การประลองรอบที่หนึ่ง(1)

1299 Words
สำนักฟู่หลิงสมกับเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพในทุกด้าน สถานที่ประลองถูกจัดเตรียมไว้อย่างอลังการจนสำนักอื่นต้องตกตะลึง สถานที่ประลองมิใช่เป็นเพียงเวทีหรือลานกว้างเฉกเช่นการประลองเล็กๆในสำนักอู่เฉิง แต่สนามประลองทั้งหมดถูกปรับแต่งให้มีความยากและอันตรายมากขึ้นกว่าปกติ ถือเป็นการคัดศิษย์ที่แข็งแกร่งเหมาะสมกับการไปแดนเทพอย่างแท้จริง เมื่อแปดสำนักบำเพ็ญเพียรมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงในเช้าวันที่สอง การประลองก็ถูกประกาศขึ้นอย่างเป็นทางการ สนามประลองมีทั้งหมดสี่แห่ง โดยในรอบแรกจะเป็นการจับฉลากสำนักทั้งแปดมาประลองกันทั้งหมดสี่คู่เพื่อหาผู้ชนะ โดยการประลองครั้งแรกนี้จะประลองเป็นคู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เยี่ยนหรงพยายามเคี่ยวเข็ญให้เชียนจือหวาต่อสู้สอดประสานกับหยางผู่เยว่ให้ได้ เมื่อได้ผู้ชนะจากสี่สำนักแปดคน การประลองรอบที่สองก็จะเป็นการประลองคู่อีกเช่นเคย คัดจนเหลือสองสำนักสี่คน เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหมดเหลือผู้ชนะสี่คนแล้ว จึงเป็นการประลองชิงกระจกแปดทิศ รอบนี้ทั้งสี่ต่างคนต่างสู้เพื่อเป็นที่หนึ่ง และการประลองในรอบสุดท้ายนี้จึงจะมีเทพจากหุบเขาวิหคไฟมาเพื่อรับผู้ชนะไป ในวันนี้เป็นการประลองกันครั้งแรกของทั้งแปดสำนัก เชียนจือหวาและหยางผู่เยว่จากสำนักอู่เฉิงประลองกับศิษย์สำนักหมิงหลง โดยลานประลองของสำนักฟู่หลิงนั้นมิได้เป็นเวทีไม้เหมือนกับสำนักอู่เฉิง เรียกว่าเป็นลานประลองที่ถูกออกแบบมาให้มีสภาพเหมือนการออกต่อสู้กับอสูรปีศาจจริงๆ ภูมิประเทศที่สำนักอู่เฉิงกับสำนักหมิงหลงใช้ประลองกันนั้น เป็นลานกว้างที่มีหินแหลมคมแทงพ้นพื้นดินขึ้นมาเป็นกลุ่มก้อนอย่างน่ากลัว หินพวกนั้นรูปร่างเหมือนกับเขี้ยวของสัตว์ขนาดยักษ์ หรือไม่ก็อสูรดุร้ายที่พร้อมจะขบกัดร่างของทุกคนที่เข้าใกล้ หากไม่ระวัง ไปกระแทกคมของหินเหล่านี้เข้า ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว นอกจากสำนักฟู่หลิงแล้ว ก็ไม่มีสำนักไหนที่ร่ำรวยมากพอที่จะเนรมิตลานประลองให้ตระการตาแบบนี้ได้ ลานฝึกที่สมจริงทำให้ศิษย์ของสำนักฟู่หลิงได้รับการฝึกฝนที่หนักหน่วง และสามารถรับมือได้กับภูมิประเทศทุกรูปแบบ ความเก่งกาจเป็นที่เลื่องลือ จนเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพมาเกือบร้อยปีแล้ว เชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ยืนเคียงคู่กันที่ด้านหนึ่งของลานประลอง อีกด้านเป็นศิษย์สำนักหมิงหลง ทั้งคู่เป็นชายร่างกายกำยำ คนหนึ่งแบกขวานเล่มมหึมาไว้บนไหล่ อีกคนในมือคล้องโซ่เหล็กที่ปลายทั้งสองข้างเป็นลูกตุ้มเหล็กขนาดใหญ่เกือบเท่าผลแตงโมยักษ์ เครื่องแบบของสำนักหมิงหลงนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม เปิดเผยช่วงแขนให้เห็นมัดกล้ามแข็งแกร่งน่าเกรงขาม แม้แต่หยางผู่เยว่ที่เป็นบุรุษร่างสูงโปร่งก็ยังสูงเพียงแค่คางของศิษย์สำนักหมิงหลงเท่านั้น จางจิวที่ยืนมองอยู่ข้างลานประลองลอบปาดเหงื่อแทนเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ “อาจารย์ ท่านว่าเราจะชนะไหม” หลิวเส้าชงยิ้มน้อยๆ หันไปถามเยี่ยนหรงต่อ “เฟยเยี่ยน เจ้าว่าอย่างไร” “หากไม่บุ่มบ่ามเข้าปะทะตรงๆ ก็ชนะได้ไม่ยาก” ดูจากอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ความเร็วตกเป็นรองเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่แน่นอน เด็กน้อยที่นางสอนมากับมือจะแพ้ได้อย่างไร ไม่มีทาง! หลิวเส้าชงได้ยินคำตอบก็พยักหน้าเห็นด้วย เด็กสองคนนั้นแม้ภายนอกดูบอบบาง แต่ความจริงแล้วแข็งแกร่งอย่างหาตัวจับยากจริงๆ เสียงฆ้องดังกังวานหนึ่งครั้ง เป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มประลองได้ ทั้งสองฝ่ายคารวะกันตามมารยาทการประลอง จากนั้นจึงค่อยเริ่มต่อสู้ ทางฝั่งของสำนักหมิงหลง ได้ยินเสียงโซ่และตุ้มเหล็กแกว่งไกวไปมาดังข่มขวัญคู่ต่อสู้ แต่เชียนจือหวามีหรือที่จะกลัว เพื่อให้แส้ของนางอยู่ในรัศมีการโจมตี นางจึงทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถกระโดดหลบหลีกหินแหลมคนที่กั้นขวางไว้ได้อย่างแม่นยำ และหากที่ด้านหน้ามีหินขวางมากนัก ก็ใช้แส้ฟาดให้แหลกไปเสียเลย หยางผู่เยว่แม้ร่างไม่เคลื่อนไหว แต่กระบี่ของเขาก็ทะยานไปด้านหน้าเคียงคู่กับเชียนจือหวาอย่างทรงพลัง กระบี่ของหยางผู่เยว่เคลื่อนที่สอดรับกับการเคลื่อนไหวของเชียนจือหวาอย่างเหมาะเจาะ ทำให้นางสามารถหลบหลีกหินแหลมที่แทงขึ้นมาเหนือพื้นดินพวกนั้นได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเคลื่อนที่เข้าหาคู่ต่อสู้ของนางจึงยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก ผู้คนภายนอกและศิษย์สำนักต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา ถึงแม้จะแยกกันไปชมการประลองทั้งสี่สนาม แต่สนามนี้ก็มีคนดูอยู่ไม่น้อย เนื่องจากสำนักหมิงหลงเป็นสำนักแนวหน้าในยุทธภพที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งดุดัน ปีศาจหรืออสูรมาเจอพวกเขาเป็นต้องเผ่นหนีกันป่าราบ ผู้คนจึงอยากลองชื่นชมฝีมือดูสักครั้ง ส่วนสำนักอู่เฉิงนั้นอยู่บนยอดเขาสูง เป็นสำนักที่เหล่าศิษย์สงบสำรวมที่สุดในแปดสำนัก เน้นบำเพ็ญตนไปปราบปีศาจไป ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านการต่อสู้สักเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยมีใครสนใจเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ในตอนแรก แต่เมื่อทุกคนเห็นการพุ่งทะยานเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างใจกล้าของเชียนจือหวา ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ มิใช่ว่าศิษย์สำนักอู่เฉิงจะชอบแต่งกายด้วยชุดขาวที่ดูจืดชืด นั่งกินเต้าหู้อย่างจืดชืด สวดมนต์อย่างจืดชืด และต่อสู้อย่างจืดชืดหรอกหรือ เหตุใดแม่นางบนลานประลองกลับร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงที่ลุกท่วมเช่นนั้น ยังมีบางคนถึงกับเหลือบมองป้ายให้แน่ใจว่านี่คือสำนักอู่เฉิงจริงใช่หรือไม่ ฝ่ายตรงข้ามเห็นความรวดเร็วของทั้งคู่จึงไม่ประมาท ขวานเล่มมหึมาจามลมบนพื้นดินอย่างรุนแรงส่งผลให้พื้นดินตรงหน้าแยกออกเป็นรอยยาวถึงตัวเชียนจือหวา ทำให้ร่างที่เคยสอดประสานอย่างลงตัวกับกระบี่บินแยกกันไปคนละทาง และแม้จะหลบได้อย่างทันท่วงที แต่แรงกระแทกที่ส่งผ่านมาตามพื้นดินทำให้นางเสียหลักเซไปด้านข้างเล็กน้อย ฝึกซ้อมมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เหตุการณ์เช่นนี้ไม่อาจทำให้เชียนจือหวาตื่นตระหนกได้ นางหมุนร่างอย่างว่องไว สะบัดแส้พับรอบหินแหลมสูงก้อนหนึ่ง และใช้แรงเหวี่ยงร่างเข้าหาผู้ใช้ตุ้มเหล็กได้อย่างเหมาะเจาะพอดี การเคลื่อนที่ของนางนั้นถูกคำนวณไว้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว นางตั้งใจโจมตีฝ่ายตรงข้ามทันทีที่เข้าประชิด ฝ่าเท้านางที่ไปกระแทกหน้าผู้ใช้ตุ้มเหล็กหนักพอที่จะทำให้คนปกติฟันร่วงเลือดกบปากได้ แต่ไม่ใช่กับศิษย์ที่แข็งแกร่งของสำนักหมิงหลง แม้แต่หน้าก็ดูเหมือนจะไม่กระดิกแม้แต่น้อย เมื่อร่างยืนมั่นคงบนพื้น เชียนจือหวาก็ได้แต่เลิกคิ้วมองจ้องคนตรงหน้า หนากว่าที่คิด หลังจากนั้นนางก็ต้องใช้วิชาตัวเบาหลบลูกตุ้มยักษ์ที่ฟาดใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ลูกตุ้มเหล็กกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นดินสั่นสะเทือน แรงกระแทกสร้างรอยบนพื้นจนเป็นหลุมเป็นบ่อมากมาย ช่างเป็นพลังที่น่าเกรงขามยิ่ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD