงบนิ่ง ตอนนี้นางรู้แล้วว่าสัตว์ประหลาดที่ชาวบ้านเจอนั้นคืองูป๋ายเฉอ เป็นครึ่งปีศาจครึ่งอสูร เนื่องจากร่างครึ่งหนึ่งยังคงเป็นเดียรัจฉาน เป็นอสูรที่ยังบำเพ็ญไม่ถึงขั้นปีศาจที่มีร่างมนุษย์สมบูรณ์ จัดเป็นอสูรที่กระจอกชนิดหนึ่ง หากเป็นเมื่อก่อนนางแค่กระดิกนิ้ว งูนี่ก็คงแหลกเป็นผุยผงแล้ว แต่ตอนนี้นางไม่ต่างอะไรกับศิษย์สำนักบำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ คนหนึ่ง จะจัดการอสูรนั่นน่าจะต้องออกแรงเยอะพอดู เชียนจือหวาที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เคยอ่านเจออสูรลักษณะนี้อยู่ในตำราเรียน จัดเป็นอสูรระดับกลางที่มีพลังทำลายล้างไม่เบา ก่อนไปจัดการจะต้องวางแผนเตรียมตัวให้ดีเสียแล้ว พวกนางสองคนครุ่นคิดกันไปคนละทาง หลังจากกล่าวลาพรานป่าสือ เยี่ยนหรงและเชียนจือหวาก็กลับไปรายงานแก่หลิวเส้าชงที่ร้านชาแห่งหนึ่ง หลังรายงานเสร็จหลิวเส้าชงกลับทำเพียงยิ้มบางๆ บอกว่าเหมาะแก่การฝึกฝน เชียนจือหวาด้วยความเลือดร้อนจึงกล่าวว่าครานี้นางจะไปกับศิษย์น้อง จะต้องจัดการได้แน่ ที่ผ่านมานางเคยเจอแต่อสูรระดับล่างที่ฤทธิ์ไม่เยอะ และปราบง่ายมาตลอด หลิวเส้าชงไม่เคยต้องยื่นมือเข้าช่วยเลยสักครั้ง งูป๋ายเฉอเป็นอสูรระดับกลาง อย่างไรนางก็คิดว่าตนเองสามารถจัดการได้ อีกทั้งยังมีศิษย์น้องช่วยจะต้องทำสำเร็จแน่นอน แต่หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายค่อยส่งสัญญาณแจ้งอาจารย์อีกที หลิวเส้าชงได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้มีสีหน้าหนักใจอะไร เพียงตอบตกลง และให้พวกนางสองคนจัดการกันเอง ส่วนตัวเขานั่งอยู่บนชั้นสองของร้านชา มองศิษย์ทั้งสองคนของตนเดินจากไปไกลด้วยสีหน้าไร้กังวล มือที่เหี่ยวย่นเล็กน้อยด้วยความแก่ชรารินชาร้อนหอมฉุยให้ตัวเอง และดื่มด่ำกับทิวทัศน์ภูเขาแมกไม้ที่อยู่ไกลๆ พลันเหลือบมองไปบนท้องฟ้าแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ฝนใกล้ตกแล้ว… เยี่ยนหรงและเชียนจือหวาเข้าป่าไปตามล่างูป๋ายเฉออย่างไม่รีบไม่ร้อนนัก อย่างไรงูตัวนี้ก็จะโผล่มาอาบแสงจันทร์เฉพาะตอนกลางคืนอยู่แล้ว กว่าทั้งสองจะเดินชมนกชมไม้ไปจนถึงบึงน้ำขนาดใหญ่ตามที่พรานป่าสือบอก ท้องฟ้าก็มืดลงพอดี เชียนจือหวานำยันต์เปล่งแสงออกมา ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบมันไว้ และสะบัดคราหนึ่ง ยันต์สีขาวก็เปล่งประกายสว่างจ้าราวกับตะเกียง ที่ริมบึงทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัด แม้แต่เสียงลมพัดก็ไม่มี คาดว่าสัตว์ป่าแถวนี้ก็คงสัมผัสได้ถึงอันตรายจากอสูรปีศาจ จึงได้พากันหนีไปนานแล้ว เยี่ยนหรงและเชียนจือหวานั่งลงเท้าคางจ้องมองไปที่กลางบึงน้ำ รอป๋ายเฉอปรากฎตัว ทั้งสองนั่งรอในบรรยากาศเงียบกริบอยู่นาน แต่ก็ไร้วี่แววของอสูรปีศาจตนนั้น รอจนเชียนจือหวาเริ่มง่วง และหงุดหงิด นางจึงหยิบก้อนหินขนาดไม่เล็กข้างตัวปาลงไปในน้ำดัง จ๋อม! เยี่ยนหรงกำลังจะยกมือห้ามแต่ก็ไม่ทันการณ์ “ทำไม เรียกมันด้วยวิธีนี้ไม่ได้หรือ” เชียนจือหวาหันมาถามเยี่ยนหรงอย่างแปลกใจ “ได้” เยี่ยนหรงมองไปที่ผิวน้ำในบึงที่กำลังเริ่มหมุนวน “เพียงแต่มันจะโมโหหน่อยๆ ดุขึ้นนิดๆ เท่านั้นเอง” ทั้งสองเหินร่างถอยห่างจากบึงน้ำตั้งท่าเตรียมพร้อม น้ำในบึงหมุนวนอย่างรุนแรงราวพายุอันบ้าคลั่งน่ากลัว ไม่นานอสูรปีศาจตัวสีขาวซีดก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากกลางบึง ดวงตาสีแดงฉานจับจ้องมาที่พวกนางอย่างโกรธเคือง…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD