จูอินมองเยี่ยนหรงด้วยแววตาเจือความเวทนาอยู่บ้าง ความจริงเด็กน้อยครึ่งปีศาจคนนี้เขาก็เคยเจอผ่านๆ ในแดนสวรรค์ แม้ไม่สนิทแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเลวร้าย อีกทั้งเขาได้เห็นทั้งหมดแล้วว่าแดนสวรรค์มิใช่บ้านของนางอีกต่อไป จึงไม่คิดจับกุมนางอีก ยิ่งเห็นภาพความทรงจำของนางตอนผนึกแดนอสูรยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรม เขาถึงกับโกรธแทนนางเสียด้วยซ้ำ ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปโดยแท้
"ความจริงเจ้าก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่จับแล้วๆ" เขาถอนหายใจยาว โบกมือไปมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยนหรง
"ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้" เยี่ยนหรงประสานมือคารวะอย่างจริงใจ
"อย่ามามองข้าแบบนั้น มิใช่ข้าใจอ่อน อย่างน้อยภายภาคหน้าเจ้าก็ยังพอให้พึ่งได้" จูอินกอดอกวางมาด
มิใช่แค่พึ่งได้ แต่ขาดไม่ได้เลยล่ะ ในอนาคตที่เขาเห็นนั้นสงครามเทพอสูรจะปะทุขึ้นอีกครั้ง และจะรุนแรงยิ่งกว่าคราวก่อน
เมื่อนึกย้อนไปตอนที่นางผนึกแดนอสูรจนกลายเป็นเรื่องราวสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งแดนเทพ เขาก็รู้สึกว่าเด็กปีศาจผู้นี้ก็ไม่เลว มีพลังอำนาจข่มอสูรได้อย่างดีเยี่ยม หากเกิดสงครามขึ้นมาแล้วขาดนางไป ฝั่งเทพจะตึงมือและเสียเปรียบได้
แม้ตอนนี้นางจะสูญเสียพลังไปเกือบทั้งหมด แต่มีคนคอยช่วยฟื้นฟูพลังอยู่ตลอด อีกทั้งตัวนางเองก็มีความมุมานะสูงจนน่าหมั่นไส้ เรื่องนี้จึงไม่น่าห่วงนัก
การดูชะตาของเทพนั้นมิได้ง่ายดายเหมือนดูชะตามนุษย์ มนุษย์อายุขัยสั้น ดูชะตาตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่เปลืองแรง แต่เหล่าเทพนั้นไม่เหมือนกัน อายุขัยที่ยาวนานทำให้เกิดข้อจำกัด จึงมักดูชะตาได้แค่ไม่กี่สิบปีก่อนเกิดเหตุการณ์ขึ้น ดังเช่นตอนนี้เขายังไม่อาจดูไปถึงผลของสงครามได้ แม้จะอยากรู้ใจจะขาดก็ตาม
เขามองเยี่ยนหรงอย่างใช้ความคิด เห็นว่าคนตรงหน้าไม่เข้าใจที่เขาพูด ก็ไม่คิดจะอธิบายให้มากความ
แดนมนุษย์ก็มิใช่สถานที่ที่จะสนทนาพาทีกันเช่นนี้ หากใครมาเห็นเข้า การซ่อนตัวของนางก็จบเห่แล้ว ทั้งคู่จึงกลับเข้าไปในป่าปริศนาอีกครั้ง หลังจากนั่งลงข้างโขดหินใกล้ลำธารเรียบร้อยแล้ว จูอินก็เอามือลูบหัวกระต่ายภูตตัวหนึ่งที่กระโดดมาใกล้เขา พลางกล่าวชื่นชมสถานที่แห่งนี้ยกใหญ่
"มิรู้เป็นเทพองค์ใดสร้างไว้ ช่างมีรสนิยม" เขาเหลือบตามองเยี่ยนหรงอย่างดูแคลน "แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เจ้ากระมัง"
เยี่ยนหรงทำหน้าเหลอหลามองเขาอย่างไม่เข้าใจ "แน่นอน ข้าสูญเสียพลังไปแล้ว จะเหาะเหินเดินอากาศยังทำไม่ได้ จะสร้างที่แห่งนี้ได้อย่างไร"
"มิใช่เหตุผลเช่นนั้น" จูอินโบกมือไปมา สายตายิ่งดูแคลนนางมากขึ้น "รสนิยมเจ้าไม่ดีพอต่างหาก”
ความสงสัยฉายชัดบนใบหน้างามหมดจด
“ข้าเข้าใจนะว่าตอนอยู่แดนสวรรค์เทียนตี้ไม่ต้องการให้เจ้ามีใบหน้างดงามสะเทือนฟ้าดินเช่นปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง แต่ดูเจ้าแปลงกายเข้าสิ ไม่จำเป็นต้องใช้ใบหน้าเด็กน้อยที่แสนธรรมดาดาษดื่นเช่นนั้นก็ได้ จำแลงกายทั้งทีก็ทำให้มันดูดีหน่อย"
"ใบหน้าข้าตอนนั้นแย่มากเลยหรือ" เยี่ยนหรงเอามือลูบหน้าตนเองไปมา หรือนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่กู้เฉิงไม่ชอบนาง แต่นางก็ไม่เห็นจะรู้สึกว่าใบหน้านั้นขี้เหร่ที่ตรงไหนนี่นา
"ก็มิได้ถึงกับแย่มาก แค่แย่เท่านั้น" จูอินเหลือบมองนางด้วยหางตา ด้านการรบราฆ่าฟันไม่เป็นรองใคร แต่ด้านการใช้ชีวิตเกินเยียวยาอย่างแท้จริง
"เอาล่ะ" นางไม่อยากฟังเขาจิกกัดนางอีก เรื่องหน้าตาไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญในชีวิตอยู่แล้ว นางเพียงอยากจะรู้ว่าหลังจากนางตายเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เวลาผ่านไปกี่ปีแล้ว
จูอินเห็นนางน่าสงสารจึงคิดว่านั่งคุยเป็นเพื่อนสักพักก็เป็นเรื่องเหมาะสม จึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น…
หลังจากนางตาย เหล่าเทพที่เหลือต่างพากันผนึกแดนอสูรซ้ำอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมขึ้นมาอีก องค์ชายใหญ่แห่งแดนสวรรค์สูญเสียดวงตาไม่อาจรักษา จึงพำนักอยู่แต่ในตำหนักของตน ไม่ออกมาพบเจอใครอีกเลย อาการป่วยของเทียนตี้เริ่มทุเลาลงมาก แต่ก็ยังไม่แข็งแรงดังเดิม จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ผ่านมาห้าพันสี่ร้อยสามสิบสองปีแล้ว
"แล้ว…" เยี่ยนหรงยังมีเรื่องอยากถามแต่ไม่กล้าเอ่ยต่อ
จูอินหรี่นัยน์ตาหงส์มองนาง "เทพโอสถอันดับหนึ่ง องค์ชายใหญ่กู้เฉิงน่ะหรือ" เห็นเยี่ยนหรงนิ่งเงียบเขาก็แย้มยิ้มแล้วจึงเล่าต่อ "ตั้งแต่เจ้าตาย เขาก็กลับหุบเขาวิหคไฟ มิได้กลับมาแดนสวรรค์อีกเลย"
เยี่ยนหรงได้ฟังดังนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ลังเลว่าจะถามต่อดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่อง
"แล้วเจ้าเห็นหรือไม่ว่าใครชุบชีวิตข้า"
"เห็น" จูอินมองดวงตาเป็นประกายของนางก็บังเกิดความคิดกลั่นแกล้ง "แต่ไม่บอกเจ้า"
เยี่ยนหรงแม้ทั้งร่างปราศจากความโกรธ แต่เมื่อจูอินทำเช่นนี้นางก็อดมองประท้วงเขาไม่ได้
"บอกเจ้าข้าก็ไม่ได้เห็นเรื่องสนุกสิ" เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี อุ้มกระต่ายภูตตัวเดิมขึ้นมาไว้บนตัก และลูบขนนุ่มนิ่มของมันอย่างสบายมือ
ความจริงแล้วข้อนี้เขาก็สงสัยไม่น้อย ตั้งแต่ยุคบรรพกาลเบิกฟ้าผ่าปฐพี ยังไม่เคยปรากฏว่ามีเทพองค์ใดสามารถฟื้นคืนชีพได้ และก็ยังไม่มีเทพองค์ใดสามารถชุบชีวิตได้แบบนี้มาก่อน ทั้งที่เป็นการกระทำฝืนชะตาฟ้าดิน แต่ตัวเขาเองกลับไม่ระแคะระคาย เมื่อลอบตรวจสมุดชะตาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือว่าแม้แต่ฟ้าดินก็อยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ
จูอินครุ่นคิดจนใจลอย พลันได้ยินเยี่ยนหรงกล่าวค่อนแคะ
"เสียแรงมีพลังสอดรู้สอดเห็นมากกว่าผู้อื่น แต่กลับไม่ใช้เพื่อก่อประโยชน์" เยี่ยนหรงตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังคงทำหน้านิ่งใส่เขา มิได้มีอารมณ์ใดเจือปนแม้แต่น้อย
“พลังหยั่งรู้!” เขาถลึงตาใส่นางอย่างดุร้าย ความจริงแล้วเขาก็มิได้อยากรู้เรื่องของชาวบ้านสักเท่าไรหรอก หึ!
จูอินกำลังจะอ้าปากสั่งสอนนางต่อ แต่แล้วก็หยุดชะงักไป เขาโบกมือร่ายคาถาบางอย่าง เพียงพริบตาก็ปรากฏปราณสีม่วงแผ่กระจายออกมาจากรอบตัวของเขา ผ่านไปไม่นานเมื่อแสงสีม่วงจางหายดวงตาหงส์ก็ลืมตาขึ้นอย่างร้อนรน
“เจ้าพวกนั้นกำลังมาแล้ว” เขาส่ายหน้าถอนหายใจยาว คิ้วขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด
เหล่าเทพมีทั้งที่ชอบรู้อนาคต และไม่สนใจที่จะรู้ พวกที่อยากรู้ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาตามหาจูอิน บ้างขอร้อง บ้างข่มขู่ ดังนั้นจูอินยามปกติจึงต้องแผ่พลังปราณของตนไปตามสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อระวังภัย หากเขาสัมผัสได้ถึงความกดดันภายในรัศมีหนึ่งหลี่ ก็จะรีบเผ่นหนีไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ชะตาบางเรื่องเปิดเผยได้ แต่บางเรื่องก็เป็นความลับฟ้าดินที่ไม่อาจเปิดเผย เขาจึงตัดปัญหาโดยไม่ทำนายชะตาให้ใครทั้งสิ้น
เขารีบลากเยี่ยนหรงออกจากข่ายอาคมมาตรงหน้าทางเข้าป่าปริศนา จากนั้นก็สั่งกำชับนางอย่างรวดเร็ว
"หากพวกนั้นถาม บอกว่าข้าหนีไปทางทิศตะวันตกนะ" พูดจบจูอินก็กระโดดขึ้นเมฆมงคลเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เยี่ยนหรงยืนพยักหน้าหงึกๆ อยู่ที่เดิม
เยี่ยนหรงมองจูอินเคลื่อนที่หายไปทางทิศตะวันออกราวดาวตก ความจริงแล้วนางพอจะเดาสถานการณ์ของจูอินออกแปดเก้าส่วน จึงรับปากอย่างว่าง่าย
เมื่อเทพสามองค์ปรากฏตัวตรงหน้านางอย่างเร่งรีบ ก็ตรงเข้ามาถามหาจูอินโดยไม่สนว่านางจะเป็นเทพ มนุษย์ หรือปีศาจ นางจึงตอบแบบไม่ต้องคิด "เขาน่ะหรือ เหยียบเมฆมงคลหนีไปทางทิศตะวันออกเมื่อครู่ หากท่านเทพทั้งสามรีบตามไปตอนนี้น่าจะยังทัน"
เทพทั้งสามมองหน้ากันแล้วรีบเหาะตามไปทางทิศที่เยี่ยนหรงบอกทันที
เยี่ยนหรงมองไปบนฟากฟ้าทางทิศตะวันออก แม้มิได้ยิ้มออกมา แต่นางคิดว่าหากเป็นนางตอนยังมีความรู้สึกครบถ้วนก็จะต้องทำเช่นนี้แน่นอน ใครใช้ให้เขากลั่นแกล้งนางก่อนเล่า บุญคุณค่อยทดแทน แต่แค้นต้องชำระก่อน
"หนีให้ดีล่ะจูอิน ช่วยเจ้าข้าก็ไม่ได้เห็นเรื่องสนุกสิ"
ณ ป่าพิรุณแดนสวรรค์ จูอินนั่งขดตัวอยู่ในถ้ำใต้น้ำตกแห่งหนึ่ง พลางสบถด่าเยี่ยนหรงอยู่ในใจ
นังเด็กปีศาจไร้สัจจะ ทำให้ข้าต้องมาติดแหง็กอยู่ใต้น้ำตกที่ทั้งหนาวทั้งเฉอะแฉะแบบนี้ หากรู้แต่แรกจับเจ้าส่งกลับสวรรค์ไปรับโทษเสียก็ดี!
ได้เพียงคิด ไม่อาจเอ่ยออกมาเสียงดังเพื่อระบายความคับข้องใจได้ แม้แต่จะจามยังต้องอุดปากไว้ไม่ให้เสียงเล็ดลอด
ที่ด้านนอกถ้ำน้ำตกยังได้ยินเสียงของเทพสามองค์ที่ติดตามเขามาอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่มีท่าทีที่จะยอมแพ้
“หายไปไหนแล้ว”
“หลบซ่อนไวยิ่ง!”
“ไปได้ไม่ไกลหรอก ช่วยกันหาให้เจอ”
จูอินมองม่านน้ำตกตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เจ้าเทพพวกนี้ เมื่อไหร่จะกลับไปทำงานทำการกันสักที!