เมื่อกระบี่ถูกทำให้เสียหลัก หยางผู่เยว่จึงย้ายเป้าหมายหันกระบี่ใส่ผู้ใช้ขวานอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบมองเชียนจือหวาเห็นว่านางยังจัดการได้ จึงทุ่มเทสมาธิสั่งกระบี่บินวนเวียนต่อกรกับขวานเล่มยักษ์นั่นราวกับเหยี่ยวที่โฉบโจมตีศัตรูบนท้องฟ้า ในยามที่กระบี่ปะทะกับคมขวานจะเกิดประกายไฟแลบแปลบปลาบอย่างน่ากลัว
ผู้ใช้ขวานเห็นว่าตนเสียเปรียบอย่างชัดเจน หากยังถูกกระบี่บ้านี่ถ่วงไว้ก็จะไปไม่ถึงตัวการสักที เขาจ้องเขม็งไปที่หยางผู่เยว่ พยายามใช้ขวานปัดป้องดาบ และเดินเข้าหาทีละก้าวทีละก้าวอย่างลำบาก
หยางผู่เยว่เห็นผู้ใช้ขวานเดินเข้าหาก็ลอบยิ้มในใจ ในที่สุดก็สามารถแยกคนของสำนักหมิงหลงออกจากกันได้ เขายืนรออย่างสงบนิ่งอยู่ที่เดิม เมื่อศัตรูเดินเข้าใกล้ก็เรียกกระบี่กลับมาอยู่ในมือ และเข้าต่อสู้ประชิดตัวอย่างฉับไว
เมื่อมือจับด้ามกระบี่ แรงฟาดฟันก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล เสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้อง สะเก็ดไฟกระจายออกมาจากอาวุธทั้งสอง ปรากฏเป็นภาพการต่อสู้ที่รวดเร็ว และรุนแรงอย่างที่หาชมได้ยากยิ่ง
หยางผู่เยว่ทางหนึ่งต่อสู้ ทางหนึ่งเหลือบมองไปที่เชียนจือหวา หากเกิดพลาดพลั้งจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทัน เขาชอบที่จะมองภาพรวมของการต่อสู้มากกว่าที่จะบุกทะลวงไปข้างหน้าอย่างบ้าบิ่น
เชียนจือหวาฟาดแส้ต่อสู้กับผู้ใช้ตุ้มเหล็กอย่างกล้าหาญ ความรวดเร็วของนางทำให้คู่ต่อสู้มึนหัวตาลายอยู่บ้าง
แม้ว่าความรุนแรงของแส้สีส้มจะถูกสกัดเอาไว้ได้ แต่สุดท้ายเชียนจือหวาก็หาจุดอ่อนพบ เพียงพริบตานางก็สามารถใช้แส้รัดคอคู่ต่อสู้จากทางด้านหลัง ออกแรงสุดพลังเพื่อยกผู้ใช้ตุ้มเหล็กทุ่มลงกับพื้น
แต่ศิษย์สำนักหมิงหลงก็แข็งแกร่งสมคำร่ำลือ ขนาดโดนรัดคอจากด้านหลังก็ยังสามารถขืนตัวยืนหยัดอยู่กับพื้นได้อย่างมั่นคง และสะบัดโซ่เหล็กโจมตีเชียนจือหวาที่ด้านหลัง
ก่อนที่ตุ้มเหล็กจะถึงตัวนาง กระบี่แหลมก็พุ่งตรงเข้าหาผู้ใช้ตุ้มเหล็กที่ถูกตรึงอยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อไร้ทางเลือกเขาจึงจำต้องดึงเอาโซ่กลับมาต้านกระบี่ไว้แทน
หลังจากหยางผู่เยว่ได้รับคำชี้แนะจากเยี่ยนหรงก็สามารถแยกการควบคุมกระบี่กับการต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
กระบี่เงินพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ใช้ตุ้มเหล็กอย่างรุนแรง เมื่อแทงถูกโซ่เหล็กที่แข็งแกร่งก็เบี่ยงออกไปด้านบน แต่โซ่เหล็กของอีกฝ่ายกลับขาดสะบั้นออกจากกัน
ผู้ใช้ตุ้มเหล็กถึงกับดวงตาเบิกกว้าง อาวุธประจำกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกพลังกระบี่ทำให้ขาดได้ราวกับเชือกเส้นหนึ่ง เป็นเวทกระบี่ที่ทรงพลังอะไรขนาดนี้!
เมื่อจิตใจถูกรบกวน ร่างก็ถูกยกลอยและทุ่มลงกับพื้นโดยเชียนจือหวา แม้จะไม่ถูกหินแหลมคมน่ากลัวพวกนั้นเสียบเอา แต่การกระแทกอย่างรุนแรงกับเนินหินเล็กๆด้านล่างก็ทำให้เขาบาดเจ็บ จนไม่อาจลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อย่างทันที
เสียงฮือฮาของผู้ชมโดยรอบก็ดังขึ้นอย่างเกินคาด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ
ภายในชั่วพริบตาคู่ต่อสู้ก็ล้มฝั่งเขาลงได้คนหนึ่ง ผู้ใช้ขวานมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนี่สามารถแยกจิตบังคับกระบี่ได้อย่างแม่นยำ อีกทางก็ยังสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสีด้วย
นี่ก็เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาที่เยี่ยนหรงสอนให้กับหยางผู่เยว่ก่อนที่จะเดินทางมาถึงสำนักฟู่หลิง การใช้เวทบังคับกระบี่จะมีประสิทธิภาพได้นั้นจะต้องแบ่งจิตมาควบคุมร่างของตนให้ต่อสู้ได้อย่างดีด้วย หากทำเช่นนี้ได้ก็ราวกับว่าเรามีเพื่อนร่วมรบเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ผู้คนโดยรอบต่างรู้สึกเกินคาด พากันจ้องมองเข้าไปในลานประลองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ใครจะคิดว่าสำนักที่รักสงบอย่างสำนักอู่เฉิงจะมียอดมือกระบี่ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ศิษย์หญิงที่ใช้แส้ก็เด็ดขาดดุดันอย่างหาตัวจับยาก แต่ละสำนักต่างต้องประเมินสำนักอู่เฉิงใหม่เสียแล้ว
เยี่ยนหรงที่ยืนกอดอกดูการประลองอยู่ด้านข้างถึงกับพยักหน้าชื่นชมหยางผู่เยว่ ที่ทั้งเรียนรู้ได้เร็ว และปรับใช้ได้อย่างชาญฉลาด ไม่เสียแรงที่นางสอนเคล็ดวิชาให้แก่เขา
ในตอนที่นางมีกระบี่เฟิงหวาเป็นอาวุธคู่กายนั้นก็ฝึกอยู่นานกว่าจะควบคุมกระบี่เทพแสนพยศนั่นได้ เคี่ยวกรำตัวเองไม่น้อยกว่าจะสามารถแยกจิตออกเป็นหลายส่วน ทั้งบังคับอาวุธ ทั้งต่อสู้ตรงหน้า จึงได้กำชัยเหนือศัตรูเสมอมา
ต่างกันตรงที่กระบี่เฟิงหวาเป็นศาสตราวุธวิเศษแดนเทพลำดับที่สาม หนึ่งกระบี่สามารถแยกออกเป็นเจ็ด การควบคุมจึงยากกว่าอาวุธเซียนในแดนมนุษย์ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่เมื่อสามารถบังคับได้ตามใจปรารถนา ก็จะทำให้เวลาต่อสู้ราวกับมีเยี่ยนหรงเพิ่มมาอีกเจ็ดคนเลยทีเดียว
อีกทั้งอาวุธเทพมีชีวิตจิตใจ บางครั้งก็มีความคิดเป็นของตัวเอง หากได้อาวุธเทพที่ว่านอนสอนง่ายหน่อยก็สบายเทพองค์นั้นไป แต่กระบี่เฟิงหวาจัดเป็นอาวุธเทพฝั่งตรงข้าม การจะควบคุมจึงยากกว่าธรรมดา แต่หากควบคุมได้ พลังทำลายล้างของกระบี่ก็จะมหาศาล ขับส่งให้เทพองค์นั้นไร้เทียมทานได้ไม่ยากเย็น แต่พูดก็พูด เจ้ากระบี่นั้นก็ขัดคำสั่งนางบ่อยครั้ง หลังจากนางตายก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนแล้ว
กลางลานประลอง เชียนจือหวาอาศัยช่วงที่ผู้ใช้ตุ้มเหล็กบาดเจ็บมึนงงอยู่ เหวี่ยงแส้ของตนตวัดส่งเขาออกนอกลานประลองไปก่อนที่เขาจะกลับมาลุกขึ้นได้อีกครั้ง
ด้านหยางผู่เยว่เรียกกระบี่กลับมาอยู่ในมือแล้วก็รับการโจมตีจากผู้ใช้ขวานต่ออย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เชียนจือหวาก็เข้าไปร่วมสู้ด้วย
ผู้ใช้ขวานรับการโจมตีจากสองทางจึงรู้สึกเสียเปรียบ แม้ในช่วงแรกจะสามารถต้านรับไว้ได้ แต่ท้ายที่สุดร่างกายเริ่มล้า การเคลื่อนไหวที่ช้าลงทำให้พลาดท่า โดนแส้ของเชียนจือหวามัดร่างจนล้มเอนไปข้างหน้าอย่างทรงตัวไม่ได้ ที่ตรงพื้นยังมีหินแหลมคมมากมายที่รอเสียบทะลุร่างหากเขาล้มลงไป ยังดีที่เชียนจือหวาจับแส้ไว้มั่น ร่างของผู้ใช้ขวานจึงเพียงแค่โอนเอนอย่างน่าหวาดเสียวอยู่เหนือกลุ่มหิน
“ยอมแพ้เถอะ แค่กล่าวคำว่ายอมแพ้ การประลองก็จบแล้ว” เชียนจือหวากล่าวกับผู้ใช้ขวานอย่างตรงไปตรงมา แต่น้ำเสียงของนางเดิมก็เย่อหยิ่งถือดีเป็นปรกติอยู่แล้ว ยิ่งคนในเงื้อมือตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เมื่อได้ฟังจึงยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่
ผู้ใช้ขวานแม้ถูกมัดอยู่ในสภาพแสนอันตราย แต่ปากก็ยังแม้มแน่น ไม่ยอมเอ่ยคำว่ายอมแพ้เด็ดขาด เขาเหลือบมองหินแหลมคมเหมือนเขี้ยวสัตว์ที่เตรียมจะแทงทะลุตัวเขาที่เบื้องล่าง เส้นเลือดบนหน้าผากก็ปูดโปน เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาอาบหน้าอย่างยากจะปิดบัง แต่ก็ยังคงกัดฟันแน่นไม่ยอมพูดออกไป
เชียนจือหวาเป็นคนประเภทใจร้อน ขี้รำคาญ ในเมื่อยังดื้อดึงเช่นนี้ก็ช่างเถอะ นางคร้านที่จะอดทนกับเขาแล้ว
“ไม่ยอมแพ้ก็ตายซะ” นางคลายแส้ที่รัดตัวผู้ใช้ขวานออกจนร่างของเขาเอนล้มลงไปเบื้องหน้า
เมื่อร่างเอนลงโดยไม่สามารถทรงตัวได้ ผู้ใช้ขวานก็ตาเบิกโพลงมองหินแหลมกำลังจะแทงทะลุอกของตนอย่างหวาดผวา
มิใช่แต่เพียงเขาที่ตื่นตระหนกกับการกระทำของเชียนจือหวา ผู้ชมโดยรอบ รวมถึงหยางผู่เยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ใจหายวาบเช่นกัน
เขารีบส่งกระบี่ออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือศิษย์สำนักหมิงหลง
นี่นางคิดจะหาเรื่องไปถึงไหน!